บทที่ 299 ไม่ได้พบกันเนินนาน
บทที่ 299 ไม่ได้พบกันเนินนาน
ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะสุริยัน มีคฤหาสน์ที่เงียบสงบอยู่ซึ่งทำจากอิฐสีชมพู คฤหาสน์นี้แต่เดิมเป็นของผู้อาวุโสใหญ่ที่กลายเป็นบ้าเพราะการฝึกบ่มเพาะ และวิญญานแตกสลายและจิตสำนึกถูกทำลาย ดังนั้น สถานที่แห่งนี้จึงไม่มีเจ้าของ
คฤหาสน์ นี้กว้าง30 มู ( 1 มูเท่ากับ 3.600 ตารางเมตร ) มีทะเลสาบขนาดเล็กพร้อมกับมีบอนไซ ( ศิลปะ ที่เป็นภูมิทัศน์ขนาดเล็กเลียนแบบภาพของหมู่เกาะ , ภูเขาและสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เป็นธรรมชาติ )ในลานกว้างมีบ้านหลายชั้นที่แตกต่างกัน ข้ารับใช้อาศัยอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปีและทำความสะอาดที่นี่อยู่เสมอจนไม่มีฝุ่นแม้แต่รอยเดียว
ในพรรคสามเทพ สถานที่ที่ใช้ให้แขกพักจะถูกจัดเรียงตามสถานะของพวกเขาและแบ่งออกเป็นระดับที่แตกต่างกัน
คฤหาสน์นี้เป็นหนึ่งในสามที่พักที่ดีที่สุดของพรรคสามเทพ เฉพาะผู้นำกองกำลังที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่ได้รับการต้อนรับและอาศัยอยู่ที่นี่ คนที่อยู่ที่นี่ได้ต้องมีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสขึ้นไปมิเช่นนั้นจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะอาศัยอยู่ที่นี่
เป็นฉื่อหยานและผู้นำอีกสามคน อีเทียนโหมว คาป้า และ หยาเมิง มาถึงที่นี้ พวกเขาก็มองไปที่เสาไม้ที่เต็มไปด้วยรอยแกะสลักข้างๆ , ของตกแต่งที่ละเอียดอ่อน , และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย พวกเขาแอบชมเชยอย่างเงียบๆและประหลาดใจถึงความหรูหราของพรรคสามเทพ
ข้ารับใช้ทั้งหมดต่างก็แต่งตัวดูดี สาวใช้ที่นี่ต่างก็มีอายุสิบสี่สิบห้าปีและพวกนางก็งดงามอีกด้วย พวกนางสวมเสื้อที่เผยให้เห็นถึงผิวหนังแขนและท้องของพวกนาง พวกนางเข้ามาใกล้กับ ฉื่อหยาน และพรรคพวกของเขา พวกนางถือถาดเงินที่มีผลไม้สดวางอยู่เดินมาก้มลงและยกให้พวกเขา
ทันทีที่ฉื่อหยานนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง หญิงสาวที่อายุน้อยและงดงามเจ็ดคน ก็วิ่งวุ่นวายนำเครื่องดื่มมาให้เขา
" สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้อนรับแขกระดับสูงสุดของพรรคสามเทพ ครั้งสุดท้าย ตอนที่ลุงของข้าและข้ามายังเกาะนี้ เราไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะอยู่ที่นี่ และเวลานี้พรรคสามเทพก็ได้เชิฐแขกผู้มีเกียรติมามากมาย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าการต้อนรับในครั้งนี้จะแย่กว่าครั้งก่อนเสียอีก โดยไม่คาดคิด หลี่ฟู่ กลับเป็นคนนำเรามายังที่นี่ด้วยตัวเอง มันเหลือเชื่อนัก " ฉาวจื่อหลาน ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉื่อหยาน มือที่ขาวราวกับหยกก็เอื้อมไปหยิบองุ่นหวานฉ่ำพร้อมกับเอียงศีรษะของนาง , นางปอกผลไม้ และไม่ได้มองเขาแต่ก็พึมพำด้วยเสียงเบาๆ
" หลี่ฟู่ คงจะคิดว่าเจ้าเป็นตัวแทนจากตระกูลฉาวหนะสิ " ฉื่อหยาน ผ่อนคลายและกินองุ่นในมือของเขาและกล่าวว่า " ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าอำนาจของตระกูลฉาวอยู่ในอันดับต้นๆของทะเลไม่มีสิ้นสุดหลอกรึ ?
" ข้านั้นไม่เคยแสดงออกอย่างเย่อหยิ่ง " ฉาวจื่อหลานพยักหน้า ริมฝีปากแดงของนางเคี้ยวองุ่น และกลืนมันลงไป นางยิ้มและยกหัวของนางขึ้น . ดวงตาคู่สวยของนางส่องประกายบางอย่างมีความนัย“ถ้าเป็นหัวหน้าตระกูลฉาวมาหละก็ มันชัดเจนว่าจะต้องได้อยู่ที่นี่แน่ อย่างไรก็ตาม สถานะของข้าและสถานะของเจ้าก็ต่ำเกินไป ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ที่นี่ หลี่ฟู่ ทำตัวดูเหมือนจะสนใจข้ามากระหว่างทางมาที่นี่ แต่เขากลับจับตาดูคนอื่นแทน” ดวงตาสดใสและชัดเจนของหญิงที่งดงามคนนี้มองไปที่ฉื่อหยานอย่างตั้งใจ ในขณะที่ ยิ้มออกมาอย่างทรงเสน่ห์. " ข้าแค่สงสัย เขานั้นไม่พูดถึงตัวตนของเจ้า แต่กลับสนใจเจ้าอย่างระมัดระวังและปฏิบัติต่อเจ้าดีกว่าปฏิบัติกับนักรบระดับนภาเสียอีก เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองตรงเข้าไปในดวงตาของเจ้า เขากลับยืนอยู่ข้างหลังเจ้าและแอบมองเจ้าแทน ทำไมเขาถึงต้องเคารพเจ้าเช่นนั้นด้วย ? "
ฉื่อหยานยักไหล่ เขามองไปที่อีเทียนโหมว หยสเมิง คาป้า และกล่าวว่า " บางทีเขาอาจจะยอมให้กับระดับการบ่มเพาะของพวกเขาก็ได้ . "
หญิงสาวผู้งดงามคนนี้ยิ้มและส่ายหัวของนาง " . เมื่อนักรบระดับพระเจ้าจงใจปกปิดกลิ่นอาย ของพวกเขาตราบใดที่ไม่ใช้พลังระดับพระเจ้าออกไป ก็ไม่มีใครรู้ได้เด็ดขาด รวมทั้งนักรบในระดับเดียวกันด้วย ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเขายอมรับพวกเขาหลอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งสามคนต่างมีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับคัมภีร์วิญญาน เมื่อพวกเขาปิดบังตัวตนไว้ แม้แต่นักรบระดับสูงก็ไม่สามารถรู้ได้ถึงระดับการบ่มเพาะที่แท้จริงของพวกเขาแน่น . "
ฉื่อหยาน ก็แปลกใจ เขาส่ายหัว ปั้นหน้ายิ้ม แต่ก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม
ฉาวจื่อหลาน จ้องมองเขาอย่างโมโห นางโมโหที่เขาไม่ตอบนาง อยู่ๆนางก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า " ข้ากำลังจะไปที่ภูเขาแสงศักดิ์สิทธิ์ เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่ ? "
ฉื่อหยานส่ายหน้า
"เกาะสุริยันนั้นเป็นวงกลม ดังนั้น บ้านแขกทั้งหมดจึงตั้งอยู่ขอบๆเกาะ ภูเขาแสงศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมากที่สุดบนเกาะ มีน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงและอาคารสำหรับแลกเปลี่ยนวัสดุฝึกบ่มเพาะ สมบัติลับ รวมถึงของวิเศษที่อยู่พื้นที่ใกล้ๆด้วย . . . . . . . " ฉื่อหยานไม่ได้แสดงอาการอะไรเลย ฉาวจื่อหลานจึงรู้สึกท้อ แล้วบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนั้น
ฉื่อหยานยังส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาค่อยๆ เหวี่ยงแขนของเขาและพูด " เจ้าไปก่อนเลย ถ้าภายหลังข้าสนใจ ข้าจะไปพบเจ้าที่นั่น แต่เจ้าควรจำไว้ว่าเรานั้นได้ฝังเคล็ดวิชาวิญญานไว้ในร่างของเจ้า ก่อนที่ตระกูลฉาวจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนมา เจ้าอย่าได้ทำอะไรโง่ๆเด็ดขาด " .
" เจ้าไม่ต้องเตือนข้าตลอดก็ได้นะ ?" ฉาวจื่อหลาน ก็พูดอย่างแค้นใจ
" ข้ากลัวว่า เมื่อเจ้าได้ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย เจ้าอาจจะลืมว่าเจ้ามีพันธนาการอยู่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นใด ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว
ฉาวจื่อหลาน เหลือบมองที่เขา ร่างกายที่งดงามของนางเป็นเหมือนดอกไม้สีม่วงเบ่งบานอย่างงดงาม เสียงกระทบกันของผลึกดังขึ้นจากเครื่องประดับบนชุดของนาง
ทันทีที่ฉาวจื่อหลาน จากไป ฉื่อหยานสีหน้าก็เศร้าหมอง จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
โดยไม่สนใจอีเทียนโหมวและอีกสองคนที่กำลังประหลาดใจ เขาก็นั่งลงตรงบนพื้น ทันทีที่ปล่อยจิตสำนึกวิญญานของเขาเพื่อสังเกตบางสิ่งอย่างอย่างเงียบๆ
ทั้งสามคนก็งุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะสร้างรูปแบบป้องกันรอบๆห้องพักเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามา
เส้นสายวิญญาณที่สั่นสะเทือนอย่างน่าอัศจรรย์ก็แผ่ออกมาจากร่างกายของ ฉื่อหยาน เส้นสายเหล่านี้ประหลาดเป็นอย่างมาก มันสัมพัสไปยังความรู้สึกของจิตสำนึกที่แตกต่างกันซึ่งมีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก
ทั้งสามคนกลุ่มของอีเทียนโหมวต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาน หลังจากสังเกตสักพัก พวกเขาก็ตระหนักได้ว่า กระแสจิตสำนึกวิญญาณของฉื่อหยานดูเหมือนจะสัมพัสได้ถึงบางสิ่ง และตอบสนองกับบางอย่าง อย่างแปลกประหลาด
ห้านาทีต่อมา
ฉื่อหยานก็ค่อยๆลืมตา เขารีบลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่สับสน . เขาครุ่นคิดสักพัก ก่อนที่จะพูด " ตามข้ามา "
" ขอรับ " ทั้งสามคนกลุ่มของอีเทียนโหมวก็พยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
" ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ เมื่อข้ามาที่นี่ ข้าก็รู้สึกว่ามี ใครสองคนเรียกหาข้า . . . . . . . " ฉื่อหยาน ขมวดคิ้วของเขาแน่น และคิดสักพักก่อนจะพูด " ทั้งสองคนนี้ดูเหมือนเพิ่งจิตสำนึกและสติปัญญาเมื่อไม่นานมานี้; วิญญาณของพวกเขาบริสุทธิ์อยู่ วิญญานของพวกเขาดูเหมือนจะต่างออกไปจากสิ่งมีชีวิตระดับสูง แม้ว่าตัวต้นของพวกเขาจะไม่โดเด่น แต่พวกเขาก็ให้ความรู้สึกที่ผูกพันกับข้า มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ . "
ทั้งสามคนกลุ่มของอีเทียนโหมวก็ชายตามองเขาด้วยความงุนงง พวกเขาดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉื่อหยานรู้สึก
" ดูเหมือนว่า ข้าจะรู้จักพวกเขา และเคยพบกันที่ไหนสักแห่ง แต่ข้าจำไม่ได้ แม้ว่าข้าจะพยายามคิดเท่าไหร่ก็ตาม " ฉื่อหยาน ส่ายหัวพร้อมกับขมวดคิ้วและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้า " . มันเป็นความรู้สึกที่แปลกและผิดปกติเป็นอย่างมาก บางทีเราน่าจะไปที่นั่นเพื่อดูว่ามันคืออะไร มิฉะนั้น เราจะไม่ได้อะไรเลยหากเราไม่เชื่อในความรู้สึกของเรา”
ทั้งสามกลุ่มของอีเทียนโหมวก็พยักหน้าอีกครั้ง
ด้วยทำตามคำสั่งของ ฉื่อหยาน , พวกเขาทั้งสามคนก็ถอนรูปแบบป้องกันออก และสั่งให้ข้ารับใช้ดูแลคฤหาสน์ แล้วทั้งสี่คนก็ออกจากคฤหาสน์ , ไปทางทิศตะวันตกของเกาะ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
" แคว๊กกกกก แคว๊กกกกก ! แคว๊กกกกกกกกกกก " .
กลิ่นอายพลังหยินหนาแน่นเป็นอย่างมากภายในห้องหิน . เสียงที่น่าขนลุกดังออกมาจากโลงศพไม้ทั้งสอง
ศพนภาดูเหมือนจะพยายามใช้เล็บที่ยาวแหลมคมของมันข่วนฝาหีบศพราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะออกจากโลงศพ
หยินไห่ปัจจุไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาได้ถูกเรียกตัวโดยประมุขของนิกายซากศพพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่น เพื่อรับคำสั่งของประมุขนิกาย
กลิ่นอายพลังหยินและกลิ่นอายความตายก็กระจายทั่วห้อง ,มันมืดมิด หนาวเย็น ซึ่งอยู่ลึกลงมาใต้พื้นดินรับสิบเมตรและไร้ซึ่งแสงสว่าง
ตอนนี้มีเพียงสาวกคนหนึ่งของหยินไห่เท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ที่กำลังหลับพิงกับเตียงไม้ห่างออกมาและ กำลังฝันถึงท้องฟ้าที่สดใส
เสียงสะท้อนจากโลงศพก็เริ่มดังขึ้น ดังขึ้น เสียงเหล่านี้ดังเกินไปกว่าจะกลับลึกได้ ในที่สุดเขาก็ตื่น
ใบหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเพราะความกลัว เขาจ้องมองโลงศพทั้งสองเป็นเวลาห้าวินาทีก่อนที่ใบหน้าของเขาเริ่มซีดและรีบหนีไปหาอี้ไห่
" แค่ก แค่ก ! "
เล็บยาวแหบมคมสีขาวก็ ทะลุออกมาจากโลง แล้วโลงก็ถูกทำลาย ศพนภาผู้ชายที่เคยถูกฝังที่หลุมฝังศพ93 ก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง .
ภายในดวงตาที่ว่างเปล่าสมีจุดประกายแสงเกิดขึ้นหลายจุด หากมองใกล้ๆจะรู้ได้ว่าเป็นแสงประกายของชีวิต มันคือผนึกแห่งความเป็นความตายของฉื่อหยาน
ผนึกเหล่านั้นที่มีขนาดเล็กๆก็เริ่มชัดเจนขึ้น ดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ปรากฏขึ้น ราวกับว่าจะเกิดปาฏิหาริย์บางอย่างขึ้น . . . . . . .
" แก่ก แก่ก ! "
ศพนภาผู้หญิงที่อยู่อีกโลงหนึ่งก็ลุกขึ้น ลึกลงไปภายในดวงตาที่ว่างเปล่าก็มีประกายแสงเกิดขึ้นมันเป็นสีขาว และ ผิวขาวซีดก็ส่องสว่างเรืองแสงออกมา . ร่างกายของมันดูราวกลับว่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
พุ่มไม้หรูหราและพืชพรรณกระจายอยู่ทั่วเกาะสุริยัน .มีทางเดินขนาดใหญ่ที่ปูด้วยหินอ่อนอยู่บนเกาะ
นักรบมากมายจากทะเลทุกต่างๆ ก็รวมตัวกันกลุ่มละสามถึงห้าคน เดินไปมา ส่วนใหญ่ของพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังภูเขาแสงศักดิ์สิทธิ์พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ฉื่อหยานขมวดคิ้วของเขา ภายใต้แสงแดดที่เผาไหม้ร่างกายของเขา เขายังคงเยือกเย็น
เขาตั้งใจดึงพลังความเย็นส่วนหนึ่งของเปลวเหมันเยือกแข็งออกมาใช้ ซึ่งตอนนี้มันได้ไหลทั่วร่างกายของเขา บนเกาะที่มีแวงแดดเปรี้ยง ร่างกายของเขาก็เย็นเหมือนน้ำแข็ง คล้ายกับสาวกของนิกายซากศพ ซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาดูไม่เป็นมิตร และดูเศร้าหมอง ไม่ง่ายที่จะทำความรู้จัก
ส่วยอีกสามคนกลุ่มของอีเทียนโหมวพวกเขามีเคล็ดวิชาและประกอบกับโครงสร้างร่างกายของตนเองที่เต็มไปด้วยพลังหยินที่แตกต่างกับมนุษย์ทั่วไป พวกเขาจึงมีใบหน้าซีดเซียว ร่างกายของพวกเขาดูเย็นยะเยือกและมืดมนตามธรรมชาติ
ดังนั้น ความร้อนที่เผาไหม้จึงถูกผลักออกไปจากร่างกายของพวกเขาด ในขณะที่พวกเขาเดินอยู่ แม้แสงแดดที่ส่องสว่างจ้าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งผลต่อร่างกายของเขา
นักรบที่เดินผ่านต่างก็ก็พลันสั่นสะท้าน พวกเขารู้สึกหนาวไปถึงหัวใจ เมื่อพวกเขาเข้าเดินผ่านพวกเขาไม่ไกลเกิน 10 เมตรา นักรบเหล่านั้นถอยห่างออกจากพวกเขาด้วยสัญชาตญาณอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวและแสดงสีหน้าออกมาด้วยความเกลียดชัง
พวกเขาสันนิษฐานว่า พวกเขาทั้งสี่ต้องเป็นสาวกหลักของนิกายซากศพ
ในทะเลกว้างใหญ่ มีเพียงสาวกของนิกายซากศพเท่านั้นที่ฝึกบ่มเพาะด้วยพลังหยินที่หนาวเย็น แม้ในฤดูร้อน ร่างของพวกเขาทั้งหมดก็ยังคงเย็นยะเยือก และพวกเขาก็มักจะสวมเสื้อหนาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สมควรเข้าใกล้
นิกายซากศพไม่ได้นับว่าเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งในทะเลไม่มีสิ้นสุด แต่ความลึกลับของพวกเขาทำให้นักรบหลายคนหวาดกลัว
ถ้าไม่จำเป็น นักรบธรรมดาทั่วไปต่างก็ไม่ต้องการไปยุ่งเกี่ยวกับสาวกของนิกายซากศพ มันเป็นสัญชาตญานของพวกเขา . ทุกคนในใจลึกๆต่างก็หวาดกลัวนิกายซากศพ พวกเขากลัวว่าพวกเขาจะถูกฆ่าและถูกปรับแต่งเป็นศพ
สองกระแสวิญญานที่คลุมเครือก็ไหลมาที่ฉื่อหยานอย่างเงียบๆ มันเข้าไปในห้วงจิตสำนึกของเขาแต่ก็ไม่ได้เข้าไปในวิญญานหลัก
กระแสวิญญาณทั้งสองต่างก็เป้าหมายที่ฉื่อหยาน แต่พวกมันก็ไม่ได้มีเจตนาหรือติดจะโจมตีใดๆ พวกมันเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น
เป็นวิญญานของคนสองคน ที่บางเบาเป็นอย่างมากและเป้าหมายก็มุ่งมาที่ฉื่อหยานเท่านั้น ทั้งสามคนกลุ่มของอีเทียนโหมวสัมพัสได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะว่าพวกเขายืนอยู่ข้างๆฉื่อหยาน ซึ่งคนอื่นไม่สามารถสัมพัสได้แน่นอน
ฉื่อหยานใช้วิญญานหลักของเขาควบคุมความรู้สึกและวิญญานทั้งสองที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในห้วงจิตสำนึกของเขา เขาต้องการที่จะรู้ตัวตนของอีกฝ่ายผ่านวิญญาน
อย่างไรก็ตาม ตัวตนของทั้ง 2 คน ก็ยังไม่ชัดเจน ซึ่งหมายความว่าคนที่ส่งพวกมันออกมายังไม่รู้จักใช้จิตสำนึกหรือพลังวิญญาน แม้ว่าฉื่อจะใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อสัมพัสมัน แต่เขาก็ไม่ได้อะไรเลย
ห้าปีศาจในห้วงจิตสำนึกดูเหมือนจะตื่นเต้นกับกระแสวิญญานทั้งสองมาก พวกมันป็นเหมือนปีศาจชั่วร้ายที่อยากดึงและกลืนกินวิญญาณทั้งสอง แต่ก็ถูกข่มขู่และถูกขัดขวางด้วยวิญญานหลักของฉื่อหยาน ดังนั้นพวกมันจึงทำไม่สำเร็จ
" พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ? " ฉื่อหยานรู้สึกสงสัยพร้อมกับขมวดคิ้ว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็หาคำตอบไม่ได้
จู่ๆ เขาก็หยุดการกระทำทุกอย่าง
ฉื่อหยาน ลบความคิดความสงสัยในจิตใจของเขา และยกหัวขึ้นมองไปข้างหน้า ตาของเขาหลี่ลงเล็กน้อย มุมปากของเขายิ้มขึ้นบางๆอย่างไม่แยแส
ข้างหน้าเขาคือกลุ่มของชายและหญิง ที่กำลังพูดคุยและหัวเราะกันและกำลังเดินมาทางเขา พวกเขาดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
เป็นหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มพวกเขาที่สวมชุดผ้าไหมสีแดง ผิวที่ขาวราวกับหิมะก็ปรากฏขึ้นจางๆใต้ผ้าไหมสีแดง
หญิงสาวคนนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ ; ใบหน้าของนางงดงามราวกับดอกซากุระ แก้มของนางแดงสดใส และดวงตาก็เป็นประกายด้วยตัณหา ราวกับว่านางพึ่งผ่านการร่วมรักมา
ผู้ชายที่มีใบหน้าอ้วนกระตือรือร้น , และมีดวงตาขนาดเท่าเม็ดถั่วยืนข้างๆนาง ไขมันบนร่างกายของเขากระเพื่อมไปมาขณะที่เขาพูด มีอัญมณีหลากสีสันมากมายบนนิ้วของเขาที่เต็มไปด้วยไขมัน พวกมันคือแหวนมิติที่ใช้เก็บสิ่งของที่ประกอบด้วยสมบัติและสิ่งของมากมาย
บัณฑิตชายวัยกลางคนใส่เสื้อสีฟ้า ซึ่งมีใบหน้าที่เย็นชาและโหดร้าย , กลิ่นอายชั่วร้ายปรากฏออกมาจากมือของเขา เขาเดินตามมาข้างหลังในขณะที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง
หญิงชายทั้งเจ็ดคนต่างก็มีระดับการบ่มเพาะที่แตกต่างกัน และเสื้อผ้าที่พวกเขาที่สวมใส่อยู่ก็ต่างกัน พวกเขาเดินตามอยู่ข้างหลังคนทั้งสามด้วยความเคาระ พวกเขาหันไปคุยกันและกันและมองไปยังสามคนข้างหน้าอย่างเงียบๆ ราวกับพวกเขากลัวว่าจะเสียงดังเกินไป และจะถูกสามคนข้างหน้าดุด่า
สามคนที่เดินนำหน้ามาพูดคุยและหัวเราะกันอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาค่อยๆเข้ามาใกล้กับกลุ่มของฉื่อหยานจากทิศตรงข้าม
หญิงสาวที่ยั่วยวน ก็บังเอิญมองไปที่ฉื่อหยานและรีบหันไปข้างๆเพื่อพูดกับชายร่างอ้วนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินไม่กี่ก้าว ดูเหมือนว่านางจะนึกอะไรขึ้นได้ นางจึงหันกลับมามองฉื่อหยานอีกครั้ง และยกนิ้วมือของนางชี้มาที่ฉื่อหยาน จากระยะไกล และพูดด้วยความตกใจ " เจ้า เจ้าคือสารเลวน้อยคนนั้นเองรึ ? "
เมื่อเร็ว ๆนี้ , หยินไห่ คอยส่งคนของเขาไปที่พักของนางเพื่อสอบข้อมูลต่างๆ ภาพของฉื่อหยานที่ปรากฏอยู่ในจิตใจของนางนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่ทันทีเห็นฉื่อหยานบนเกาะสุริยันของพรรคสามเทพ นางก็นึกออกทันที
" องครักษ์ซุ่ย ไม่เจอกันนานนะ " ฉื่อหยานก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย
หญิงสาวที่ดูยั่วยวนคือซุ่ยเยว่ลู่ว จากดินแดนหยินหยางมหัศจรรย์
เมื่อฉื่อหยาน และเซี่ยซินหยาน ติดอยู่ที่เกาะทะเลทราย พวกเขาก็ได้ขึ้นไปบนเรือเหล็กของดินแดนหยินหยางมหัศจรรย์ และได้พูดคุยกับซุ่ยเยว่ลูวระยะหนึ่ง เขาได้ปฏิเสธที่จะเป็นทาสของหญิงสาวคนนร่ เขาถูกนางแพศยาคนนี้และหลี่จวงทำร้าย ด้วยความร่วมของพวกเขา เขาเกือบจะกลายเป็นทาสศพของนิกายซากศพ
เจ้าอ้วนไขมันหนาที่ยืนอยู่ข้างนางคือผู้อาวุโสใหญ่เฉินตั่วของดินแดนจิตวิญญานสมบัติมหัศจรรย์ บัณฑิตที่ดูดุร้ายในชุดสีฟ้าคือ ตงฟางเหอ
บนเกาะเหมินลั่ว เพราะเปลวเหมันเยือกแข็ง , ฉื่อหยานต้องประสบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ด้วยน้ำมือของเฉินตั่วและตงฟางเหอ . ถ้าเขาไม่โชคดี เขาอาจจะถูกฆ่าตายไปแล้ว
ฉื่อหยานตาก็หดลงครึ่งนึง ใบหน้าของเขาก็แปลกไปและเขาก็เผยรอยยิ้มที่คลุมเคลือออกมา
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ