บทที่ 260 ไล่ล่า
บทที่ 260 ไล่ล่า
ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฉื่อหยานได้พักอยู่ในห้องหินครึ่งเดือนโดยไม่กินหรือนอน เขาตั้งหน้าตั้งตาศึกษาคัมภีร์โบราณของเผ่าเสียงอสูรหลังจากผ่านมาครึ่งเดือน ฉื่อหยาน ก็ค่อยๆเดินออกมาจากห้องหิน โดยไม่ให้กลุ่มของฉาวจื่อรู้ และคนอื่นๆรู้ เขาออกมาจากปราสาทหิน
หลังจากที่เขาเดินไปไม่กี่ก้าวลงบนถนนของเมืองโบราณ จักพรรดิ์นีของตระกูลปีกขาวยู่โหลวก็ โผล่มาข้างๆ พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง แล้วกล่าวว่า " ฉื่อหยาน จู่ๆเจ้าจะไปไหนรึ ?
" ข้าแค่อยากเดินเล่นและตรวจสอบสัตว์อสูรเสียงที่อยู่นอกเมือง โดยวิธีนี้ ข้าจะสาารถฝึกฝนเปลวไฟนภาได้มากขึ้น , ท่านจะตามข้ามาก็ได้นะ " ฉื่อหยานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
" ข้าจะไปกับเจ้า เผื่อเจ้าพบกับอันตรายใด ๆ ข้าจะได้สามารถช่วยเจ้าได้ทันที ตอนนี้เป็นความหวังของเราทั้งสองเผ่าพันธุ์ เรื่องของความปลอดภัยของเจ้านั้นเป็นสิ่งสำคัญมาสำหรับเรา ข้าไม่ต้องการให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเจ้า " ยู่โหลวพูดด้วยเสียงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
" ไม่มีปัญหา . . . ' '
ฉื่อหยานรีบเดินออกจากประตูเมืองโบราณไปพร้อมกับยู่โหลว
คาป้า หนึ่งในหัวหน้าเผ่าเสียงอสูรก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เขารู้สึกสับสนหลังจากที่พวกเขาได้รับแจ้งว่าฉื่อหยานออกจากเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่ายู่โหลวไปกับเขาด้วย พวกเขาก็ไม่ได้ห้ามหรือพูดอะไรอีก
ตี่ฉานอยู่ในเมือง และยังเป็นคนแรกที่ได้รู้ว่าฉื่อหยานออกจากเมือง แต่เขาก็ไม่ได้หยุดหรือห้ามใดๆ
หลังจากออกมาจากเมือง ฉื่อหยานพร้อมกับยู่โหลวก็เดินทางไปภูเขาเสียงอสูร
สัตว์อสูรเสียงที่อยู่บนภูเขาเสียงอสูร ก็เริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง หลังจากสงบมาเกือบเดือน พวกมันออกมาจากภูเขาเสียงอสูร พรวดพราดออกไปในทิศทางที่แตกต่างกันทั้งหมด
ฉื่อหยานส่งจิตสำนึกของเขาออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเขาก็รู้จุดที่อยู่ของสัตว์อสูรเสียง
มีสัตว์อสูรเสียงประมาณสิบตัวที่อยู่ตรงหนองน้ำ พวกมันบางตัวกำลังเพลิดเพลินอยู่ และไม่รู้เลยว่ากำลังจะมีอันตรายเข้ามาใกล้
" สัตว์อสูรเสียงที่อาศัยอยู่ในภูเขาเสียงอสูรทั้ ตลอดทั้งปีมันได้ดูดซับพลังหยินจากท้องฟ้าและพื้นดินเพื่อใช้บ่มเพาะ รวทถึงปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำหรือหินบางอย่างที่อยู่ด้านล่างบึงเองก็มีประโยชน์สำหรับการบ่มเพาะของสัตว์อสูรเสียงบางตัวเช่นกัน ดังนั้น สัตว์อสูรเสียงไม่ได้พึ่งพาเพียงพลังหยินที่อยู่บนภูเขาเสียงอสูรเท่านั้น " ยู่โหลวอธิบายด้วยเสียงที่อ่อนโยน
ฉื่อหยานพยักหน้า ร่างของเขาก็แวบขึ้นเหมือนกับสายฟ้าฟาด , พุ่งทะยานไปที่หนองน้ำ
เขาจิตใจให้สงบเล็กน้อย จากนั้นเปลวไฟก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขามันสดใสเหมือนกับสายรุ้งพุ่งตรงไปยังสัตว์อสูรเสียง
พลังอำนาจของเปลวไฟนภาสามารถเผาทำลายทุกอย่างได้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อ่อนแอต่อพลังไฟ , เพียงเปลวไฟนภาอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของสัตว์อสูรเสียง เมื่อแสงแห่งเปลวไฟลุกโชนขึ้นบนฟ้า สัตว์อสูรเสียงก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนกทันที พวกมันรีบมุ่งหน้ากลับไปที่ภูเขาเสียงอสูร
สีหน้าของฉื่อหยานก็แสดงออกอย่างเย็นชาและเลือดเย็น มุมปากของเขาขดเป็นรอยยิ้มที่ดูมืดมน เขาค่อยๆหลับตาลง .
วิญญานหลักในห้วงจิตสำนึกนั้นเกิดการเปลี่ยงแปลงขึ้นอย่างมาก ด้วยความคิดของเขาค่อย ๆ จิตสำนึกวิญญานก็ค่อยๆลอยออกมา แล้วในที่สุดจิตสำนึกก็รวมตัวกันอย่างหนาแน่นและกระจายกันไปที่เปลวไฟนภา .
เปลวไฟนภาเคลื่อนไหวไปมากลางอากศราวกับว่ามันมีชีวิตจริงๆ มันเคลื่อนไหวไปรอบๆอย่างคล่องตัว มันน่าอัศจรรย์และงดงามเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นาน แสงที่สองออกมาก็หลอมรวมเข้ากับเปลวไฟนภาและเกิดเป็นเส้นแสงที่สดใส พุ่งลงมาจากท้องฟ้า และครอบคลุมฝูงสัตว์อสูรเสียง
" พุช พุช พุช " .
ทันทีที่เปลวไฟนภาสัมพัสเข้ากับเปลวไฟนภา ร่างกายของพวกพวกมันก็ถูกเผาและปรากฏเป็นควันที่มีสีสันมากมายออกมาจากนั้นมันก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
ฉื่อหยาน ก็นิ่งขณะที่ส่งจิตสำนึกวิญญานเข้าไปในเส้นแสงของเปลวไฟนภาแต่ละเส้น และ ความร้อนของเปลวไฟนภาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่วิญญานหลักได้เข้าไปในห้วงจิตสำนึก ความสามารถในการรับรู้ของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นหลายเท่า อำนาจในการควบคุมเปลวไฟนภาของเขามีมากกว่าเดิม ด้วยการควบคุมจากจิตสำนึกวิญญาน ทั่วท้องฟ้าและพื้นดินทุกสถานที่ปรากฏอยู่ในจิตสำนึกของเขา ทำให้เขาสามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ความแข็งแกร่งของจิตสำนึกวิญญานที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้ความสามารถในการควบคุมเปลวไฟนภาของเขาดีมากขึ้นกว่าเดิม ภายใต้ผลกระทบของวิญญานหลัก ทำให้จิตสำนึกวิญญานของเขาเป็นเหมือนกับหนวด มันพันเกี่ยวกับสัตว์อสูรทั้งหมดอย่างยืดหยุ่นและแม่นยำ
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของสัตว์อสูรเสีนงทั้งสิบที่ถูกเผาโดยเปลวไฟนภาซึ่งเป็นศัตรูตามธรรมชาติ ทั้งหมดก็ระเหยกลายเป็นควันและกระจายออกไป .
ผลึกอสูรหลากสีสัน ภายใต้ความแข็งแกร่งของ ฉื่อหยาน , มันก็ลอยอยู่ในบึงซึ่งทำให้มันดูเหมือนกับดวงดาวที่ส่องประกาย
ฉื่อหยานก็ลืมตาขึ้น เขายิ้มและค่อยๆ เหยียดมือของเขาออกไปจับผลึกอสูร
เมื่อเขายื่นมือของเขาออกไปทางผลึกอสูรเหล่านั้ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างที่ไม่รู้จักดึงผลึกอสูรเหล่านั้นเข้ามาที่มือของเขา แล้วพวกมันก็หายเข้าไปในแหวนสายโลหิตที่อยู่บนนิ้วของเขา
" ผลึกอสูรสิบสองเม็ด หืม ถือว่าคุ้มค่า แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ " หลังจากบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาก็ยังคงปล่อยจิตสำนึกวิญญานครอบคลุมออกไปรอบๆ
ฉื่อหยาน ตาก็สว่าง ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เรียกใช้ก้าวอัศนีและพุ่งออกไป
จักพรรดิ์นีของตระกูลปีกขาวดวงตาก็ส่องประกายสว่างขึ้น ด้วยท่าทีตกตะลึง นางมองไปยังทิศทางที่ฉื่อหยานเพิ่งออกไป และดูเหมือนนางกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ด้วยความรู้ด้านการบ่มเพาะที่ลึกซึ้งของนาง นางได้สังเกตุดูพฤติกรรมหลายๆอย่างของฉื่อหยานอย่างเงียบหลายวัน นางก็ได้เข้าใจร่างของฉื่อหยานและการพัฒนาของเขามากขึ้น ขณะที่เขาได้ฆ่าสัตว์อสูรเสียงมากมายในครั้งนี้ นางก็ได้รู้ว่าหากไม่คำนึงถึงระดับการบ่มเพาะของเขาและความสามารถในการควบคุมพลังแล้ว ฉื่อหยานได้ก้าวผ่านและเข้าสู่ระดับที่สูงไปแล้ว
ตอนนี้ มันไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยที่เขาจะควบคุมเปลวไฟนภา เขาไม่ได้ใช้พลังของเปลวไฟนภามากนักขณะที่เขาลอยอยู่บนอากาศ เมื่อเปลวไฟนภาได้ปล่อยพลังไฟออกมา กลุ่มก้อนเปลวไฟนภาดูเหมือนจะกลายเป็นรูปร่างที่น่าอัศจรยย์และดูเหมือนมันจะแข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่าในพริบตา
ความคืบหน้าดังกล่าว ทำให้ยู่โหลวรู้แล้วว่าการมอบทรัพยากรเหล่านั้นให้ฉื่อหยานนับได้ว่าไม่ไร้ประโยชน์ ในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน ด้วยพลังที่อยู่ในร่างของเขา นางก็รู้ได้เลยว่าฉื่อหยานได้ก้าวเข้าสู่ระดับใหม่แล้ว
" ไม่เลว แต่มันก็ยังไม่พอ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน มิฉะนั้นเจ้าคงจะไม่สามารถเปลี่ยนใจของตี่ฉานได้แน่นอน . . . . . . . " จักพรรดิ์นีขตระกูลปีกขาวก็พึมพำและยิ้มออกมาบางๆ นางค่อยๆกระพือปีกของนางอย่างรวดเร็วและตาม ฉื่อหยานไป
ฉื่อหยานได้พุ่งผ่านพื้นที่ที่อยู่ใกล้ๆกับภูเขาเสียงอสูรเพื่อค้นหาสัตว์อสูรเสียงที่อยูู่รอบๆ
ทุกครั้งที่เขาพบฝูงสัตว์อสูรเวียง ทันทีเขาก็จะปลดปล่อยเปลวไฟนภาออกมาแล้วควบคุมเปลวไฟนภาให้ไปล้อมสัตว์อสูรเสียงเหล่านั้นและเผาพวกมันจนกลายเป็นเถ่าถ่านจากนั้นก็ชิงผลึกอสูรมา
ตอนนี้มีผลึกอสูรเกือบร้อยเม็ดของสัตว์อสูรเสียงที่มีระดับต่างกันไปในแหวนสายโลหิตของเขา ที่มีระดับต่ำที่สุดก็คือผลึกอสูรระดับสามและผลึกที่มีระดับมากที่สุดคือ ผลึกอสูรระดับ หก ครั้งนี้เขาเก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างมากนัก
" คงต้องพอได้แล้ว "
ยกศีรษะมองไปยังยอดของภูเขาเสียงอสูรที่สูงเสียดฟ้า ฉื่อหยาน พึมพำด้วยเสียงต่ำก่อนที่จะพูดกับยู่โหลว " . วันนี้พอแค่นี้ กลับกันเถอะ "
" ฉื่อหยาน , เจ้าสามารถลองสัมพัสไปที่ภูเขาเสียงอสูรอีกครั้งเพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ ? " ยู่โหลวลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถาม " เข้าได้ดูดซับพลังหยินที่อยู่บนท้องฟ้าและพื้นดินของภูเขาเสียงอสูร ดังนั้นมันคงไม่ยากเกินไปที่เจ้าสัมพัสไปยังพื้นที่ที่อยู่รอบๆนี้ เจ้าตรวจสอบดูสิว่าพลังหยินในท้องฟ้าและพื้นดินในภูเขาเสียงอสูรมีความหน่าแน่นหรือจางลงหรือไม่ ."
" ได้ " ฉื่อหยาน ไม่รู้ว่ายู่โหลวต้องการจะทำอะไร แต่เขาก็พอใจที่จะทำตามคำขอของนาง หลังจากนั่งพักเล็กน้อย เขาก็ปลดปล่อยจิตสำนึกวิญญานของเขาออกไป และกระตุ้นพลังหยินที่อยู่ในไข่มุกพลังหยินตรงหน้าอกของเขาเพื่อหลอมรวมมันเข้ากับจิตสำนึกวิญญานและค่อยๆกระจายมันไปรอบๆภูเขาเสียงอสูร
หลังจากนั้นไม่นาน ฉื่อหยานก็ขมวดคิ้วของเขาขึ้น แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า " สายฟ้าที่อยู่ด้านนอกภูเขาเสียงอสูรดูเหมือนจะอ่อนแอลงทุกที แต่พลังหยินบนท้องฟ้าและพื้นดินที่อยู่ในภูเขาเสียงอสูรดูเหมือนจะหนาแน่นมากขึ้น ข้ารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นในภูเขาเสียงอสูร”
" เอ่อ สิ่งที่เจ้ารู้สึกได้มันไม่ผิดหลอก ลองสัมพัสไปยังท้องฟ้าที่อยู่เหนือภูเขาเสียงอสูรดู" ยู่โหลวชี้ไปที่ยอดเขาซึ่งยอดของมันได้แทงตรงผ่านก้อนเมฆไป จากนั้นนางก็พูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง " เจ้าพบอะไรหรือไม่ ? "
ฉื่อหยานยกศีรษะของเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาของเขาส่องประกายออกมาพร้อมกับมีแสงส่องสว่างออกมาจากดวงตาของเขาดูเหมือนกว่ากลุ่มก้อนแสงนี่จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันส่องออกมาจากดวงตาของฉื่อหยานอย่างต่อเนื่อง
ยอดของภูเขาเสียงอสูรมีความสูงประมาณหนึ่งหมื่นจ้าง ( 1 จ้าง เท่ากับ 3.33 เมตร ) บนท้องฟ้ามีเมฆสีเทารวมตัวกันอยู่ พร้อมกับมีสายฟ้านับพันผ่าลงมาเหมือนกับพวกมันต้องการจะฉีกกระชากท้องฟ้าออกจากกัน จ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยรอยแยก จะสามารถมองเห็นแสงส่องประกายออกมาได้จากรอยแยกเหล่านั้น
" พื้นที่ตรงนั้น มันดูเหมือน . . . . . . . ดูไม่เสถียรเท่าไหร่นัก " หลังจากดูสักพัก ฉื่อหยานกล่าวด้วยเสียงต่ำ
" เจ้าสังเกตุได้ดี " ยู่โหลวพยักหน้าและตอบกลับด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ " สายฟ้าที่ผ่าลงมาดูเหมือนว่าจะสามารถที่จะฉีกท้องฟ้าออกจากันได้ นั่นมันหมายความว่า เวลานี้ดินแดนแห่งนี้กำลังอ่อนแอลง บางทีแค่การโจมตีที่รุนแรงเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายดินแดนแห่งนี้ได้แล้ว เมื่อท้องฟ้าตรงนั้นถูกทำลายทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในดินแดนนี้ก็จะกลายเป็นเถ่าถ่านในพริบตา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่อาจหนีพ้นได้ .
สีหน้าของฉื่อหยานก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ยู่โหลว กล่าว " ในช่วงไม่กี่วันก่อน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภูเขาเสียงอสูร ส่งผลให้จุดยอดสุดของภูเขาเสียงอสูรอ่อนแอลง ในอีกสองเดือน ถ้าเราไม่สามารถออกจากไปดินแดนแห่งนี้ได้ วิญญานของพวกเราทั้งสองเผ่าก็จะหายไปทันทีหลังจากดินแดนแห่งนี้ถูกทำลาย " ยู่โหลวยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
" ท่าน และ ตี่ฉานที่มีระดับการบ่มเพาะ ระดับพระเจ้า ; ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้งั้นรึ ? "ฉื่อหยาน ก็ถามด้วยความตกตะลึง
หลังจากถอนหายใจยาวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ยู่โหลว ก็กล่าวว่า " เจ้าคงไม่รู้สินะว่าดินแดนรกร้างแห่งนี้ถูกใช้เพื่อผนึกเราทั้งสองเผ่าพันธุ์ พวกเราได้อาศัยอยู่ที่นี่มานานนับหลายล้านปี และพวกเราบางคนเองก็ไปถึงระดับพระเจ้าแท้จริงแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อใดก็ ตามที่มีคนเข้าสู่ระดับพระเจ้าแท้จริงได้ ประกายแสงทำลายล้างที่น่ากลัวของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นในบนท้องฟ้าเหนือยยอดภูเขาเสียงอสูร เมื่อประกายแสงนั้นพุ่งตรงลงมา วิญญาณของคนที่ไปสู่ระดับพระเจ้าแท้จริงได้จะแตกสลายและหายไปอย่างสมบูรณ์”
" อะไรนะ ? " ฉื่อหยานรู้สึกหวาดหวั่น
" การที่สามารถเข้าสู่ระดับพระเจ้าแท้จริงได้ นั่นหมายถึง คนๆนั้นจะมีพลังในการควบคุมเวลาและอวกาศ เมื่อนักรบในระดับพระเจ้าแท้จริงได้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็จะมีโอกาสที่จะออกไปจากดินแดนแห่งนี้อย่างปลอดภัย ท้องฟ้าที่อยู่เหนือยอดภูเขาเสียงอสูรนั้นมีพลังของพระเจ้าเชื่อมโยงและควบคุมเราอยู่ มันจะไม่ปล่อยให้คนจากเผ่าทั้งสองของเราออกไปจากได้แม้แต่คนเดียว ใครก็ตามที่บรรลุเข้าสู้ระดับพระเจ้าแท้จริงได้วิญญานของเขาจะถูกทำลายและสลายไป พวกเขาจะถูกลงทัณฑ์โดยแสงพระเจ้านั่น”
ยู่โหลวพูดต่อด้วยแววตาที่เศร้าหมอง " หลายปีผ่านมา และนักรบระดับสูงของทั้งสองเผ่าพันก็ได้รู้ว่า พวกเขาจะตายทันทีเมื่อพวกเขาเข้าสู่ระดับพระเจ้าแท้จริง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงความพยายามเพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้านักรบระดับพระเจ้าแท้จริงสามารถทนต่อแสงลงทัณฑ์ได้ครั้งหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถพึ่งพานักรบระดับพระเจ้าแท้จริงคนนั่นและพาพวกเราทั้งสองเผ่าพันธุ์ออกไปจากดินแดนเลวร้ายแห่งนี้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นนักรบคนใดต่างก็ต้องล้มเหลว”
หน้าฉื่อหยาน ก็สับสน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสงสารทั้งสองเผ่า
" บรรพบุรุษของเราได้เพิ่มสั่งเสียคำสั่งสุดท้ายไว้ ถ้าวันนึง เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภูเขาเสียงอสูรเหมือนกับวันนี้ โอกาสในการหลบหนีของเราทั้งสองเผ่าพันธุ์จะมาถึง ถ้าเราไม่หยิบจับโอกาศนี้ไว้ ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็จะหายไปจากประวัติศาตร์ของโลกนี้อย่างแท้จริง”
ยู่โหลวจ้องฉื่อหยาน และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง " ฉื่อหยาน เจ้าคือโอกาสเดียวของเรา ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยเราสองเผ่าพันธุ์ออกไปจากดินแดนแห่งนี้ได้ ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่ข้ารับรองได้เลยว่า หากเจ้าทำได้สำเร็จ ข้าจะใช้ความพยายามของข้าทั้งหมดเพื่อปกป้องเจ้า "
ฉื่อหยาหันไปมองด้านหลังและเขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง " ข้าจะทำให้ดีที่สุด "
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ