บทที่ 37 เย่โม่ ฉันขอโทษ
ตอนที่หนิงชิงเชวี่ยเดินออกมาจากห้องเก็บของเธอก็ไม่เห็นซู่เวยแล้ว เธอรู้ว่าซู่เวยคงมองว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ดีแน่นอน แล้วตัวเธอไม่ดีจริงๆ หรือเปล่า? หนิงชิงเชวี่ยถามตัวเอง แต่เธอก็ไม่อาจตอบคำถามนี้ได้
นี่เป็นคืนหนึ่งที่เธอไม่อาจข่มตาหลับได้ พอหนิงชิงเชวี่ยตื่นขึ้นมาตอนเช้า ซู่เวยก็ออกไปทำงานแล้ว เธอเตรียมกระเป๋าเดินทางอย่างง่ายๆ หนิงชิงเชวี่ยเหม่อมองไปยังหม้อที่วางอยู่ตรงมุมห้อง หม้อใบนั้นเย่โม่มักจะใช้ต้มยาเป็นประจำ หรือว่าจะเป็นยาพวกนั้นที่เขาใช้ไปตั้งแผงลอยหลอกคนกัน?
กวาดสายตามองอีกครั้งเธอก็เห็นถุงย่ามสีดำที่เย่โม่วางทิ้งไว้อยู่ใบหนึ่ง เธอรู้ว่าข้างในเป็นกระเป๋าพยาบาลของเย่โม่ ล้วนเป็นของที่เขาใช้ขายยาปลอมทั้งนั้น
ขณะที่หนิงชิงเชวี่ยหยิบย่ามใบนั้นขึ้นมา ก็มีเสียงเคาะดังมาจากประตูหน้าสวนทันที
เธอเปิดประตูออกไป หลี่มู่เหมยมาถึงแล้ว
หลี่มู่เหมยกวาดสายตามองสภาพข้างใน เธอไม่เห็นเย่โม่ หลี่มู่เหมยจึงถามอย่างประหลาดใจ “เย่โม่ล่ะ?”
“เขาออกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย” หนิงชิงเชวี่ยตอบโดยอัตโนมัติ
“อ่า... ฉันเอาบัตรมาให้แล้วใบหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ควรให้เงินเขาสักหน่อยนะ ถึงยังไงเราก็ใช้งานเขามานานขนาดนี้ อีกอย่าง…พ่อกับแม่ของเธอก็จะตรงไปหยูโจวเลย พวกท่านไม่มาที่หนิงไห่แล้ว เดี๋ยวพวกเราจะไปเจอกันที่หยูโจวเลย” หลี่มู่เหมยพูดอย่างไม่รีบร้อน
หนิงชิงเชวี่ยส่ายหัว “ไม่ต้องให้แล้ว ฉันให้บัตรธนาคารห้าแสนหยวนกับเขาไปแล้ว ถือว่าพอแล้วสำหรับค่าใช้จ่ายครั้งนี้”
“เธอเอาเงินมาจากไหนห้าแสน?” หลี่มู่เหมยถามหนิงชิงเชวี่ยอย่างแปลกใจ
“ก็ต้องเป็นตอนออกจากปักกิ่งไง ที่เธอช่วยฉันทำครั้งนั้นนั่นแหละ” หนิงชิงเชวี่ยตอบกลับ
“อ่า!... บัตรใบนั้นมันไม่มีค่าอะไรนะ วันนั้นตอนที่พวกเราออกจากปักกิ่งก็ถูกพวกเขาระงับบัตรไปแล้ว ฉันเองก็เพิ่งมารู้ภายหลังนี้เอง ลืมบอกเธอไปเลย” หลี่มู่เหมยมองหนิงชิงเชวี่ยอย่างลำบากใจเล็กน้อย
หนิงชิงเชวี่ยนิ่งค้างไปนาน จากนั้นจึงพึมพำขึ้น “บัตรไร้ค่า? หรือว่าที่ผ่านมาเงินที่ใช้ทั้งหมดจะเป็นเงินของเขา? มิน่าเขาถึงดูขี้งกมากขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นแบบนี้...”
หลี่มู่เหมยเห็นหนิงชิงเชวี่ยมีท่าทีเหม่อลอย คำพูดก็ได้ยินไม่ชัดเธอจึงรีบถามขึ้น “ชิงเชวี่ ย เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉัน...” ทันใดนั้นหนิงชิงเชวี่ยก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบหันหลังกลับเข้าไปหยิบย่ามของเย่โม่ใบนั้นทันที เธอหยิบกระเป๋าพยาบาลใบเล็กออกมาแล้วเปิดออกดูอย่างรีบร้อน
มีขวดเล็กๆ อยู่ 7-8 ขวด กระเป๋าเข็มเงิน บัตรประชาชน รวมถึงบัตรธนาคารที่เธอให้เขาใบนั้นด้วย และยังมียันต์ต่างๆ ที่วาดเป็นรูปทรงแปลกประหลาดอยู่ด้วย สุดท้ายแล้วก็มีจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้าผู้รับเอาไว้
หนิงชิงเชวี่ยหยิบบัตรใบนั้นขึ้นมา มือของเธอสั่นอยู่บ้าง ถ้าตอนนี้มีหลุมล่ะก็ เธอจะมุดเข้าไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ที่ผ่านมาหนิงชิงเชวี่ยคิดเสมอว่าเงินที่เย่โม่ใช้นั้นเป็นเงินของเธอเอง เธอกระทั่งขอเงินสองพันหยวนมาจากเขาอย่างไม่ลังเลด้วยซ้ำ เธอกินอยู่ที่นี่อย่างสบายใจไร้กังวล มาตอนนี้เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นน่าหัวเราะเยาะมากแค่ไหน เงินที่เธอใช้มาตลอดนั้นเป็นเงินของเขาเอง แล้วทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรสักคำเดียว?
ไม่แปลกเลยที่ตอนนั้นไปกินข้าวที่ร้าน ‘กระยาหารเลิศรส’ เขาจะมีท่าทีลังเลแบบนั้น ตอนจ่ายเงินเขาทำแม้กระทั่งหยิบเหรียญห้าเหรียญสิบมาจ่ายด้วยซ้ำ น่าขำที่ตอนนั้นเธอยังจงใจสั่งไวน์แดงสองพันหยวนมาเสียด้วย
ข้างล่างกระเป๋ายังมีใบเสร็จอยู่อีกชุดหนึ่ง หนิงชิงเชวี่ยหยิบขึ้นมาดู เธอรู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองเกิดเป็นเสียงอื้ออึงอยู่ข้างใน สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที หนิงชิงเชวี่ยเกือบจะล้มลงกับพื้น
“ชิงเชวี่ย เป็นอะไรไหม?” หลี่มู่เหมยรีบเข้ามาประคองหนิงชิงเชวี่ย
หนิงชิงเชวี่ยรีบยัดใบเสร็จพวกนั้นกลับเข้ากระเป๋าทันที จากนั้นจึงหันกลับมาพูดกับหลี่มู่เหมย “มู่เหมย เธอรอฉันข้างนอกสักพักนะ”
พูดจบ หนิงชิงเชวี่ยก็วิ่งเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูดัง ปัง!
“ชิงเชวี่ย เป็นอะไรไป? เธอร้องไห้หรือ?” หลี่มู่เหมยยืนอยู่หน้าประตูที่ถูกปิดเอาไว้ เธอรู้สึกสับสนมึนงงอยู่บ้าง เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของหนิงชิงเชวี่ยอย่างชัดเจน เท่าที่เธอจำได้หนิงชิงเชวี่ยนั้นไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้งเดียว ต่อให้เจ็บปวดใจเพียงใดเธอก็ไม่เคยร้อง
แต่มาวันนี้กลับไม่ใช่เสียแล้ว
“เธอเป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเธอถึงได้ปวดใจนัก?”
หนิงชิงเชวี่ยนั่งอยู่หน้าเตียง เธอเปิดกระเป๋าของเย่โม่ออกมาอีกครั้ง ใบเสร็จขายเลือดแต่ละใบวางอยู่ตรงหน้าเธอ ซึ่งใบล่าสุดนั้นเป็นวันเดียวกับที่เพื่อนของเธอมากินข้าวด้วยเมื่อ 2-3 วันก่อนนั่นเอง
เย่โม่ขายเลือด แต่เงินนั้นกลับถูกเธอขอไปถึงสองพันหยวน อีกทั้งยังถูกบังคับให้ไปกินอาหารที่ร้าน ‘กระยาหารเลิศรส’ ที่มื้อหนึ่งต้องจ่ายไปถึงสามพันหยวนอีกด้วย เขาต้องขายเลือดหลายครั้งถึงจะเพียงพอไปกินที่ร้านนั้นได้ 1 มื้อ...
แต่เธอกลับยิ้มเยาะเขาที่นานวันก็ยิ่งขี้งก หัวเราะอาหารที่เขาเตรียมให้ซึ่งนับวันก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
ทำไมเขาถึงไม่มาบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง? เพราะไม่อยากทำหรือเพราะดูถูกเธอกันแน่? เขาเป็นผู้ชายแบบไหนกัน? ผู้ชายที่ไหนจะทนทำได้ขนาดนี้? เขาใช่คนไร้ค่าที่ถูกตระกูลเย่ขับไล่แล้วยังถูกตระกูลหนิงถอนหมั้นคนนั้นจริงๆ หรือ?
หากสิ่งที่กว้างขวางที่สุดในโลกคือมหาสมุทร แต่ตอนนี้ในสายตาของหนิงชิงเชวี่ยนั้น หัวใจของเย่โม่กว้างขวางยิ่งใหญ่กว่ามหาสมุทรหลายเท่านัก เขาดีขนาดนี้ แต่ตอนนี้ในสายตาของเขาแล้วเธอเป็นคนยังไงกันนะ? หยิ่งยโส? ไร้หัวใจ?
น้ำตาของหนิงชิงเชวี่ยพรั่งพรูออกมาไม่หยุด หยดลงบนใบเสร็จขายเลือดที่อยู่ในมือจนตัวอักษรบนนั้นเริ่มค่อยๆ จางลง
ราวกับว่าเธออยากจะร้องเอาน้ำตากว่า 22 ปีออกมาให้หมดเสียตรงนี้ แต่เธอก็ไม่อาจจะหยุดโทษตัวเองและความเศร้าเสียใจที่อยู่ข้างในได้เลย
‘เร่เข้ามา! เร่เข้ามา! มาดูสูตรยาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ รักษาได้สารพัดโรค ปวดหัวตัวร้อน แผลภายในภายนอก ไขข้อเสื่อมสายตาสั้น...มีอาการที่พวกคุณจินตนาการไม่ออก แต่ไม่มีโรคไหนที่ผมรักษาไม่ได้...’
เสียงร้องตะโกนเรียกลูกค้าของเย่โม่ตอนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของเธอ แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยู่เสียแล้ว ช่างน่าขำที่ตอนนั้นตัวเธอในมือถือเค้กสีทอง ยังภาวนาให้ตำรวจรีบมาจับตัวเขาอยู่เลย
น่าขำไหมล่ะ? ตอนนั้นเขาพูดฟังดูแล้วน่าตลกจริงๆ มาตอนนี้เธอกลับรู้สึกได้เพียงความเสียใจเท่านั้น บางทีเค้กสีทองในมือเธอตอนนั้นอาจจะเป็นเงินที่ได้มาจากการขายเลือดของเย่โม่ก็ได้ เธอกลับเอาเงินนั้นไปซื้อเค้กมากิน ซ้ำร้ายยังแอบมองอยู่ด้านข้าง เธอกินเค้กในมือไปด้วยพร้อมกับยิ้มเยาะในความเขลาและความหน้าด้านของเขาไปด้วย
ความเขลางั้นหรือ? ตอนที่เธอกับโจวเลยกินอาหารเสร็จแล้วรอเขาจ่ายเงินอยู่นั้น เย่โม่กลับหยิบเศษเงินออกมาจ่าย นั่นทำให้เธอรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอยู่บ้าง
แต่มาตอนนี้เธอกลับรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว
ปัง! ปัง!... มีเสียงทุบประตูของหลี่มู่เหมยดังมาจากข้างนอก ทว่าหนิงชิงเชวี่ยไม่ได้ยินเสียงอื่นใดแล้ว ตอนนี้เธอได้ยินแต่เสียงของเย่โม่ ‘ไม่ดี อาหารที่นี่ราคาแพง...’
‘…กินร้านนี้อย่างมากก็ไม่กี่พันหยวนเท่านั้น…’ เธอตอบไปแบบนั้น แค่ไม่กี่พันหยวน แต่เงินไม่กี่พันหยวนเหล่านั้นเย่โม่ต้องไปโรงพยาบาลกี่รอบกันถึงจะได้มา? เขายังเป็นนักศึกษาอยู่เลย นอกจากไปขายเลือดที่โรงพยาบาลแล้ว เขาจะไปหาเงินได้จากที่ไหนอีก
หนิงชิงเชวี่ยหยิบเงินสองพันหยวนที่เย่โม่ให้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่ร้อยหยวนแล้ว หนิงชิงเชวี่ยที่ตลอดมารู้สึกว่าเงินนั้นสกปรกเสียเหลือเกิน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอลูบไล้เงินที่อยู่ในมืออย่างปวดใจ
ที่ผ่านมาเขาอยู่ใต้ต้นไม้ข้างหลังสวนและนอนบนพื้นหินมาโดยตลอด เพียงเพราะไม่มีเงินจะไปเช่าอยู่ข้างนอก ทำไมซู่เวยจึงคิดได้ว่าเพราะเขาอยากจะประหยัดเงิน แต่เธอกลับคิดไม่ได้กัน?
ขอโทษนะ เย่โม่...