ตอนที่แล้วบทที่ 255 รู้แจ้งวิญญาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 259 รุ่นเยาว์ที่อยู่เหนือกว่าอาวุโส

บทที่ 258 คลื่นพลังที่ปั่นป่วน [นี่เป็นตอนต่อจาก 255 เนื่องจากเวปอิ้งแปลข้ามตอนก่อนหน้านี้]


[TL. เจี่ย เป็นคำเรียกหญิงสาวที่มีอายุมากกว่า เช่น หลานเจี่ย ที่กู่หลินหลงเรียกในตอนนี้]

บทที่ 258 คลื่นพลังที่ปั่นป่วน

ทันทีที่วิญญานหลักเข้าไปห้วงจิตสำนึก ห้าปีศาจในห้วงจิตสำนึกก็สงบและไม่กล้าที่จะกบฏ

วิญญานหลักและห้วงจิตสำนึกค่อยๆเชื่อมต่อกัน แต่ละเส้นใยวิญญาณ ในห้วงจิตสำนึกก็เชื่อมต่อกับวิญญานหลักอย่างเหนียวแน่น

ในตอนนี้ , วิญญานหลักและจิตสำนึกวิญญานของฉื่อหยานก็ได้เชื่อมต่อกันอย่างอัศจรรย์ จิตสำนึกวิญญานกลายเป็นลำแสงมหัศจรรย์ แสงนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทันใดนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าไปในดวงตาของฉื่อหยาน

ในแววตาของเขาดูเหมือนจะมีประกายสายฟ้าแว๊บผ่านอย่างรวดเร็วเมื่อเขาเปิดตาขึ้น ประกายแสงจางๆก็เข้าไปในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินออกจากห้องหินไปยังห้องโถงใหญ่ ฉื่อหยานก็มองออกไกลออกไป และทันทีวิสัยทัศน์ที่เขาเห็นก็ชัดเจนและกว้างไกลขึ้นเป็นสิบเท่า

ทุกอย่างภายในช่วงสิบกว่าไมล์ ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เขาสามารถมองเห็นริ้วรอยบนใบหน้าของคนเผ่าเสียงอสูรได้เพียงพริบตา

จิตสำนึกวิญญานของเขาคลอบคลุมไปทั่วพื้นที่ทั้งหมดและเขาก็สามารถสัมพัสได้ถึงคลื่นพลังชีวิตของทุกคนที่อยู่ในระยะได้อย่างชัดเจน แม้แต่หนอนที่อยู่ใต้พื้นดินก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจิตสำนึกวิญญานของเขาได้

ในเวลานี้ ฉื่อหยานรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นพระเจ้า

สิ่งที่มีขนาดเล็กและอ่อนแอเล็กน้อยอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่สามารถรอดพ้นจากดวงตาและจิตสำนึกวิญญานของเขาได้ ทุกอย่างดูเหมือนกับว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

วิญญานหลักได้เข้าสู่ห้วงจิตสำนึกอย่างไม่คาดคิด และมันก็ทำให้เขามีความรู้สึกที่สุดยอดเช่นนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรง

ในห้วงจิตสำนึก วิญญานหลักและจิตสำนึกวิญญานถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน วิญญานหลักดูเหมือนจะกลายเป็นเหมือนกับสมองอีกด้านหนึ่งจิตสำนึกวิญญานก็เปรียบได้กับเส้นประสาทที่ิเชื่อมต่ออยู่กับวิญญานหลัก ทำให้เกิดเป็นวิญญานใหม่ขึ้น

ด้วยการที่วิญญานหลักอยู่ในห้วงจิตสำนึก ห้าปีศาจก็กลายเป็นสงบลง

หลังจากสัมพัสอย่างละเอียดสักพัก ฉื่อหยานก็ค้นพบว่าจิตสำนึกวิญญานที่เชื่อมต่อกับวิญญานหลักเองก็ปกคลุมไปทั่วร่างของปีศาจทั้งห้า หลังจากเข้ามาในห้วงจิตสำนึก วิญญานหลักของเขาก็ปลดปล่อยพลังชีวิตออกมาอย่างต่อเนื่องและพลังชีวิตเหล่านั้นก็ถูกส่งเข้าไปในปีศาจทั้งห้าผ่านจิตสำนึกวิญญาน ภายใต้อิทธิพลของพลังชีวิตเหล่านั้น ห้าปีศาจก็กลายเป็นสงบลง . พวกมันดูเหมือนจะรู้ว่าพวกมันไม่สามารถยึดวิญญานหลักของฉื่อหยานได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกมันจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง

เมื่อเขาส่งจิตสำนึกออกไป วิญญานหลักก็ส่งความคิดของเขาไปที่ห้าปีศาจ ห้าปีศาจทันทีก็หลบซ่อนลึกเข้าไปในห้วงจิตสำนึก วิญญานของเขาที่อยู่ในร่างของปีศาจทั้งห้าดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น มันค่อยๆเริ่มผูกมัดปีศาจทั้งห้า ป้องกันไม่ให้พวกมันปลดปล่อยอารมณ์เชิงลบออกมา

ประกายสายฟ้าที่แว๊บอยู่ในดวงตาของฉื่อหยานก็หายไป ; ใบหน้าของเขากลับมาแสดงออกเป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้ เขายืนอยู่กลางห้องโถงหิน ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดบางสิ่งอยู่

หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเขาก็นั่งลงตรงกลางห้องโถงหิน . โดยไม่กังวลว่าจะถูกรบกวน เขาลูกไปที่แหวนสายโลหิตและนำดอกบัวทมิฬออกมา

เมื่อเขาเปิดกล่องหยก รัศมีสีดำขนากใหญ่ก็กระจายออกมาจากกลับดอกบัวทมิฬเล็กน้อย กลีบเหล่านี้มีสีดำสนิทพร้อมกับมีแสงสีดำส่องวูบวาบออกมา มันดูมหัศจรรย์และน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

โดยไม่ลังเล เขายืนมือออกไปและหยิบกลีบดอกบัวทมิฬขึ้นมาและวางไปที่หน้าอกของเขา พลังปราณลึกลับที่เข้มข้นไหลออกมาจากนิ้วของเขาและส่งมันเข้าไปในกลีบดอกบัวทมิฬส่งผลให้กลีบดอกบัวส่องแสงออกมา

ตอนนั้นเอง ของเหลวสีดำเรืองแสงก็ลอยออกมาจากกลีบอกบัว และซึมซับเข้าไปในร่างกายของเขาผ่านรูขุมขนที่อยู่บนหน้าอกของเขา

ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและสบายไปทั่วทั้งร่างกาย

แต่ไม่นาน เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมีหนอนหลายพันตัวกำลังกัดแทะหน้าอกของเขา ในช่วงเวลาสั้น ๆ ฉื่อหยานก็รู้สึกระคายเคือง เจ็บปวดและอึดอัดเป็นอย่างมาก ของเหลวสีดำจากกลีบดอกบัวทมิฬก็กระจายออกไปเงียบๆและสลักลงบนเนื้อของเขา ทำให้ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ภาพวาสดสีดำซึ่งมีใหญ่เท่ากับกำปั้นค่อยๆกลายชัดเจนขึ้นบนหน้าอกของเขาในขณะที่เขายังคงเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่อัศจรรย์ของวิญญาน

ฉื่อหยาน ก็ตกตะลึง และสังเกตุมองดูความเปลี่ยนแปลงบนหน้าอกของเขา เขาสงสัยว่านี่คือของเหลวจากดอกบัวทมัฬจริงๆรึ ?

ภาพสีดำเดิมจางๆค่อยๆกลายเป็นชัดเจนขึ้น ไม่นานหลังจากนั้น กลีบดอกบัวแต่ละกลีบก็เริ่มทปรากฏบนหน้าอกของเขา มันส่องแสงสีดำออกมากลีบเบ่งบานทีละนิดจนดอกบัวสีดำถูกสร้างขึ้น มันดูแปลกใหม่และมันก็เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็น เมื่อดอกบัวทมิฬกลายเป็นชัดเจนขึ้นการไหลเวียนของพลังก็ไหลมาตรงกลางรอบสักดอกบัวทมิฬอย่างรวดเร็ว

หายใจเข้าลึก ๆ , ฉื่อหยาน นั่งตัวตรงและปิดตาของเขา และตั้งสมาธิ

พลังปราณลึกลับในร่างกายของเขาค่อยๆ ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเขา ในขณะเดียวกันกระบวนการกลั่นก็เริ่มต้นขึ้น กลิ่นอายธรรมชาติบนท้องฟ้าและพื้นดินรอบๆร่างของเขาทันทีก็เริ่มไหลเวียนอย่างแปลกประหลาด ความเร็วในการดูดซับของเขาเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า และ พลังปราณลึกลับที่หนาแน่นก็ไหลเข้าไปในรอยสักดอกบัวทมิฬที่อยู่กลางหน้าอกของเขา

มันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก !

ฉื่อหยาน ก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบหลับตา และตั้งสมาธิอย่างจดจ่อพยายามดูดซับกลิ่นอายธรรมชาติ เขาใช้พลังจิตสำนึกวิญญาณของเขาเพื่อปรับแต่งพลังปราณลึกลับให้มากที่สุด และเพิ่มความเข้มของฉีพลังปราณลึกลับในร่างขแงเขา

เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวัน

" . . "

ประตูห้องศิลาที่อยุ่ถัดไปก็ถูกผลักเปิดออก ร่างลึกลับและงดงามทั้งสามค่อยๆเดินออกมาจากห้องหินและยืนห่างจาสกฉื่อหยานสิบเมตรน , มองดูเขาที่กำลังฝึกบ่มเพาะอยู่กลางห้องโถงหินอย่างเงียบๆ

" หลานเจี่ย " กู่หลินหลงขมวดคิ้วและมองไปที่ฉาวจื่อหลานด้วยประกายเย็นชาในดวงตาของนาง

ใบหน้าที่สวยงามของซูหยานซิงก็กลายเป็นเย็นชาเชนกัน . ตาของนางจ้องออกไป ราวกับว่านางอยากจะทำอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังลังเล

ฉาวจื่อหลานขมวดคิ้วของนาง ขณะที่กู่หลินหลงและซูหยานซิงกำลังจ้องมองนางอยู่ นางก็สั่นศีรษะเพื่อส่งสัญญานว่า ว่าพวกนางไม่ควรทำอะไรหุนหันพลันแล่น

ในห้องโถงหิน , ฉื่อหยาน นั่งสมาธิอยู่ดวงตาของเขาปิดสนิท ครึ่งร่างด้านบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติจำนวนมากทรวมกันอยู่บนร่างของเขา รอยสักดอกบัวทมิฬที่อยู่บนผิวของเขาส่องแสงสีดำออกมามันเป็นเหมือนกับปากขนาดใหญ่ที่กำลังกลื่นกินกลิ่นอายธรรมชาติจากท้องฟ้าและพื้นดิน ก่อนจะกลั่นเข้าไปในร่างของฉื่อหยาน

ฉื่อหยาน ก็นิ่งและจมลึกเข้าไปในสมาธิอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้เลยว่าหญิงสาวทั้งสามนั้นกำลังมองเขาจากที่ไกลๆ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ร่างของฉื่อหยานก็ส่องแสงสีเงินอ่อนๆออกมาอย่างเงียบๆ แสงนั่นตอนแรกมันมีสีที่หม่นหมอง แต่มันก็ค่อยๆสว่างและสดใสมากขึ้นเนื่องจากได้ดูดซับกลิ่นอายธรรมชาติจากท้องฟ้าและพื้นดินมาเป็นจำนวนมาก

กลิ่นอายธรรมชาติที่หนาแน่นก่อตัวกันเป็นกลุ่มก้อนควันลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบๆฉื่อหยานโดยไม่กระจายไปไหน.

แสงสีเงินส่องออกมาจากภายในร่างกายของฉื่อหยานมันค่อยส่องสว่าออกมา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลิ่นอายธรรมชาติที่อยู่รอบๆร่างของเขากลายเป็นปั่นป่วนและหมุนรอบๆตัวเขาอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นประกายสายฟ้าเล็กๆขึ้น ประกายสายฟ้าเหล่านี้ไหลเข้าไปประชิดกับร่างของเขาราวกับว่าพวกมันต้องการที่จะซึมซับเข้าไปในร่างของเขา

" หลานเจี่ย .. นี้คือ . . . . . . . "

" เขากำลังจะเข้าสู่นภาที่สองของระดับปฐพี”

" อะไรนะ ? ทำไมมันถึงเร็วเช่นนี้ เมื่อเขาพึ่งเข้ามายังหุบเหวสนามรบ เขามีระดับการบ่มเพาะเพียงระดับหายนะเท่านั้น "

" ผู้นำของทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้มอบทรัพย์สมบัติของพวกเขามาให้ฉื่อหยาน ขณะที่เขาได้ดูดกลืนพลังงานของสมบัติเหล่านี้ พร้อมกับความสามารถตามธรรมชาติของเขาที่โดดเด่น ก็สมแล้วที่จะทะลวงขั้นนภาขึ้นได้เร็วเช่นนี้”

" หลานเจี่ย นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สุด ข้าคิดว่าเขาคงไม่ได้ระวังตัว ถ้าเราสามารถ . . . . . . . ? "

" ไม่ เราไม่ควรทำอะไรหุนหันพลันแล่น ถ้าเราฆ่าแล้วจะทำเช่นไรต่อ ? สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคนของเผ่าเสียงอสูร ถ้าเราออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ผลลัพธ์อาจจะน่าเศร้ายิ่งกว่า .

" แต่ แต่ เราไม่อาจรู้ได้ วันหนึ่ง เขาอาจจะกลายเป็นสัตว์ป่าและควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาอาจจะละเมิดเราอย่างป่าเถื่อนก็ได้ แล้วเราจะทำยังไงดี ? "

" โอ้ อย่างน้อยเราก็ยังมีชีวิตอยู่ ถูกละเมิดโดยมนุษย์เช่นเดียวกันยังจะดีกว่าการถูกละเมิดโดยคนเผ่าอื่น . เจ้าไม่รู้รึว่าหยาจี่ต้องการจะทำอะไรเรา ? ถ้าเราตกอยู่ในมือของ หยาจี่ หรือคนเผ่าปีก ผลที่ได้จะแย่เสียกว่าตอนนี้อีก

" . . . . . . . " ( ทุกคนคิดสักพัก )

หลังจากหญิงสาวทั้งสามคุยกันสักพักก็ เงียบอีกครั้ง และอยู่ด้านข้างมองดูฉื่อหยานโดยไม่ลงมือทำอะไร

ไกลออกไปนอกปราสาทหิน ด้านบนของประที่สูงใหญ่  ยู่โหลวจักพรรดิ์นีเผ่าปีกเขากำลังนอนสบายอยู่บนไม้ไผ่ที่แกว่งไปมา นางแกว่งขายาวบางของนางไปมา อย่างไรก็ตาม สายตาของนางก็ยังคงจงมองไปที่ปราสาทหินที่อยู่ไกลออกไป ด้วยความสนใจกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในปราสาท

นอกจากยู่โหลวแล้ว ตี่ฉาน ประมุขของตระกูลปีกดำ ยืนนิ่งเป็นเหมือนรูปปั้นหิน เขามองไปด้วยความสนใจและดวงตาที่เย็นชา เขายืนนื่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ด้านหลังตี่ฉาน คือเหอซิงเหมินที่กำลังมองเข้าไปในปราสาทหินที่อยู่ไกลออกไป ด้วยดวงตาเบิกกว้าง และใบหน้าที่สับสน . นางแทบจะไม่สามารถมองเห็นร่างของฉื่อหยานที่อยู่ในนั้นได้เลย

" ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากผลหยกวิญญานขาวและดอกบัวทมิฬ ความสามารถโดยธรรมชาติของเขานับว่าไม่เลวเลย เขาสามารถบรรลุเข้าสู่นภาที่สองของระดับปฐพีได้เพียงเวลาสั้นๆ”

สักพักต่อมาตี่ฉานก็อุทานว่า " นี่เป็นเรื่องที่น่าดายนัก เสียดายจริงๆที่เขาเป็นมนุษย์ ถ้าเขาเป็นรุ่นเยาว์ของเผ่าปีกเรา เราคงตะทุ่มทรัพยากรทั้งหมดให้เขาและฝึกฝนเขาอย่างดี " .

ตี่ฉาน เหวี่ยงแขนของเขาในขณะที่พูด กรงสีดำก็โผล่มาล้อมรอบเหอซิงเหมินในพริบตา เพื่อกันไม่ให้นางได้ยินหรือเห็นอะไร

" ตี่ฉาน ข้าสัญญากับเจ้าเด็กบ้าไว้ว่าหลังจากที่เขาทำภารกิจเสร็จสิ้น เราจะไว้ชีวิตเขา . " เปไม้ไผ่ของยู่โหลวค่อยๆหยุดแกวาง นางขมวดคิ้วขณะที่มองตี่ฉานแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า " ด้วยฐานะที่เราเป็นประมุขและจักพรรดิ์นีของเผ่าปีก เราต้องรักษาคำพูดของเรา เจ้าคิดอย่างไร ?

" ข้าจะไว้ชีวิตเขา "ตี่ฉาน ครุ่นคิดสักพัก ก่อนที่จะพูด " แต่ถ้าเผ่าเสียงอสูรและตั่วหลงร่วมมือกันเพื่อฆ่าเขา ข้าจะไม่เสี่ยงชีวิตช่วยเขาแน่นอน "

ยู่โหลวสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย . นางตะโกนว่า " พวกมันกล้ารึ  ? "

ตี่ฉาน ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วค่อยๆพยักหน้า "เขานั้นมีพรสวรรค์อย่างมาก นั่นคือเหตุผลที่เผ่าเสียงอสูรต้องการให้เขาตาย อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยให้เขาพัฒนาได้เร็วขึ้น เจ้าได้พูดกับพวกเขาให้มอบคัมภีร์เหล่านั้นให้เจ้าเด็กนั่น . และตอนนี้เขาก็ได้เขาใจสิ่งที่บันทึกไว้ทั้งหมด , ถ้าเขาไม่ตาย ความสำเร็จในการบ่มเพาะของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นี่นับได้ว่าเป็นหายนะสำหรับเผ่าเสียงอสูร ถ้าข้าเป็นคนของเผ่าเสียงอสูร ข้าก็คงไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ เช่นกัน และจะต้องฆ่าเขาแน่นอน "

ยู่โหลวสับสนสักครู่จากนั้นนางก็ค่อยๆพยักหน้า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าสับสร " ดังนั้น ก็เท่ากับว่าข้าเป็นคนทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายสินะ "

" เขาเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวน้อยๆ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เราได้เสียสละทรัพยาไปเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะทำลายผนึก อย่าได้ไปสนใจเกี่ยวกับความเป็นความตายของเขานัก ! "ตี่ฉานพูดอย่างเย็นชา

" ตี่ฉาน !"  ยู่โหลวก็ตะโกนเรียกเขาเสียงดัง หลังจากลังเลอยู่สักพัก นางก็ยกศีรษะมองประมุขของเผ่าปีกดำ และกล่าวว่า " ถ้าเด็กนี่เป็นลูกหลานของพระเจ้าราชันย์ทั้งสาม เจ้าจะทำตามคำพูดของบรรพชนและไว้ชีวิตเขาหรือไม่ ?

" อะไรนะ ? " สีหน้าของตี่ฉานก็เปลี่ยนไป

" ในร่างของเขามีสายเลือดของพระเจ้าราชันย์อมตะอยู่ นี่เป็นโชคชะตา นอกจากนี้ เขายังมาที่แห่งนี้พร้อมกับเปลวไฟนภา ทุกอย่างล้วนเป็นเงื่อนไขที่จะช่วยให้เราออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้. บอกข้าที เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราได้สาบานไว้ว่าถ้าผู้สืบสายเลือดพระเจ้าราชันย์เป็นผู้ทำลายผนึกแล้วหละก็ เราก็จะยอมตกอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา และตอนนี้สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว เราจะทำยังไง ?" แววตาของยู่โหลวส่องประกายออกมา นางมองตี่ฉานด้วยใบหน้าจริงจัง

" พระเจ้าราชันย์อมตะ ? "ตี่ฉานก็หายใจเข้าลึกๆ เขาก็ต้องตกใจ หลังจากที่คิดครู่หนึ่งเขากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ " เจ้าไม่ได้ดูผิดใช่ไหม ? "

" ข้าได้ตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว เขาเป็นลูกหลานของพระเจ้าราชันย์อมตะแน่นอน " ยู่โหลวพยักหน้า " . ข้ารู้ว่าตั่วหลงจะต้องไม่เคารพคำพูดของบรรพบุรุษแน่นอน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีความหมายกับเขา ข้าจึงต้องการที่จะถามเจ้าโดยตรง "

" ถ้าเราทำตามคำแนะนำของบรรพบุรุษ เราก็ต้องยกให้เขาเป็นนายเหนือหัวของเรา นี่มัน . . . . . . . "ตี่ฉาน พูดไม่คอยและหลังจากลักเลสักพักเขาก็พูดต่อ " เราจะดูไปก่อน ถ้าเขาสามารถแสดงศักยภาพที่ทำให้ข้าสนใจได้ ข้าจะคิดอีกที แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ข้าจะไม่เมตาเขาเด็ดขาด ! หึ ! ถ้าจะให้ข้า ตี่ฉานยกย่องคนอ่อนแอเป็นนายเหนือหัวหละก็ ข้าเลือกที่จะขัดคำพูดของบรรพบุรุษเสียดีกว่า !"

_______________________________________

ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ

ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา  >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด