บทที่ 413 หัวใจที่ขุ่นเคือง
บทที่ 413 หัวใจที่ขุ่นเคือง
เจ็ดสัปประหลาดต้นหวายก็ยืนกึ่งเป็นวงกลมล้อมรอบกลุ่มของนักรบ สิบสองภูติผีลอยอยู่เหนือพวกเขาปลดปล่อยการโจมตีวิญญานที่น่ากลัวออกมา ซึ่งทำให้กลุ่มของนักรบไม่สามารถพูดอะไรได้ และพบว่ามันยากที่จะต่อต้าน
ฉื่อหยาน แต่เดิมไม่ได้สนใจสถานที่แห่งนี้นัก เขาอยู่นานเท่าที่ภูติผีระหว่างทางจะเข้าไปในห้วงจิตสำนึกของเขาทั้งหมด ปลดการป้องกันวิญญานออก เพื่อให้ภูติผีเหล่านี้จะตกหลุมพรางและพุ่งเข้ามาในห้วงจิตสำนึกและถูกปีศาจทั้งห้ากลืนกิน
ในการปิดล้อมของสัปประหลาดหวาย เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น จากนั้นเขาก็มองไปในทิศทางนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
" เยว่จางเฟิง ! " ฉื่อหยานก็ตะโกนในขณะที่ตาของเขาสว่าง " เจ้าเองรึ? "
" ช้สเอง " เยว่จางเฟิงร้องไห้ออกมาดัง ๆ " มานี่เร็วเข้า ข้าเห็นเจ้าสามารถจัดการกับพวกภูติผีได้ มาช่วยข้าหน่อย ข้าถูกภูติผีแหละสัปประหลาดต้นหวายเหล่านี้ล้อมไป . "
หลังจากเยว่จางเฟิงพูดเสร็จ ฉื่อหยานก็ไม่ลังเล , กลายเป็นแสง และพุ่งไปยังที่ที่เขาอยู่
กลิ่นอายเย็นยะเยือกถึงกระดูกก็เอ่อล้นออกมาจากร่างของเขา และหมอกหนาทึบก็กระจายออกมา สัปประหลาดต้นหวายรอบๆก็ยังไม่กล้าผลีผลาม เมื่อมีหมอกหนาปกคลุม , หมอกหนาที่หนาวเย็นลอยเข้ามา พวกต้นหวายที่ล้อบรอบๆเขาก็กลายเป็นถูกแช่แข็งและพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
อากาศเย็นยะเยือกของเปลวเหมันเยือกแข็งดูเหมือนจะสามารถหยุดทุกอย่างได้ และแม้แต่สัปประหลาดต้นหวายก็ไม่มีข้อยกเว้น
พวกสัปประหลาดต้นหวายแค่มอง ฉื่อหยาน พวกมันก็รู้แล้วว่าไม่ง่ายที่จะจัดการเขา เหล่าต้นหวายทั้งหมดก็หยุดลงมือเมื่อสัมพัสได้ถึงอากาศที่เย็นยะเยือก ต่อมาก็มีเปลวไฟไล่ตามมา
กลุ่มเปลวไหม้ไฟ ระเบิดออกมาจากกลุ่มของต้นหวายทั้งเจ็ก เปลวไฟนี้ราวกับเป็นเปลวไฟที่มาจากนรก มันดูราวกับว่าสามารถเผาทุกอย่างให้เป็นเถ้าถ่านได้
เปลวไฟแก่นแท้นรก !
แม้ว่าเขาจะยังอยู่ไกลจากตรงนั้นด้วยเปลวเหมันเยือกแข็ง เขาก็รู้แล้วว่าเยว่จางเฟิงเป็นหนึ่งในนักรบที่อยู่ตรงนั้นแน่นอน
เปลวไฟแก่นแท้นรก นั้นมาจากเยว่จางเฟิง ถ้าเขาตายแล้ว มันจะไม่ออกมาจากร่างของเขาแน่นอน ถ้าเปลวไฟแก่นแท้นรกปรากฏออกมาเช่นนี้ เยว่จางเฟิงจะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน .
ลูกเปลวไฟหลายลูกจาเปลวไฟแก่นแท้นรกเป็นเหมือนเมฆลอยอยู่ในอากาศ มันร้อนระอุและน่าหวาดกวั่นเป็นอย่างมาก สัปประหลาดต้นหวายรอบๆไม่กล้าเอื้อมออกไป
ฉื่อหยานสังเกตทุกอย่างสักครู่แล้วตระหนักว่ามีขี้เถ้ามากมายในกลุ่มของเปลวไฟที่เผาไหม้ หากมองใกล้ๆ เขาก็พบว่าเถ้าถ่านนั้นลอยมาจากต้นหวายที่ถูกเผา ความจริงที่ว่า ที่พวกสัปประหลาดต้นหวายหวาดกลัว อาจเป็นเพราะพวกมันมีประสบการณ์ที่ได้รับจากเปลวไฟแก่นแท้นรก
แต่แม้ว่าเปลวไฟแก่นแท้นรกจะร้ายกาจแค่ไหน เหล่าภูติผีก็ดูเหมือนจะไม่หวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว พวกมันนั้นนับได้ว่าเป็นวิญญานแปลประหลาดเมื่อเปลวไฟลุกโชนขึ้นมันก็กลายเป็นแสงลอยไปมา แม้แต่เปลวไฟแก่นแท้นรกที่ปกคลุมอยู่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
ภายในวงล้อมที่เกิดจากสัปประหลาดต้นหวายมีกลุ่มนักอยู่สี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดยังเด็ก ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาผู้หญิงหน้าตาสวยสดงดงาม
เยว่จางเฟิงยินระมัดระวังอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ร่างกายของเขาปล่อยขนนกเปลวไฟออกมา เปลวไฟพุ่งออกมาทันทีและรวมเข้ากับเปลวไฟก้อนเมฆที่ลอยอยู๋ นั้นเอง เหล่าสัปประหลาดต้นหวายก็ไม่กล้ากระทำโดยความประมาท
อีก 2 คนกำลังยืนอยู่ต่อหน้าเยว่จางเฟิงข้างซ้ายและขวา ตามลำดับ พวกเขาสูงและองอาจ มีเครายาวและดูมีเสน่ห์
สองคนนี้มีสายตาเย็นชา พวกเขาไม่ได้พูดอะไร พวกเขาดูเหมือนกำลังรับมือกับการโจมตีทางวิญญานของภูติผี
ด้านหลังเยว่จางเฟิงมีผู้หญิงยืนอยู่ด้วยร่างกายที่สงาง่าม , ใส่กระโปรงหนัง นางถือแส้กระดูกมังกร มองรอบ ๆด้วยความระมัดระวัง
หลินหย่าฉี ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้
จริงๆแล้วเยว่จางเฟิงคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการกับสัปประหลาดต้นหวายเหล่านี้แล้ว แต่ด้วยเหตุผลที่พวกเขากำลังเผชิญกับอันตรายจากภูติผี เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ตั้งแต่พวกเขาพบกันครั้งสุดท้าย เยว่จางเฟิงได้เข้าสู่นภาแรกระดับรู้แจ้งแล้ว อีกสามคน สองคนอยู่ในนภาที่สองและสามระดับรู้แจ้ง กลุ่มนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก และอ่อนแอกว่ากลุ่มของจ้าวเฟิงและฉื่อหยาน
พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนอยู่แต่ในระดับรู้แจ้ง พวกเขาดูเหมือนจะตึงมือในการรับมือกับภูติผี ระดับรู้แจ้งนั้นเป็นระดับที่ห้วงจิตสำนึกพึ่งถูกสร้างขึ้น ดังนั้นวิญญานหลักจึงยังเปราะบาง และแทบจะไม่สามารถใช้พลังวิญญานโจมตีหรือป้องกันได้เลย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขารับมือกับภูติผีพวกนี้อย่างยากลำบาก
" ช่วยหน่อย เร็วเข้า ! " เห็นฉื่อหยานหยุดอยู่ด้านนอกวงล้อม เยว่จางเฟิงดวงตาก็ส่องประกายและพูดกับเขาว่า " เจ้าช่วยข้าจัดการกับภูติผีพวกนี้ที ข้าไม่ขอให้เจ้าทำสิ่งอื่นใดนอกจากสิ่งนี้ ข้าสามารถรับมือกับสัปประหลาดต้นหวายได้ "
ฉื่อหยานก็ไม่ได้เร่งรีบ ร่างกายทั้งหมดของเขาปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมา เขาถักคิ้วของเขา มองคนอื่น และถามว่า " เซี่ยซินหยานอยู่ไหน ? "
หน้าฉื่อหยานก็มืดมน . พอเขาเห็นบางอย่างไม่ดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เยว่จางเฟิงสีหน้าก็เปลี่ยนไป
" ช่วยข้าจัดการกับภูติผีพวกนี้ก่อนแล้วข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเซี่ยซินหยานที่หลัง" เยว่จางเฟิงขมวดคิ้วเข้าหากัน ส่ายหัวและมองฉื่อหยานด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
" ได้" ฉื่อหยานเดินไปทั้งสี่คนด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง เห็นเขาเข้ามาใกล้ เจ็ดสัปประหลาดต้นหวายก็รู้สึกหวาดกลัวกลิ่นอายหนาวเย็น และก็ไม่กล้าที่จะทำร้ายเขา
ด้านหนึ่งเป็นเปลวไฟแก่นแท้นักของเยว่จางเฟิงที่ปล่อยออกท่ และอีก้านคือกลิ่นอายเย็นยะเยือกจากเปลวเหมันเยือกแข็งของฉื่อหยาน แม้ว่าทั้งเปลวไฟนภาจะไม่ได้ปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมา , กลิ่นอายของพวกมันก็เพียงพอที่จะทำให้ต้นหวายหวาดกลัวและไม่กล้าเข้ามาได้
เจ็ดสัปประหลาดต้นหวายก็ ก็เปิดทางให้กับเขา เหตุการณ์นี้ทำให้อีกสามคนที่มากับเยว่จางเฟิงหวาดกลัว
ทั้งสามคนจ้องมองสัปประหลาดต้นหวายและระวังฉื่อหยานในเวลาเดียวกัน พวกเขามองไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความระมัดระวัง
หญิงงามที่มีผิวสีแทน และร่างกายที่น่าสนใจนางสวมกระโปรงหนัง นางยกคิ้วของนางจ้องฉื่อหยานในขณะที่พูดกับเยว่จางเฟิง " จางเฟิง นี่ใคร ? เขาเป็นสมาชิกของนิกายจิตวิญญานสมบัติศักดิ์สิทธิ์รึ ? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเขามาก่อน ?
" เขาเป็นเพื่อนของข้าที่เจอในทะเลไม่มีที่สิ้นสุด " จางเฟิงอธิบาย
" ทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ?" หญิงสาวคนนั้นหัวเราะด้วยความเหยียดหยาม แล้วตวัดกระดูกมังกรแส้ในมือนาง เสียงราวกับสายฟ้าฟาดก็ดังก้องขึ้นในอากาศ
แต่ละข้อของแสกระดูกมังกดูเหมือนจะมีอำนาจลึกลับที่สามารถสั่นสะเทือนท้องฟ้าและพื้นดินได้
นางเป็นคนเดียวที่มีระดับการบ่มเพาะแข็งแกร่งที่สุดในพวกเขาทั้งสี่ ซึ่งนางอยู่ในนภาที่สามระดับรู้แจ้ง แสกระดูกมังกรของนางปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา
" คนสวย ถ้าเจ้าสามารถรับมือกับพวกภูติผีได้ ข้าก็คงไม่ต้องช่วยแล้วสินะ . " ฉื่อหยานมาขดริมฝีปากของเขาและมองไปที่อย่างเย็นชาและพูดเยาะเย้ย " . ถูกต้อง ทะเลไม่มีสิ้นสุดเป็นสถานที่เล็ก ๆ และแน่นอน ว่ากันดารกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า ข้าคิดว่าพรสวรรค์ของพวกเจ้าที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงจะดีเลิศและ สามารถจัดการกับภูติผีพวกนนี้ได้ เช่นนั้น ข้าก็ไม่กล้าที่จะให้สอนปลาว่ายน้ำแล้ว "
หลังจากคุยกัน เขาหันไปหาเยว่จางเฟิง รีบนั่งลง โดยไม่มองผู้หญิงคนนั้น เขาจ้องมองไปที่เจ้าเยว่จางเฟิงด้วยสีหน้าจริงจังและถามว่า " เซี่ยซินหยานเป็นเช่นไรย้าง ? "
" ข้าไม่เห็นเจ้าจะกล้าทำอะไรเลยสักนิด " ใบหน้าของหญิงสาวกลายเป็นเย็นชาในขณะที่นาง กระแอมออกมา “ถ้าหลินหย่าฉี อยู่ที่นี่ เราก็ไม่ได้ต้องการเจ้าหลอก หลินหยาฉีมีสมบัติลับที่ป้องกันวิญญานไม่ให้ภูติผีพวกนี้เข้ามาใกล้ได้”
ฉื่อหยานไม่สนใจผู้หญิงคนนี้ เขานิ่งและมองเยว่จางเฟิง
" นางสบายดี นางอาจจะอยู่ในระดับรู้แจ้งแล้วก็ได้ ข้าสามารถบอกเจ้าได้เพียงไม่มีคำ ช่วยข้าจัดการกับภูติผีพวกนี้ก่อนเถอะ " เยว่จางเฟิงขอร้องเขาอีกครั้ง ในขณะที่พูด เยว่จางเฟิงมองก็ยิ้มเหยเกไปที่หญิงสาวคนนั้น " หลินจือ อย่าสร้างปัญหามากกว่านี้ เจ้าสามาระจัดการกับภูติผีพวกนั้นได้รึไง ห้วงจิตสำนึกของข้าพึ่งถูกสร้างขึ้น ข้าไม่สามารถต้านทานการโจมตีทางวิญญานของภูติผีพวกนั้นได้ เจ้าช่วยพูดให้น้อยลงได้ไหม ?
" อืม . . " ผู้หญิงคนนั้นชื่อ หลินจือ . นางมองฉื่อหยานและหยุดพล่าม
" นางคือ หลินจือ น้องสาวของหลิยหยาฉี นางก็เป็นเช่นนี้แหละ นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับใครนัก แต่หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยมากขึ้น นางก็ไม่แย่นัก " เยว่จางเฟิงฝืนยิ้ม อธิบายให้ฉื่อหยานฟังและพูดเร่ง " เร็วเข้า ภูติผีเหล่านี้ดูเหมือนจะสนใจในการปรากฏตัวของข้าตอนนี้ ข้านั้นมีระดับการบ่มเพาะน้อยที่สุด ข้าแทบจะไม่สามารถต้านทานมันได้ "
ฉื่อหยานส่งเสียงเย็นชามองขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาลังเลอยู่สักพัก และกล่าวว่า " เจ้าต้องบอกข้าทุกอย่างที่หลัง"
หลังจากคุยกัน เขาก็ปลดการป้องกันวิญญานออกมาจากห้วงจิตำสนึกของเขา เพื่อหลอกล่อให้ภูติผีเข้ามา
ภูติผีที่บินมาข้างๆสัปประหลาดต้นหวายก็คิดว่าได้เจอกับอาหารอันโอชะมันจึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเล
ภูติผีสิบสองตน ซึ่งเป็นเหมือนหิ่งห้อยยักษ์ ก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งเข้าไปในห้วงจิตสำนึกของเขาทีละตัว
หลังจากดูภูติผีเข้าไปในห้วงจิตสำนึกของเขา กลุ่มของเยว่จางเฟิงก็เต็มไปด้วยความสงสัย
แม้แต่หลินจือเองก็ไม่เว้น
หญิงสาวคนนี้จู่ๆจ้องฉื่อหยาน คนอื่น ๆในกลุ่มของเยว่จางเฟิงเองก็ชมองเขาด้วยความสงสัย
เมื่อฉื่อหยานมาถึงบึง ก่อนหน้านี้ คน อื่นก็ให้ความสนใจเพียงแต่สัปประหลาดต้นหวาย ที่อยู่ด้านนอกเปลวไฟนรกแท้จริง พวกเขาจ้องมองออกไปอย่างเงียบๆด้วยความระวัง และจู่ ๆก็เห็นฉื่อหยานปล่อยให้ภูติเข้าไปในห้วงจิตสำนึกของเขาทีละตัว ในขณะที่เขายังคงปลอดภัยและยังคงเดินตามหาภูติผีมากขึ้น
เมื่อเยว่จางเฟิงเห็นเขา เขาก็ดีใจเป็นอย่างมากที่จะมีใครซักคนที่เขารู้จักมาช่วย
อีกสามคน หลิน จือ และอีกสอง นั้นกลับไม่เชื่อ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นฉื่อหยานเดินไปมารอบๆบึงอย่างปลอดภัยก่อนหน้านี้ และดูดภูติผีเข้าไปทีละตัว เขาแค่คิดว่าเยว่จางเฟิง ต้องการที่จะหาคนมาช่วยเท่านั้น
ตอนนี้ ฉื่อหยาน ก็เดินไปทั่วในขณะที่เปิดทะเลสติของเขาในเวลาเดียวกัน นี้ทำให้ หลิน จือ และอีก 2 คนตกใจ พวกเขาก็รู้แล้วว่าเยว่จางเฟิงไม่ได้พูดเล่น
กลุ่มของหลินจือนั้นเข้าใจถึงอันตรายของภูติผีเหล่านี้ดี . พวกเขารู้ว่ามีเพียงสมบัติลับที่ป้องกันวิญญานเท่านั้นที่จะสามารถรับมือกับภูติผีเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม ฉื่อหยาน กลับตรงกันข้าม เขาปล่อยให้ภูติผีเหล่านี้เข้าไปในห้วงจิตสำนึกของเขา สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้อยู่นอกเหนือไปจากจินตนาการของพกวเขา
" สหายข้าคนนี้ไม่เหมือนกับนักรบคนอื่นในทะเลไม่มีสิ้นสุด เขาแข็งแกร่งกว่านักรบส่วนใหญ่จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์" ขณะที่ฉื่อหยาน กำลังกลืนกินภูติผี เยว่จางเฟิงก็คุยกับคนอื่นด้วยโทนเสียงต่ำ และใบหน้าที่เคร่งขรึม " ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน เขาอยู่เพียงระดับปฐพีเท่านั้น อืม นี้ก็ผ่านมาแค่ปีเดียว ข้านั้นได้บรรลุเข้าสู่ระดับรู้แจ้ง และข้าคิดว่า นั่นคือความก้าวหน้าที่รวดเร็วแล้ว แต่โดยไม่คาดคิด เขากลับเข้าสู่ระดับนภาได้ นี้มันช่างเหลือเชื่อ "
หลิน จือ และอีกสองคนก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก .
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ