คาถาที่ 32 : อิจฉา
หลังจากวางสายจากไอ้อิฐ
ผมก็เดินไปหยิบกุญแจรถของตัวเองที่บริเวณแถวโต๊ะคอมไอ้แมท เคยเอาไปวางไว้ตรงนั้นเพราะมันหาได้ง่ายดี ผมยิ่งเก็บของไม่เป็นที่อยู่ด้วย เลยต้องวางไว้ให้เห็นชัด ๆ หน่อย ซึ่งตอนนี้ที่ตรงนั้นไอ้แมทกำลังนั่งเล่นอินเตอร์เน็ต เปิดยูทูปดูอะไรเล่นของมันไปเรื่อย ผมเพิ่งจะได้รับสายจากอิฐบอกให้ออกไปรับหน่อย ไอ้อิฐก็เหลือเกิน ขับรถไม่ดูน้ำมันเลย น้ำมันดันหมดกลางทาง ยังดีที่ผมยังไม่หลับไปเสียก่อน เพราะถ้าผมหลับไปก่อนแล้วล่ะก็ ต่อให้มือถือดังลั่นห้องก็คงจะไม่ตื่นหรอก อย่างที่หลายคนรู้ ผมหลับลึกจะตาย ปกติอยู่หอในไอ้คีย์จะเป็นคนปลุกมาเรียนตลอด
“จะออกไปไหนวะมึง” เสียงของแมทธิวถามขึ้นมา เมื่อเห็นผมหยิบกุญแจรถทำท่าจะออกไปข้างนอก
“ไอ้อิฐอะดิ รถน้ำมันหมดกลางทาง เดี๋ยวกูออกไปหามันก่อน” ผมตอบมันกลับไป
“อ่อ เค ๆ ขากลับแวะเซเว่นซื้อขนมมาด้วย”
“ดึกขนาดนี้แล้ว มึงยังกินอีกเหรอ”
“แหม มึงอะตัวดี ขนมกูหมดห้องแล้ว มาทีไรเอาไปกินหมดตลอด”
นั่น ... โดนสวนเข้าให้ ไม่กล้าเถียงมันต่อเลย
ผมหยิบมือถือมาเปิดโลเคชันที่ไอ้อิฐแชร์ส่งมาให้ พอเปิดดูเท่านั้นแหละ โอ้โห มันไปทางลัดก็จริง แต่ทางนั้นเปลี่ยวจะตาย มีข่าวคนโดนปล้นระหว่างทางออกจะบ่อย มันยังจะกล้าไปทางเส้นนั้นอีก แทนที่จะขับกลับถนนใหญ่ ผมนี่ไม่เข้าใจมันเลย ผมเดินออกจากห้องลงไปที่รถของตัวเอง ใช้เวลาขับรถประมาณสิบห้านาทีผมก็มาถึงจุดที่ไอ้อิฐยืนรออยู่ ไม่ลืมที่จะแวะซื้อน้ำมันแกลลอนมาให้มันก่อนถึงด้วย พอเปิดประตูรถเดินออกไปหา ก็เห็นมันนั่งอยู่ที่เบาะมอเตอร์ไซค์พลางกดมือถือเล่นอยู่ ช่างล่อตาล่อใจโจรเสียเหลือเกิน แถวนี้มืดก็มืด จะมีก็แต่เสาไฟที่ไฟกระพริบติด ๆ ดับ ๆ อยู่เป็นเพื่อนมันก็เท่านั้น
“มาแล้ว จริง ๆ เลยมึงเนี่ย” ผมพูดทักมันขณะเดินเข้าไปใกล้
“เออ ขอบใจมากเว้ย” อิฐตอบกลับมาพร้อมกับรับแกลลอนน้ำมันจากผม
“ไม่เป็นไร”
“เมื่อกี้มีคนคิดว่ากูเป็นโจรดักปล้นเขาด้วยว่ะ เอาเครื่องช็อตไฟฟ้าจี้กูเฉย” ไอ้อิฐพูดขณะเปิดเบาะด้านหลังของรถเพื่อเทน้ำมันใส่ตัวเครื่อง
“ฮะ ฮ่าฮ่า จริงดิ ลุคมึงก็ได้อยู่นะ ดูแบด ๆ เถื่อน ๆ แล้วแถวนี้ด้วย เป็นใครก็คิดวะ” ผมแกล้งพูดเล่นแซวมันไป
“กวนตีน โจรเชี้ยไรหน้าตาดีขนาดนี้”
พอกันทั้งกลุ่มครับ เรื่องหลงตัวเอง ไม่มีใครยอมใคร แต่ก็เรื่องจริงของมัน ผมไม่อยากจะเถียง
“เออกูยอม ลืมบอกเลย พรุ่งนี้ที่บ้านกูมีฉลองกี้สอบติดโควตามหาลัยเราอะ มึงติดธุระอะไรเปล่า มาด้วยกันไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกเรียนก็มาพร้อมกูเลย” ผมถามอิฐไป สุกี้น้องสาวผมเพิ่งสอบติดนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผมนี่แหละ พรุ่งนี้ครอบครัวผมเลยมีแพลนจะฉลองให้น้องกันอยู่พอดี
“อื้ม ไปดิ กี้สอบติดทั้งที กูต้องไปแสดงความยินดีดิวะ” ไอ้อิฐตอบผมกลับมา
ผมก็เข้าใจแหละ ว่าตั้งแต่กี้น้องผมกลับมาเจอกับไอ้แมทอีกครั้ง ไอ้อิฐก็แทบจะปลีกตัวออกมาทุกครั้งที่เจอกับกี้เลย ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันบ่อยก็เถอะ ผมก็ได้แต่หวังว่าตอนนี้มันคงจะดีขึ้นมากแล้ว ที่ถามไปก็อยากให้มันไปฉลองด้วยกัน เพราะผมชวนเพื่อนทุกคนในกลุ่ม
“โอเค ถ้าเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวกูไปก่อนนะ เจอกันที่มหาลัยพรุ่งนี้”
หลังจากลามันเสร็จ ผมก็เดินกลับมาที่รถเพื่อกลับคอนโดแมทธิว พรุ่งนี้ต้องรับไหมไปมหาวิทยาลัยอีก ขณะที่ผมกำลังขับออกมา สายตาของผมก็เหลือบไปมองกระจกด้านข้างของรถ ปรากฏให้เห็นภาพแปลก ๆ ที่เกิดขึ้น ร่างของอิฐมีบางอย่างซ้อนทับอยู่ มันเป็นงูสีดำตัวขนาดใหญ่จ้องกลับมาที่รถผม ดวงตาของมันสีแดงเหมือนเลือด ผมถึงกับยกมือขึ้นมาขยี้ตามองภาพในกระจกอีกครั้ง
แต่พอมองอีกที ภาพนั้นมันก็หายไปแล้ว ...
วันต่อมาผมก็ไปมหาวิทยาลัยตามปกติ ส่วนใยไหมเพิ่งจะมาวันนี้เป็นวันแรกเพราะอาการเพิ่งจะดีขึ้นหลังจากหยุดไปหลายวันตั้งแต่ผมถูกจับตัวไปคราวก่อน ตอนนี้เจ้าตัวเดินเองได้แล้วแต่ก็ต้องมีคนคอยดูแล ซึ่งนั่นก็คือผมเอง ส่วนไอ้คีย์ยังไม่กลับมาเลย ไม่รู้ภารกิจพิเศษของมันคราวนี้ทำไมไปนานจัง วันนี้เลยมีแค่ผม ใยไหม แล้วก็อิฐที่มานั่งฟังเลกเชอร์กันแบบง่วง ๆ ในช่วงบ่ายหลังทานข้าวเสร็จกันแค่สามคน หลังจากเลิกเรียนพวกเราก็ลงมานั่งปั่นงานกันที่ร้านกาแฟเจ้าประจำทางด้านล่างของคณะ
ขาดเรียนไปสามสี่วันนี่เหมือนขาดเรียนกันร่วมเดือน ไม่รู้งานอะไรมากมาย ยังดีที่อยู่มหาวิทยาลัยบางวิชาไม่มีคะแนนเข้าห้อง ไม่งั้นพวกเราคงได้หายไปคนละหลายคะแนนเลย ตอนนี้ใยไหมกำลังนั่งอ่านชีทที่เพื่อนในภาควิชาเก็บไว้ให้เพื่อสอนผมกับไอ้อิฐทำงานที่ต้องส่งอาทิตย์หน้าอยู่ มีแฟนเก่งก็งี้แหละครับ ไม่ต้องเข้าเรียนก็รู้เรื่องได้
“กูกับไอ้คีย์ไม่อยู่ห้องนี่มึงแอบพาสาวเข้าหอในหรือเปล่าวะ คอแดงเป็นจ้ำเลย” ผมทักไอ้อิฐที่นั่งอยู่ข้างตัว พอดีบังเอิญเหลือไปเห็นรอยแดงสองจุดที่คอมัน พูดจบก็นั่งดูนมคาราเมลปั่นของโปรดผมต่อ
“ฮะ พูดไรของมึงวะ” ไอ้อิฐตอบกลับมาแบบงง ๆ มันเอามือลูบลำคอตัวเอง
“นั่นอิฐนะ ไม่ใช่แกชา” ใยไหมพูดขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากชีทหันมามองผม โถวไหมไม่รู้อะไร ไอ้อิฐเนี่ยตัวดีเลย
“เดี๋ยว นี่ชาไง ชาแฟนไหมนะคะ เค้าไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นเลย”
“ไม่พาเข้าหอ แต่มึงไปหาเค้าถึงห้องเลยใช่ปะ” ไอ้อิฐพูด ดู ดูมันสร้างความร้าวฉานให้ผมอีกล่ะ แต่ก่อนอาจจะใช่ แต่ตั้งแต่คบกับไหมก็ไม่มีอีกเลยนะ
“อิฐ มึงมันเพื่อนเลว” ผมพูดจบก็ชูนิ้วกลางส่งให้มันหนึ่งที คนโดนให้ของหัวเราะขำ
“ของกูก็มี ไม่ต้องแจก”
“เหนื่อยใจกับพวกแก วนลงเรื่องใต้สะดือตลอด” ไหมพูดเชิงบ่นก่อนก้มหน้าลงอ่านชีทในมือต่อ
ช่วงเย็นของวัน ผมและเพื่อน ๆ ก็มาเลี้ยงฉลองที่กี้สอบติดมหาวิทยาลัยที่ร้านชาบูบ้านของผมเอง บรรยากาศที่ร้านวันนี้ก็ยังครึกครื้น คนแน่นขนัดเหมือนเดิม แต่ป๊าและม๊าผมได้จองโต๊ะไว้ให้โต๊ะหนึ่งล่วงหน้าแล้ว พวกเราเลยเข้าไปนั่งได้เลย กี้เองวันนี้ก็กลับบ้านเร็วหลังจากไม่มีเรียนพิเศษในช่วงเย็น สอบติดโควตาแล้วก็สบายเลย ได้หยุดพักผ่อนยาว ๆ เห็นแบบนี้ผมก็ดีใจ สบายใจไปกับน้องด้วย จะได้ไม่ต้องคอยเครียดลุ้นผลอีกหลายขั้นหลายตอนให้วุ่นวายกับระบบการศึกษาไทยที่ไม่ไปไหนสักกะที
“ไง พวกพี่ยินดีด้วยนะ” อิฐเป็นคนพูดพร้อมยิ้มกว้างให้กี้ก่อนที่จะนั่งลงบนโต๊ะ ในขณะที่คนอื่นก็ทักทายกี้แล้วนั่งลงตาม วันนี้เรามากันสี่คนครับ มีผม ไอ้อิฐ ไอ้แมท แล้วก็ไหม ขาดแต่ไอ้คีย์ อย่างที่บอกว่ามันยังไม่กลับมาจากภารกิจพิเศษ
เห็นไอ้อิฐทำตัวคุยเล่นกับน้องผมแบบนี้แล้วก็เบาใจ มันคงโอเคแล้วแหละ ไม่ได้พยายามหลบหน้าหรือไม่คุยกับกี้เหมือนตอนมันรู้เรื่องไอ้แมทกับกี้ใหม่ ๆ มันคงทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิม เพียงแต่เลิกหยอดน้องผมแล้ว จะมีก็แต่ไอ้แมทนี่แหละ ที่ทำให้โรคหวงน้องของผมกลับมาอีกครั้ง
“อะกี้ นี่พี่ให้ ของขวัญ” ไอ้แมทพูดพร้อมยื่นกล่องของขวัญกล่องเล็ก ๆ อันหนึ่งให้กับกี้
แหม มันจะต้องพิเศษกว่าคนอื่น เห็นแล้วผมก็หมั่นไส้
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณทุกคนเลย” กี้ตอบกลับไป
นั่งทานเล่นคุยกันไปจนเพลิน รู้ตัวอีกทีน้ำซุปในหม้อชาบูก็พร่องไปจนเกือบจะหมดแล้ว ผมมองหาพนักงานในร้านที่ตอนนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับลูกค้ามากมายก็คิดได้ว่าคงต้องเดินไปเอาเอง เพราะยังไงเราก็เป็นลูกเจ้าของร้านนี่หว่า
“เดี๋ยวกูเดินไปเอาให้ก็ได้” เสียงของไอ้อิฐดังขึ้นมาขัดความคิดผม ผมพยักหน้ารับมัน ไอ้อิฐก็มาที่ร้านผมบ่อยจนรู้จักพนักงานในร้านหมดแล้วครับ เดินไปหยิบนู่นนี่นั่นได้ตามใจชอบเพราะทุกคนรู้ว่ามันเป็นเพื่อนของผม
เสียงคุยของกี้กับไอ้แมทดังอยู่เป็นระยะ คุยกันไป หัวเราะกันไป เหมือนไม่สนคนรอบข้างชวนให้ผมหมั่นไส้อยู่เป็นระยะ อะไรจะขนาดนั้น หึ ๆ แต่ช่างเถอะ นาน ๆ ทั้งคู่จะได้เจอกันที อีกอย่างผมก็เหนื่อยเหมือนกันที่คอยเล่นบทพี่ชายหวงน้องสาว แต่มันน่าหมั่นไส้จริง ๆ นะเฮ้ย
“ไหม อ้าปาก” ผมพูด พร้อมกับใช้ตะเกียบคีบหมูจิ้มน้ำจิ้มส่งให้ไหม
“หืม อะไรอะ” ไหมพูดก่อนหันมามองผมงง ๆ
“จะป้อนหมู อยากหวานบ้าง หมั่นไส้ไอ้แมท กระดี๊กระด๊าเกินเหตุ” ผมพูดแขวะไอ้แมท ทำให้มันหันมายักคิ้วมองผม
“อ้ำ”
“โอ๊ย !” เสียงร้องของไอ้แมทดังขึ้นมา
เสื้อของมันทางด้านหลังชุ่มไปด้วยน้ำซุปที่ไหลออกมาจากกาน้ำซุปที่ไอ้อิฐได้ไปเอามา ผมเงยหน้ามองไอ้อิฐที่บอกขอโทษไอ้แมทอย่างไม่เข้าใจ
“เฮ้ยแมท เป็นไรมากเปล่า” ผมถามมัน
“กูขอโทษ ๆ ไม่ได้ตั้งใจว่ะ พอดีพื้นมันลื่น” ไอ้อิฐรีบละล่ำละลักพูดขึ้นมา
“เออ ๆ ไม่เป็นไร ดีนะมันไม่ได้ร้อนมากอะไอ้อิฐ ไม่งั้นกูสุกไปถึงช่วงล่างแน่” ไอ้แมทพูดตอบไอ้อิฐกลับไปแบบขำ ๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้ผมกลับไม่รู้สึกขำไปกับไอ้แมทด้วย ทั้งกี้และแมทนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม ในขณะที่ไหมนั่งอยู่ริมโต๊ะ ทุกคนเลยยังเห็นอะไรไม่ชัดเจน แต่ผมกลับเห็นสิ่งที่ไอ้อิฐมันทำชัดเจน เพราะนั่งอยู่ตรงข้ามไอ้แมทโดยตรง
ไอ้อิฐจงใจเทน้ำซุปรดหลังไอ้แมท ... ใช่ มันตั้งใจ
“งั้นเดี๋ยวกูขอตัวไปห้องน้ำแป๊บนะ” ไอ้แมทพูดก่อนลุกออกไป
“กี้ไปหาเสื้อเฮียมาเปลี่ยนให้นะ” กี้หันมาบอกผมก่อนลุกตามไอ้แมทออกไป
“มึงออกมาคุยกับกูนอกร้านหน่อยดิอิฐ กูมีเรื่องจะคุยด้วย เดี๋ยวมานะไหม” ผมพูดกับอิฐหลังจากคนอื่นเดินออกไปหมดแล้ว ประโยคสุดท้ายหันไปบอกไหมที่นั่งข้าง ๆ ริมโต๊ะ เจ้าตัวพยักหน้ารับก่อนมองตามผมกับไอ้อิฐเดินออกไปด้านนอกของร้านด้วยกัน
“มีอะไรของมึง ทำไมต้องออกมาคุยนอกร้าน” ไอ้อิฐถามผม
“อิฐ กูเห็นนะว่ามึงตั้งใจ” ผมพูดกับมันออกไปตรง ๆ
ทำไมมันต้องทำแบบนี้ด้วย ถ้าน้ำซุปในกามันไม่ใช่แค่อุ่น ๆ ขึ้นมา ผมว่าการกระทำของมันครั้งนี้ค่อนข้างจะแรงมากเลยทีเดียว เข้าใจดีว่ามันรู้สึกยังไง แต่แบบนี้มันก็เกินไปหรือเปล่า ไอ้แมทมันก็เพื่อนของมันเหมือนกันนะ
“พูดอะไรของมึง” ไอ้อิฐถามผมกลับแบบไม่เข้าใจ
“มึงรู้ดีว่ากูพูดถึงอะไร”
“ถ้ามึงหมายถึงเรื่องไอ้แมท ก็กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้ตั้งใจ มึงจะอะไรนักหนาวะชา” ไอ้อิฐพูด น้ำเสียงของมันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
“กูรู้นิสัยมึงดีอิฐ มึงมันใจร้อน มึงไม่โอเคกับเรื่องไอ้แมทกับน้องกู แต่มึงไม่ควรที่จะทำแบบนั้นรึเปล่าวะ ยังไงมันก็เพื่อนมึง ไหนว่ามึงเคลียร์ตัวเองได้แล้วไง” ผมพูด พยายามใช้เหตุผลคุยกับมัน อยากให้มันพูดตรง ๆ รู้สึกไม่ดี รู้สึกแย่อะไรก็บอก อย่าให้เหมือนคราวของผมที่อกหักแล้วก็ไปมั่วกับคนอื่นประชดไหม แต่กับไอ้อิฐนี่ดูเหมือนมันจะพาลด้วย
“กูบอกว่าจบก็คือจบไอ้ชา มึงอย่ามาหาเรื่องกู” ไอ้อิฐพูดพลางทำท่าจะเดินหนีกลับเข้าไปในร้าน
“มึงต่างหากที่หาเรื่องคนอื่น” ผมพูดพลางดึงมันให้หันกลับมาคุย แต่มันสะบัดมือผมออกแล้วเข้ามากระชากคอเสื้อผมอย่างแรงแทน
“มึงเข้าข้างมันเหรอ ทั้ง ๆ ที่กูกับมึงคบกันมาเกือบสิบปีเนี่ยนะ” ไอ้อิฐพูด น้ำเสียงของมันดูโกรธ ๆ ผมไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทั้งที่ตอนแรกก็ดูดี ๆ อยู่แท้ ๆ มันทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดและอารมณ์เสียตามมันไปด้วย
“เฮ้ย ! นี่มันคนละเรื่องแล้วเปล่าวะ มึงไม่เคยทำตัวพาลขนาดนี้นะไอ้อิฐ” ผมพูดก่อนผลักไหล่มันออกจากตัว
“ดี ! ถ้ามึงคิดแบบนั้น เห็นมันดีกว่ากู กูก็ขอตัวกลับก่อนละกัน”
“เฮ้ยอิฐ ! ไอ้อิฐ ! เดี๋ยว”
พูดจบไอ้อิฐก็เดินหนีห่างผมไปอีกทาง ผมสบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย ให้มันได้แบบนี้ซิ ไม่ตามมันแล้ว หงุดหงิด ไอ้คีย์ก็ไม่อยู่ อยากให้มันมาจัดการไอ้อิฐซะเหลือเกิน แล้วผมก็เดินกลับเข้าไปในร้านคนเดียวแบบไม่รู้จะทำยังไง ไว้คุยกับมันตอนที่มันใจเย็นกว่านี้จะดีกว่า ไม่รู้ผีบ้าซาตานอะไรเข้าสิง เดี๋ยวผมก็ได้เดือดตามมันไปอีกคนจะยุ่ง
เมื่อมองผ่านกระจกใสหน้าร้านชาบูใจกลางเมือง จะมีโต๊ะหนึ่งที่มีคนสี่คนนั่งคุยเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ ๆ ช่างเป็นภาพที่ดูมีความสุขซะเหลือเกิน
มันมีสายตาคู่หนึ่งที่มองเข้ามาภายในร้าน สายตาคู่นั้นที่เคยมองด้วยความยินดีกำลังเปลี่ยนไป ... มันเต็มไปด้วยความอิจฉา
อิจฉาที่เห็นคนสมหวัง ...
อิจฉาที่มีคนแย่งความรักของเขาไป ...