บทที่ 274 เกาะมังกรเหมัน
บทที่ 274 เกาะมังกรเหมัน
ดวงจันทร์ส่องแสงเหมือนกับถาดสีเงิน ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับในท้องฟ้า
หัวของมนุษย์โผล่ออกมาจากพื้นผิวทะเลที่สงบทีละคนเหมือนกับลูกแตงโมที่ลอยอยู่ในทะเล กระจายไปรอบๆ
คลื่นเย็นซัดผ่าน . ไม่มีเกาะอยู่รอบๆมีเพียงแนวประการังขนาดใหญ่เหมือนกับแตรขนาดมหึมาที่ยื่นออกมาจากใจกลางทะเล
ฉื่อหยานยืนบนปะการัง มองขึ้นไปบนฟ้า เขาขดริมฝีปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เงียบสงบ
พวกเขากลับมาแล้ว
การปรากฏตัวของดวงดาวและดวงจันทร์บนท้องฟ้าหมายความว่าที่นี่ไม่ใช่ดินแดนรกร้างอีกต่อไป . ไม่ว่านี้จะคือที่ใด มันก็สามารถมองเห็นดวงดาวในท้องฟ้าได้ และรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากดวงดาวเหล่านั้นราวกับว่าพวกมันรอต้อนรับเขา
พลังจากดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าค่อยๆไหลลงมาและไหลเข้าไปในจิตวิญญานแห่งดวงดาวในหัวใจของเขา เขาไม่รู้วิธีที่การควบคุมหรือวิธีใช้จิตวิญญานต่อสู้นี้เลย แต่เขาก็รู้ดีว่าจิตวิญญานแห่งดวงดาวพิเศษเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้ดูดซึมตะวันกลั่นวิญญาน เขารู้สึกว่าจิตวิญญานแห่งดวงดาวของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างพิเศษ
เขาไม่สามารถ อธิบายว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงใดขึ้น แต่ก็รู้ว่ามันมหัศจรรย์ ดูเหมือนจิตวิญญานแห่งดวงดาวของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปจากตอนต้น
จิตสำนึกของเขาก็ค่อย ๆไหลเข้าไปในแหวนสายโลหิต เปลวเหมันเยือกแข็งและแกนเพลิงทันทีส่ก็งข้อความถามความคิดเห็นของเขา
" ไม่เป็นไร " ฉื่อหยานตอบ ในขณะที่เขาอยู่ในความเงียบ เขาก็ตระหนักได้ว่า ในพื้นที่ที่เปลวไฟกลืนกินเก้าวิญญานอยู่นั้น มันคล้ายกับผนึกอยู่ในภูเขาเสียงอสูร เปลวไฟกลืนกินเก้าวิญญานวิญญาณของมันถูกขังอยู่ในผลึกสีขาวขนาดใหญ่
ฉื่อหยาน สามารถมองเห็นมันได้ แต่ไม่สามารถสัมพัสได้ถึงตัวตนของมัน เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างแปลกๆจากมัน
เมื่อแหวนสายโลหิตผนึกเปลวเหมันเยือกแข็ง ฉื่อหยานก็ยังสามารถสัมพัสถึงมันได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไร เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงตัวตนของมัน .
อย่างไรก็ตาม กับเปลวไฟกลืนกินเก้าวิญญานนั้นต่างออกไป
ดูเหมือนแหวนสายโลหิตระวังมันเป็นอย่างมากและปิดผนึกมันอย่างสมบูรณ์ เมื่อฉื่อหยานส่งจิตสำนึกเข้าไปในแหวนสายโลหิต เขาก็จะสามารถเห็นมันได้ แต่ไม่สามารถสัมพัสถึงมันได้
หลังจากค่อยๆ เรียกจิตสำนึกกลับมา ฉื่อหยาน ก็ยืนบนปะการัง สังเกตไปรอบ ๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว
ในทะเล คนจากเผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างๆช้าเหนือผิวน้ำ พวกเขาขึ้นมายืนบนพื้นที่สามารถยืนได้
แนวปะการังที่อยู่บริเวณใกล้เคียง คือสถานที่ที่พวกเขาสามารถยืนได้
เหล่าคนเผ่าที่มาจากดินแดนรกร้างต่างก็มีความสุขกันเป็นอย่างมาก พวกเขายืนกันอย่างหนาแน่นอยู่บนแนวประการัง . พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอย่างร่าเริงและเก็บภาพเหล่านี้ไว้ชื่นชม .
ดวงดาวและดวงจันทร์ส่องแสงเป็นประกายออกมา มันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
คนเหล่านี้ได้ถูกขังอยู่ในดินแดนแห่งนั้นมานานหลายปี เมื่อพวกเขายกศีรษะของพวกเขามองขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกเขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาน อารมณ์ของพวกเขาราวกับว่าพวกเขาได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ดวงตาหลายคู่เต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น
แม้แต่ผู้นำเผ่า ตี่ฉาน ยู่โหลว และ อีเทียนโหมวก็ข่วยไม่ได้ที่จะส่งเสียงสะอื้นออกมา เมื่อพวกเขามองไปที่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน พวกเขาพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้นห้าผู้นำก็เก็บความรู้สึกของพวกเขากลับไปอย่างเงียบๆและบินไปอยู่ข้างๆ ฉื่อหยาน
" เรามาถึงแล้วสินะ . . . . . . . " ยู่โหลวพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก " เราถูกขังอยู่ที่นั่นมานานหลายปี ดังนั้นเมื่อเราได้พบเจอกับ โลกนี้มันสวยงาม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวเช่นนี้ ทำให้พวกเรารู้สึกดีเป็นอย่างมาก นายท่าน ข้าขอขอบคุณท่านจริงๆ”
ฉื่อหยานขมวดคิ้วครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพูด " ข้าไม่รู้หลอกนะว่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าพูดไว้เช่นไร แต่ข้ารู้สึกไม่คุ้นเคยกับการปฏิบัติตัวต่อของเจ้าที่มีต่อข้าเลย”
" อะไร ? " ยู่โหลวเป็นก็ตกใจเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม " พงกเราทำตามที่บรรพบุรุษของเราทั้งสองเผ่าพูด จากนี้ไป เราจะฟังคำสั่งของท่าน นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหลอกรึ ? "
" เรียกชื่อข้าก็พอ " ฉื่อหยานส่ายหัว " อีกอย่าง ข้าไม่เคยคิดที่จะออกคำสั่งใดๆกับเผ่าของพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถทำสิ่งที่อยากทำได้ตามต้องการ ข้าไม่สนคำพูดของบรรพุบุรุษเหล่านั้นหลอก และข้าก็คิดว่า ข้าไม่ดีพอจะปกครองเผ่าพันธุ์ทั้งสองที่สามารถสั่นสะเทือนโลกใบนี้ได้ "
ห้าผู้นำก็มองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ
นักรบที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับผู้ที่ต้องการจะจัดการพวกเขาทั้งสองเผ่า เหตุใดได้ทิ้งโอกาศนี้ และพูดเช่นนี้กัน ? เขาไม่ต้องการปกครองขุมพลังเช่นนี้งั้นรึ ?
"อย่างที่เราเคยพูดไว้ ไม่ว่าท่านคิดจะทำอะไร ท่านก็ยังเป็นนายเหนือหัวของเรา " ตี่ฉาน เป็นคนที่ไม่เห็นด้วยอย่างมากก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขากลับพูดออกมาเช่นนี้ ด้วยความคาดหวังของ " บรรพบุรุษ ' และตามคำแนะนำ เขาจึงต้องทำตาม " ตราบใดที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่าน "
" นายท่าน ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของท่านยังไม่แข็งแกร่ง แต่เราเชื่อว่า ท่านเป็นนักรบที่มีพรสวรรค์ที่สุดในทวีปนี้ ในเวลาอันสั้น ท่านจะต้องบรรลุเข้าสู่ระดับพระเจ้าแท้จริงแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว และอาจจะอยู่เหนือกว่าระดับพระเจ้าแท้จริงด้วย " ยู่โหลวดวงตาก็หลี่ลงด้วยประกายแสงประหลาด " . ดังนั้น เราเชื่อว่า นายท่านจะต้องเป็นคนนำเผ่าพันธุ์ทั้งสองของเราไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์อย่างแน่นอน"
" นายท่าน ท่านทั้งเป็นผู้ครอบครองเปลวไฟนภาสามชนิด และยังเป็นผู้สืบทอดโลหิตอมตะ อีกทั้งด้วยความสามารถของทั้งและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญานที่ได้จากคัมภีร์เผ่าเสียงอสูร . นอกจากนี้ ท่านยังมีดาบยักษ์ที่สามารถปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวมากดดันข้าได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในอนาคต ท่านจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน อายุขัยของพวกเรานั้นยาวนานเป็นอย่างมาก เราสามารถรอจนกว่าท่านจะกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดได้ " ตี่ฉานพูด
ใบหน้าของทั้งสาม อีเทียนโหมว คาป้า และ หยาเมิงดุดัน
ฉื่อหยาน ก็ งง สักพัก จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและยิ้มอย่างฝืนๆ " ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้ ข้าจะให้โอกาศเจ้าเลือกอีกครั้ง "
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ฉื่อหยานมองไปที่ผู้นำทั้งสามของเผ่าเสียงอสูร และพูดว่า " ข้าอยากจะทำให้ชัดเจน ข้าไม่ได้มีเจตนาปกครองสองเผ่าของพวกเจ้า ข้าร่วมมือกับพวกท่านจึงสามารถออกมายังที่นี่ได้ ด้วยความร่วมมือของเรา เจ้ามีอิสระที่จะตัดสินใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องของข้า ข้าจะไม่รั้งพวกเจ้าไว้ พวกเจ้าคิดกันเองว่าควรทำเช่นไร ข้าจะไม่บังคับใครทั้งสิ้น "
สามผู้นำของเผ่าเสียงอสูรไม่เคยเห็นด้วยเลยและถูกบังคับโดย ตี่ฉาน และ ยู่โหลว ฉื่อหยานเข้าใจเหตุผลที่พวกเขาทั้งสามทำตัวเช่นนี้ดีรวมถึงเรื่องความแข็งแกร่งด้านวิญญานของพวกเขาที่สามารถสังหารมนุษย์ได้ง่ายๆ การรักษาคนเหล่านี้ไว้ใกล้ตัวก็เป็นเหมือนกับระเบิดเวลา ถ้าควบคุมมันได้ไม่ดี มันก็จะระเบิดและทำร้ายตัวเขา ฉื่อหยาน เข้าใจสิ่งนีเดี แม้ว่าเขาจะมีความรู้จากคัมภีร์เกี่ยวกับวิญญานของเผ่าเสียงอสูร มันก็ยังคงห่างไกลจากพวกเขาทั้งสาม ก่อนที่เขาจะเข้าใจพวกมันอย่างลึกซึ้ง เขาไม่ควรจะใกล้ชิดกับพวกเขา
อีเทียนโหมวแสดงออกอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าเขากำลังคิดบางสิ่งอย่างรอบคอบ ตี่ฉานและยู่โหลวก็มองไปที่เขาด้วยใบหน้าที่จริงจัง และไม่ได้พูดอะไร
คาป้า หยาเมิงยังลังเลเล็กน้อย พวกเขารู้ว่า อีเทียนโหมวนั้นฉลาดสุด และแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงรอความเห็นจากเขาอย่างเงียบๆ
" ข้าได้สาบานไปแล้ว ข้าจะไม่เปลี่ยนคำพูด " อี้เทียนโมพูดขึ้นหลังจากที่คิดอยู่สักครู่“นายท่าน อย่าได้กังวล จากนี้ไป ข้าจะยกให้ท่านเป็นนายเหนือหัวของข้าด้วยความจริงใจ โดยไม่ทรยศ ความตั้งใจของข้าก็เป็นเช่นเดียวกับ ตี่ฉาน และ ยู่โหลว , แน่นอนท่านจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง เราจะไม่พบเจอความสูญเสียแน่หากติดตามท่านไป”
ทันทีที่คำพูดนั้นดังขึ้น คาป้าและหยาเมิงก็ตกตะลึง หลังจากคิดสักพัก พวกเขาทั้งสองคนก็พยักหน้าอย่างขะมักเขม้น
" ถ้าท่านยืนยันเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด " ฉื่อหยานพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากคิดสักครู่ " ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีความคิดที่จะปกครองเผ่าพันธุ์ทั้งสองของพวกเจ้า ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก ถ้าเจ้ายังยืนกรานเช่นนี้ก็ต้องทำตามคำสั่งข้า " .
" ซู่ ซู่ ซู่ "
จากระยะไกล กลุ่มคน กลุ่มสุดท้ายก็ขึ้นมาจากทะเล
ในขณะที่คาป้า กับ หยาเมิงคุยกัน ฉื่อหยานก็มองมองไกลออกไป คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
คนเหล่านั้นคือกลุ่มของฉาวจื่อหลานที่มาจากทะเลไม่มีสิ้นสุด พวกเขาเป็นกลุ่มสุดท้าย เผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกขึ้นบันไดสวรรค์มากันหมดแล้ว . ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นมา
ปลายบันไดสวรรค์ ซึ่งเป็นจุดที่มีแสงเจิดจ้าและเป็นจุดที่ทุกคนผ่านมานั้น ได้นำมาสู่แนวประการังแห่งนี้
จนถึงตอนนี้ ฉื่อหยานก็ยังไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใดในทะเลไม่มีสิ้นสุด . แต่เป็นสิ่งที่เขารู้สึกได้คือ ที่นี่เป็นสักแห่งในทะเลไม่มีสิ้นสุดแน่นอน
" นายท่าน คนเหล่านั้นคือศัตรูของท่าน ท่านจะให้ข้าจัดการเช่นไร? " ประกายแสงดุร้ายปรากฏออกมาจากดวงตาของอีเทียนโหมว. " ท่านต้องการให้ข้าทำยังไง . . . . . . . ? "
" จับตาดูพวกเขาไว้ พวกเขายังมีประโยชน์อยู่ . " ฉื่อหยานส่ายหน้า หลังจากคิดสักพัก จู่ๆ เขาก็ชี้ใไปที่ฉาวจื่อหลานแล้วสั่ง " นำนางมาให้ข้า. "
ยู่โหลวเผยรอยยิ้ม และบินออกไป หลังจากที่หายไป ชั่วพริบตา นางก็ปรากฏอยู่ข้างๆ ฉาวจื่อหลาน นางจับเสื้อผ้าของฉาวจื่อหลาน และพานางไปหาฉื่อหยาน
" เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด ? " ฉื่อหยานขมวดคิ้วและถามด้วยเสียงต่ำ
เขารู้ว่าฉาวจื่อหลานนั้นไม่เหมือนคนอื่น นางมีสมบัติมากมายและยังคุ้นเคยกับทะเลไม่มีที่สิ้นสุดดี นั่นคือเหตุผลที่เขาได้ถามนาง
ฉาวจื่อหลาน ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ตามที่เขา ฉาวจื่อหลาน ก็หยิบเอาลูกบอลคริสตัลสีฟ้าเข้มออกมา นางขมวดคิ้วและจ้องไปที่คริสตัลด้วยดวงตาที่เป็นประกายของนาง นางตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนที่จะตะโกนประโยคที่น่าอัศจรรย์ออกมา " ทะเลเหิงลั่ว !
"ทะเลเหิงลั่ว ! "หน้าฉื่อหยานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพูดในขณะที่ยังคงตกใจ " ทำไมถึงเป็นทะเลเหิงลั่วได้ ทางเข้าไปยังหุบเหวสนามรบอยู่ไกลจากที่แห่งนี้มาก มันแปลกนัก นี่ก็แปลว่า เรามายังทะเลของพรรคสามเทพสินะ ? ! "
ฉาวจื่อหลาน ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน นางส่ายหน้าของนาง นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน นางหยุดไปสักพักก่อนที่จะพูดว่า " นี่มันแปลกๆนัก ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไม . . . . . . . บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับเกาะมังกรเหมันที่อยู่ใกล้ๆ นอกจากนี้ยังมีบางสถานที่ที่แปลกประหลาดรอบๆเกาะอีกด้วย "
" เกาะมังกรเหมัน " หน้าฉื่อหยานก็เปลี่ยนไป อารมณ์ของเขาอยู่ๆก็นึกถึงหญิงสาวที่มีเส้นยาวจดขา หลายปีหลังจากที่เขาได้หายไปพร้อมกับเปลวเหมันเยือกแข็ง ระหว่างทางไปเคียร่าทะเล เขานั่งอยู่บนเรือเล็กๆของพรรคสามเทพและเขาก็ได้เจอหญิงสาวคนหนึ่ง
นางเคยบอกว่า ตระกูลของนางนั่นอยู่บนเกาะมังกรเหมัน
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ