ตอนที่ 17 ป่าเหนือหมู่บ้าน 3
เหนือภพหนีออกไปได้ไกลพอสมควร เมื่อถึงโขดหินยักษ์ก้อนหนึ่งเขาก็ล้มลงกุมท่อนแขนตัวเองที่มีรอยเฉือนของของมีคม อาวุธลับที่ถูกซัดมานั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร เหนือภพไม่โอกาสรู้ได้เพราะเขามองไม่ทัน แต่ที่รู้แน่ๆคืออาวุธชนิดนี้มีความคมมาก และคงจะมีฟันเลื่อย เพราะความเสียหายที่บาดแผลนั้นพรุนและช้ำ มีรอยซ้อนสลับกันไป ที่สำคัญคือบริเวณปากแผลเริ่มมีสีม่วงคล้ำ ที่กำลังลุกลามกินพื้นที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ
‘นี่ข้าโดนพิษหรอเนี่ย’
ฤทธิ์ของมันทำให้เขารู้สึกอ่อนแรง แขนขาเริ่มแข็งค้างเคลื่อนไหวได้ลำบาก แต่เลือดยังคงไม่หยุดไหล เขาใช้ผ้าปิดพันบาดแผลเพื่อห้ามเลือด
‘จะพักตรงนี้ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด’
เหนือภพกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อกระตุ้นความรู้สึกตื่นตัว ทำให้ตัวเองมีสติเพื่อที่จะหนีออกไปจากที่แห่งนี้ อย่างน้อยเขาต้องไปให้ถึงแม่น้ำ ที่นั่นเขาสามารถทิ้งตัวลอยไปกับกระแสน้ำเพื่อเข้าสู่เขตหมู่บ้านได้
หากเขาไปถึงหมู่บ้านเขาก็จะรอด แต่หากเขาไปถึงแม่น้ำไม่ทันเขาก็คงต้องตายจริงๆ เหนือภพพยายามทนฝืนบังคับร่างกาย ขณะที่ภายในจิตใจฟุ้งซ่าน
ภาพแม่ที่มักยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเขา ไม่ว่าเขาจะทำไรผิด คิดถึงใบหน้าขุ่นเคืองของน้องสาวในเวลาที่เขามักกอดหอมเธอ น้ำตาแห่งความรู้สึกหลั่งไหลออกมาจากหางตาเหนือภพ ปนเปื้อนกับคราบเลือดที่เปรอะอยู่บนใบหน้าจนชุ่มแฉะ
‘แม่ ข้าจะต้องไม่ตาย หากข้าตายใครจะดูแลท่าน’
เหนือภพตะเกียกตะกายพื้นดิน พยายามดันตัวให้ลุกขึ้น แต่เขาไม่อาจทำได้สำเร็จ
‘แม้พี่จะต้องคลานกลับไป พี่ก็จะกลับไปกอดเจ้าอีกครั้งให้จงได้’
เหนือภพตะเกียกตะกายคืบคลานไปกับพื้นดินอย่างช้าๆ แม้ใบหน้าเริ่มซีดเซียว ริมฝีปากม่วงคล้ำ ก็ไม่มีวี่แววของความย่อท้อ
ณ บริเวณแม่น้ำติดชายป่า
ท่ามกลางกลุ่มโขดหินที่รายล้อมไปด้วยกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ร่างเล็กอรชรกำลังเคลื่อนไหวบางอย่าง ท่าทางของเธอยามเคลื่อนไหวดูคล้ายกับการร่ายรำ ทุกท่วงท่าและอริยาบถของเธอส่งผลให้น้ำเกิดการกระเพื่อมสั่นไหวเป็นระลอก โดยมีเด็กสาวเป็นจุดศูนย์กลาง
เมื่อท่วงท่าเปลี่ยนไป น้ำในแม่น้ำก็เกิดการรวมตัว ก่อตัวเป็นรูปร่าง แปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นปลาขนาดใหญ่ มีลวดลายของเกล็ดปลาเสมือนจริงอย่างไร้ที่ติ เนื่องจากมันก่อกำเนิดมาจากน้ำ มันจึงกลายเป็นมัจฉาวารีสีฟ้าโปร่งใส และเปล่งประกายหลากสีสันยามต้องแสงอาทิตย์ มันแหวกว่ายอยู่กลางนภาก่อนจะสลายหายไปเป็นน้ำดังเดิมเมื่อการเคลื่อนไหวของเธอหยุดลง
สายตาของเด็กสาวแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ เธอหันมองไปทางฝั่งแม่น้ำด้านที่มีต้นไม้ใหญ่หนาตาอยู่หลายสิบต้น สายตาเธอจับจ้องอยู่ที่เดิมโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย
มวลน้ำเริ่มเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนเป็นมัจฉาวารีครีบยาวสองตัว พวกมันมีรูปร่างคล้ายกัน แต่ต่างกันที่ตัวหนึ่งมีขนาดเล็กกว่า ส่วนอีกตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าถึงหนึ่งเท่า มัจฉาวารีทั้งสองตัวว่ายตีคู่กันเวียนวนอยู่รอบกายเด็กสาว เสียงกระแสหมุนเวียนของน้ำดังก้องไปทั่วบริเวณ มัจฉาวารีสองตัวนั้นหากพิจารณาอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าครีบยาวของมันทั้งสองตัวนั้นคมกริบไม่ต่างจากใบมีดเลยทีเดียว
“เดี๋ยวๆ ข้าเอง”
พยัคฆ์คีรีรีบส่งเสียงดังพร้อมกับชูมือขึ้นฟ้าแสดงตัวว่าเขาบริสุทธิ์ใจขณะก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“ข้าไม่ได้มีเจตนาแอบดูเจ้า ข้าแค่เห็นเจ้าออกมาจากบ้าน ...ข้ากลัวเจ้าจะเป็นอันตราย เลยติดตามมา หวังว่าเจ้าจะไม่ตำหนิข้า”
น้ำเสียงของพยัคฆ์คีรีแผ่วเบาลง แม้เขาจะรู้สึกเขินอายที่ต้องแอบตามผู้หญิง แต่เขากลับปกปิดความรู้สึกเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน
‘ชายชาตรีต้ององอาจ ผึ่งผาย มั่นใจในตัวเอง และสง่างาม’
ภาพลักษณ์อันสง่างามของพยัคฆ์คีรีที่กำลังก้าวออกมาจากหลังต้นไม้นั้นดึงดูดมีนาให้เผลอใจไปได้ชั่วแวบหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น อึดใจต่อมาเมื่อนางเห็นว่าเป็นพยัคฆ์คีรีก็สลายมัจฉาวารีคู่ของตัวเอง เธอไม่มีท่าทีโกรธเคือง ท่าทางของเธอยังคงเงียบขรึมเย็นชา
เธอแสร้งเมินเด็กหนุ่มโดยยังคงร่ายรำท่วงท่าตามเคล็ดวิชาของตระกูลต่อไปท่ามกลางแม่น้ำ แต่ท่วงท่าของเธอดูแปลกๆไม่ไหลลื่นเช่นเดิม เพราะภายในจิตใจของเธอนั้นเต้นรัวระทึกไม่ต่างจากเสียงกลอง
‘สภาพข้าตอนนี้ดูไม่ดีเลย เขาต้องไม่ชอบข้าแน่ๆ ข้าควรจะทำยังไง’
มีนายังคงฝึกต่อไปแต่ยิ่งฝึกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของนางก็ยิ่งติดขัด เพราะไม่มีสมาธิ จิตใจมัวแต่พะวักพะวงเกี่ยวกับ เด็กหนุ่มว่าที่คู่หมั้นเธอ
‘เมื่อไหร่เขาจะไปสักทีนะ’
มีนาครุ่นคิด ตอนนี้เธอเองแม้จะใส่เสื้อผ้ามิดชิด แต่เสื้อผ้ากลับเปียกชุกไปด้วยน้ำมันลู่แนบไปกับลำตัวทุกสัดส่วนของเธอ เธอไม่อาจไปจากที่นี่ได้ตราบใดที่พยัคฆ์คีรียังอยู่ที่ชายฝั่ง ที่สำคัญกว่านั้นคือเธออายเกินกว่าที่จะเริ่มต้นพูดคุยกับพยัคฆ์คีรีเช่นกัน
พยัคฆ์คีรีพยายามเก็บงำสีหน้าเศร้าสลดไว้ยามมองไปที่มีนา การถูกเมินเฉยจากนางทำให้เขาทุกข์ทรมานใจอย่างมาก แม้เขาจะมีหญิงมากมายห้อมล้อมแต่ก็ไม่เคยมีใครเลยที่สามารถเข้ามาในหัวใจเขาได้นอกจากมีนา แต่นางกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นคู่หมั้นกันสักวันต้องอยู่กินร่วมกัน ทำไมเขากลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด
‘เขามาเพื่อประเมินความสามารถของข้ารึเปล่า หรือข้ายังไม่ดีพอสำคัญเขา’
‘ทำไมเจ้าเอาแต่ฝึกอยู่อย่างนั้น เจ้าไม่อยากคุยกับข้าเลยหรอ’
‘ทำไมเขาไม่พูดอะไรสักคำ ข้าคงต้องเพิ่มพลังอาคมเข้าไปอีกสินะ ถึงจะดึงดูดความสนใจของเขาได้’
‘มีนา ข้าจะไม่เร่งรัดเจ้า เจ้าพร้อมเมื่อไหร่ ข้าก็จะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆเจ้าเสมอ’
บรรยากาศรอบด้านยังคงเงียบกริบ คงเหลือแต่เสียงกระแสน้ำและคลื่นความคิดคำนึงของทั้งสองคน
พยัคฆ์คีรีมองมีนาที่ยังฝึกต่อไปอย่างคนไร้จิตวิญญาณ ในขณะที่เขากำลังจะหันตัวกลับไปอย่างเซื่องซึมผิดกับท่าทางองอาจที่เคยเป็นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องป่า
กรี๊ดดด !!