บทที่ 360 กลุ่มดาวจระเข้ใหญ่
บทที่ 360 กลุ่มดาวจระเข้ใหญ่
ดวงอาทิตย์ลงไปแล้วขึ้นมาอีกครั้ง
ฉื่อหยาน นั่งอยู่บนเรือที่ทำด้วยไม้ เขาหลับตานั่งสมาธิ ในระหว่างวัน และมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในค่ำคทนที่งดงาม .
ในพระราชวังเทพของพรรคสามเทพ เขาได้แช่ตัวเองลงไปในบ่อจิตวิญญานดวงดาว เขาเรียนรู้วิชีใช้เช่น ประกายแสงดารา โล่ดารา และ ดาราผันแปร
ประกายแสงดาราเป็นเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามวิถีโคจรที่น่าอัศจรรย์ของดวงดาว โล่ดาราใช้พลังดวงดาวอัดแน่นกันกลายเป็นปีกเพื่อใช้หลบหนีได้ ดาราผันแปรก็ได้รับมาหลังจากเข้าใจพลังดวงดาวอย่างลึกซึ้ง โดยโคจรพลังดวงดาวเพื่อโจมตี
เขาคิดว่าเขามีความเข้าประกายแสงดาราและโล่ดาราค่อนข้างลึกซึ้ง เท่าที่เขาสามารถทำได้คือ รวมวิชาทั้งสองเพื่อมาใช้ในการต่อสู้ และเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา
สำดวงดาราผันแปร เป็นวิชาที่ต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งเป็นอย่างมาก จำเป็นจะต้องเข้าใจกฏเกณการโคจรของดวงดาว และยังต้้องรู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของของท้องฟ้าและฟืนดิน
ฉื่อหยาน จึงทุ่มเทความพยายามไปยังการฝึกฝนดาราผันแปรมากกว่า เขารู้สึกว่ามันลึกซึ้งจนไม่สามารถคาดเดาได้ และดูเหมือนมันจะมีความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด
มันเป็นความลึกลับที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในจิตวิญญานดวงดาว ดังนั้น ,จนกกว่าจะมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับดาราผันแปรและจิตวิญญานดวงดาว เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเข้าสู่ระดับใหม่
เมื่อคืน ดาวส่องแสงระยิบระยับเหมือนอัญมณีและท้องฟ้าก็เป็นเหมือนกำมะหยี่สีเข้ม
ในยุคโบราณ เมื่อครั้งที่แผ่นดินรุ่งเรืองถูกสร้างขึ้น ดวงดาวในท้องฟ้าได้มีอยู่ก่อนที่ใครจะจำความได้ อาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลา ประวัติความเป็นมาของดวงดาวเหล่านั้นอยู่ห่างไกลกว่าที่การกำเนิดแผ่นดินรุ่งเรืองอยู่มาก
ความลึกลับและความไม่มีที่สิ้นสุดมากมายเกี่ยวกับโลกและสวรรค์อยู่ซ่อนอยู่ในทะเลกว้างใหญ่ของดวดาว
ยิ่งเขาเห็นดาวเล็กๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้
เขามีลางสังหรณ์ว่า เมื่อเขาเข้าใจความลึกลับของดวงดาวในท้องฟ้า เขาจะสามารถออกไปจากแผ่นดินรุ่งเรืองและเข้าสู่จักรวสลที่ไม่มึสิ้นสุดได้
สงบจิตใจของเขาอยู่ในสภาวะไร้ตัวตน . เขานั่งมองดวงดาว ซึ่งดูเหมือนอัญมณีเติมท้องฟ้าทั้ ในขณะที่ความรู้สึกกของเขาเชื่อมต่อกับดวงดาวอันมากมายบนท้องฟ้า
เป็นการเชื่อมต่อที่ละเอียดอ่อนมาก เขาพยายามที่จะปลดปล่อยจิตสำนึกหยดเล็ก ๆไปบนท้องฟ้า ค่อยๆเข้าไปยังทะเลดวงดาวที่เวิ้งว้าง
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่จิตสำนึกวิญญาที่ลอยอยู่เหนือเมฆในท้องฟ้าและกำลังจะออกไปนอกแผ่นดินรุ่งเรือง จิตใจของเขาก็เริ่มซบเซาและฟุ้งซ่านจิตใจและสติ ก็ถูกส่งกลับมายังร่างเขาดังเดิม
ตรงนั้นมักจะกลายเป็นผนังมืด กำแพงนี้ดูเหมือนจะอยู่ที่เส้นขอบฟ้าของแผ่นดินรุ่งเรืองและปิดกั้นจิตวิญญานต่อสู้ของเขา ทุกครั้งที่เขาต้องการจะผ่านผนังนี้ เขาจะได้รับผลกระทบจากการใช้พลัง ซึ่งมันได้สลายพลังของเขา มันทำสลายจิตสำนึกของเขาและทำลายความพยายามทั้งหมดของเขา
เขาไม่ยอมแำ้ แต่พยายามอีกครั้งและอีกครั้ง เขาเปิดจิตสำนึกวิญญาณของเขาไปยังท้องฟ้าทุกคืน พยายามกำจัดกำแพงสิ่งกีดขวางนี้
อย่างไรก็ตาม ความพยายามทั้งหมดของเขาล้มเหลว ทันทีที่เขาใกล้ชิดสัมผัสผนัง จิตสำนึกวิญญานก็จะถูกส่งกลับมา
หลังจากความพยายามล้มเหลวจนเกิดเป็นความล้มเหลวมากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็มาถึงบทสรุป ซึ่งมันต้องเป็นเพาะระดับของเขา
หากยังไม่สามารถเข้าถึงระดับหนึ่งได้ จิตสำนึกวิญญาณของเขาจะได้รับผลกระทจากผนังที่มองไม่เห็น เมื่อจิตวิญญาณของเขาเข้าไปใกล้กำแพง ก็จะเกิดแรงจะผลักกลับมาที่ร่างกายของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะรู้สึกถึงการมีอยู่ของผนัง
เค้าค่อย ๆ มั่นใจขึ้นเมื่อระดับของเขาสูงขึ้นและมีจิตสำนึกวิญญานที่แข็งแกร่ง เขาได้สัมผัสกับผนังที่อยู่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการโคจรของดวงดาว
ถึงแม้ว่าเขาได้พบกับความล้มเหลวหลายครั้ง มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับอะไรเลย จากการทดลองปล่อยจิตสำนึกวิญญานไปยังท้องฟ้าหลายครั้ง ก็เป็นขั้นตอนการฝึกฝนจิตสำนึกวิญญานและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกัน
ดังนั้น ขอบเขตของจิตสำนึกวิญญานของเขาจึงได้ขยายขึ้นเล็กน้อย และการใข้จิตสำนึกของเขาก็เริ่มลึกซึ้งมากขึ้นกว่าก่อน
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาได้ปลดปล่อยจิตสำนึกวิญญาณของเขออกมาา เขาได้แต่สัมพัสเพียงความผันผวนของกลิ่นอายชีวิตภายในรัศมีหลายร้อยไมล์ หลังจากความพยายามหลายครั้ง จิตสำนึกวิญญาณของเขาตอนนี้สามารถครอบคลุมได้เป็นพันไมล์
เว้นเสียแต่ว่านักรบที่มีระดับการบ่มเพาะลึกซึ้งผู้ที่สามารถดึงความผันผวนของจิตสำนึกวิญญานได้ ไม่มีอะไรสามารถหนีหลบหนีจากสัมพัสของเขาได้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์
แม้ว่า ฉื่อหยาน จะปล่อยจิตสำนึกวิญญานไว้ในทะเลดวงดาวที่กว้างใหญ่ เขาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับมัน มองดู และศึกษาดวงดาว ในช่วงกลางวัน เขาก็เปลี่ยนไปนั่งสมาธิ สัมพัสถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญานดวงดาว ตอนกลางคืนเขาก็จดจ่ออยู่กับการศึกษาดวงดาว
ขณะที่มองดูดวงดาว จิตวิญญานของเขาจมลงไปในพวกมัน เขาตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญานต่อสู้ที่เชื่อมต่อกับดวงดาวบนท้องฟ้า รู้สึกถึงการเชื่อมต่อของพวกมัน เรียนรู้เกี่ยวกับกับความลึกลับและพยายามที่จะเข้าใจดาราผันแปรอย่างลึกซึ้ง
มีอาณาจักรดวงดาวมากมายในท้องฟ้า ดวงดาวมากมายเกิดขึ้นจากดาราผีนแปร ด้วยการสังเกตจดจ่อ อาณาจักรดวงดาวอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อเกิดเป็นรูปแบบดวงดาวลึกลับ ซึ่งมีรูปแบบการโคจรที่น่าอัศจรรย์เป็นของตัสเอง
เมื่อเขาเข้าใจว่าดวงดาวในท้องฟ้าถูกแบ่งออกเป็นอาณาจักร และแต่ละอาณาจักรก็มีความมหัศจรรย์เป็นของตัวเอง เขาจะไม่เสียเวลาจ้องมองอาณาจักรดวงดาวทั้งหมด แต่เขาจะเน้นเฉพาะอาณาจักรดวงดาวเพียงอาณาจักรเดียวเท่านั้น
จากนั้นเขาก็เริ่มใช้และความพยายามเพื้อศึกษาอาณาจักรดวงดาวที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเขาสามารถสังเกตุเห็นหมู่ดาวขนาดใหญ่นั้นได้อย่างง่ายดาย เขาใช้ดวงตาและจิตใจจดจ่ออยุ่กับอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ ในกลุ่มอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ เขากำลังจ้อมองไปยังดวงดาวที่ส่องประกายทั้งเจ็ดดวง
ไม่อาจรู้ได้เลยว่าผ่านมาแล้วกี่ค่ำคืน
วันหนึ่ง เมื่อตกกลางคืน , เมื่ออาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ปรากฏ เขาก็ได้จ้องมองมัน . ดวงดาวภายในที่มีขนาดเล็กนิดเดียว ตอนนี้ดูเหมือนจะค่อยๆขยายใหญาขึ้น
ระยะห่างระหว่างเขาและอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ดูเหมือนจะสั้นลง
กลุ่มอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ส่องประกายวิบวับในดวงตาของเขา จิตวิญญานในหัวใจของเขาเองก็มัดวงดาวอยู่เจ็ดดวง ซึ่งสอดคล้องกับอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่และมันก็ทำการเชื่อมต่อกันผ่านดวงตาของเขา
ดวงดาวบริวารที่มีขนาดเล็กเท่ากับเม็ดข้าว ตอนนี้มันก็มัขนาดใหญ่ขึ้นในดวงตาของเขา
มันอาจรู้ได้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ภายใต้การจ้องมองของเขา แสงอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ในดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยภาพของดวงดาวในท้องฟ้า
ดาวบริวารที่มีขนาดเล็กมาก เหมือนเม็ดข้าว ตอนนี้ก็กลายเป็นใหญ่และส่องแสงเหมือนภูเขาทั้งเจ็ด
ในสายตาของเขา ดาวบริวารบนฟ้ากลายเป็นภูเขาดวงดาวขนาดใหญ่ทั้งเจ็ด และระยะห่างระหว่างเขาและพวกมันนั้นใกล้กันเป็นอย่างมาก
ทันที , จิตวิญญานดวงดาวในร่างกายของเขาก็แวบขึ้นในเวลาเดียวกับที่ดวงดาวทั้งเจ็ดปกคลุมดวงตาของเขา
ในคืนที่มืดมิด , ดาวบริวารดูเหมือนเส้นแสงทั้งเจ็ด ,ที่เชื่อมต่อกับเขา
บางอย่างในหัวของเขา ก็ถูกกระตุ้น .เขาอยู่ในความงุนงง ท่ามกลางแสงที่กระพริบไปมา
ตอนนี้จิตสำนึกวิญญานของเขาก็กระจายออกมาและมุ่งไปที่ดวงดาวทั้งเจ็ด เขารู้สึกเหมือนจิตสำนึกวิญญานของเขากำลังวนเวียนอยู่ในกระบวยขนาดใหญ่ มันออกมาจากแผ่นดินรุ่งเรืองและเข้าไปยังอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่
เขาเงียบและรับรู้ถึงทุกสิ่งในอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ด้วยเวลาที่ผ่านมาเท่าไหร่ก็อาจรู้ได้ ผ่านดินแดนที่ไม่รู้จัก , มันดูน่าหลงใหลราวกับจิตใจของเขาถูกปีศาจสิงอยู่
จางหายไปในเวลากลางวันและ โผล่มาในเวลากลางคืน แต่ในใจของเขา อาณาจักรดวงดาวยังคงส้องแสงและเป็นนิรันดร์ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน มันดูเหมือนจะปรากฏอยู่ในจิตใจของเขาอีกนานเท่านาน
จิตสำนึกวิญญานก็ทะลักออกมาจากหัวของเขาอย่างเงียบๆ ลอยแขวนอยู่ในห้วงจิตสำนึก เขายกศีรษะมองท้องฟ้า รู้สึกเหมือนกับว่าอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่อยู่เพียงปลายนิ้วของเขา
ด้วยสภาพจิตใจเช่นนี้ , ร่างกายของเขาไม่ขยับ ดวงตาของเขาไม่แม้แต่จะกระพริบตา เขาจ้องมองไปที่ท้องฟ้า เขาอยู่ในอาการมึนงงเป็นเวลานานกว่าครึ่งเดือน
ภายในครึ่งเดือน เขาราวกับ่ว่าได้เข้าไปในดินแดนลึกลับ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงความจริงของท้องฟ้า สวรรค์และแผ่นดินโลก พลังปราณลึกลับในร่างกายของเขายังคงไหลลงสู่เรือที่ทำด้วยไม้ซึ่งลอยอยู่เงียบๆ เรือแล่นไปในทะเลอย่างอ้างว้างไปทางตะวันออก
เวลาก็ล่วงเลยมาก
ตกดึก
ฉื่อหยาน ยังคงมองท้องฟ้า แสงสว่าจากดวงดาวทั้งเจ็ดยังคงประกายในดวงตาของเขา ยิ่งจ้องมอง หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรง
เจ็ดเส้นสายแสงดวงดาวส่องประกายในดวงตาที่ว่างเปล่าของเขา แสงเหล่านี้เป็นเหมือนน้ำพุทั้งเจ็ดมราไหลลงมาจากท้องฟ้า ข้ามพื้นที่ ผ่านทุกอย่าง และปรากฏเหนือหัวของ ฉื่อหยาน ซึ่งผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้.
เจ็ดเส้นสายแสงดาวดาวโปร่งใสเป็นเหมือนกับน้ำตกที่ซัดลงมา แม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปในร่างฉื่อหยานโดยตรง เพียงแค่ดูดซับพวกมัน เขาก็รู้สึกได้ถึงความน่าหวาดหวั่นที่ลึกลับของพวกมัน
น้ำตกทั้งเจ็ดเป็นเหมือนอุกกาบาตขนาดเล็ก ,เกิดเป็นรูปแบบกลายเป็นกระบวยใหญ่ขณะที่ยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง
ตาของเขาและจิตวิญญานดวงดาวก็ถูกกระตุ้น ฉื่อหยาน นั่งอยู่ตรงบนเรือไม้ ราวกับว่าเขาสามารถควบคุมอุกกาบาตทั้งเจ็ดให้เคลื่อนไหวไปตามดวงตาของเขาได้
ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของเขาคือแนวปะการังที่ดูเหมือนการภูเขาที่โผล่ขึ้นจากทะเล เมื่อดวงตาของเขามองไปที่พวกมัน เจ็ดอุกกาบาตก็ยังคงหมุนเวียน โดยมีเส้นแสงจากดวงดาวส่องเข้ามา
" บูม บูม "
พื้นก็สั่นสะเทือน สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อทั้งอุกกาบาตทั้งเจ็ดชนชนกับแนวประการัง
คานแสงดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องประกายไปยังแนวประการัง , เปลี่ยนจากแนวประการังที่เหมือนภูเขาให้กลายเป็นขี้เถา และหายไปราวกับพวกมันไม่เคยมีอยู่
ด้วยการระเบิดขนาดใหญ่ ฉื่อหยาน ดวงตาของเขาก็คืนสติกลับมา เจ็ดดาวค่อย ๆหายไป แต่ตาของเขากลับเต็มไปด้วยแสงดวงดาวที่ส่องประกายอยู่ในความมืด
" เพราะพลังของอาณาจักรดวงดาวขนาดใหญ่ทำให้ข้าเข้าใจดาราผันแปรมากขึ้น ข้าจะเรียกกลุ่มดาวนี้ว่า กลุ่มดาวจระเข้ใหญ่ " ฉื่อหยาน พึมพำด้วยเสียงต่ำและโค้งศีรษะ เผยให้เห็นรอยยิ้ม
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ