บทที่ 252 ประสงค์ของพระเจ้า
บทที่ 252 ประสงค์ของพระเจ้า
ฉื่อหยานยังคงยืนอยู่ต่อหน้านาง แม้เขาจะยืนนิ่ง บาดแผลบนร่างกายของเขาก็กำลังรักษาตัวอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นทั้งหมด บาดแผลที่ฉีกขาดทั้งหมดก็ปิดสนิท มีเพียงเลือดไม่กี่ที่ยังปรากฏอยู่บนแผลตรงหน้าอกของเขา และมันก็ค่อยๆ จางหายไป
หลังจากจิตวิญญานอมตะได้เข้าสู่ขั้นตอนที่สาม , ความเร็วในการฟื้นฟูร่างกายของ ฉื่อหยาน ก็เร็วกว่ากว่าก่อนมาก ในขณะที่ต่อสู้กับศัตรูอยู่ แผลของเขาก็สามารถรักษาได้ทันที ซึ่งทำให้เขาเกือบจะเป็นอมตะ
จักพรรดิ์นีตระกูลปีกขาวก็ตกตะลึง นางมองไปที่เขาอย่างงงๆ นางพึมพำ " พระเจ้าราชันย์อมตะ นี่คือประสงค์ของพระเจ้าจริงๆสินะ ? "
ฉื่อหยานหลี่ตาลง เครื่องหมายคำถามอันใหญ่ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา เขาไม่รู้ว่าทำไมจักพรรดิ์นีตระกูลปีกขาวถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้
แล้วสายเลือดพระเจ้าราชันย์โบราณทั้งสามในสมัยโบราณเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าปีกกัน?
ด้วยความคิดนั้น เขาลังเลอยู่สักพักก่อนที่จะพูดว่า " ข้ามีจิตวิญญานต่อสู้ของพระเจ้า เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายของข้านั้นคล้ายกับของพระเจ้าราชันย์ทั้งสาม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านรึ ? "
ยู่โหลวดวงตาก็สงบลง นางพยักหน้า หลังจากที่ลังเลเล็กน้อย " เผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกนั้นคิดค้างบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อพระเจ้าราชันย์ทั้งสามในโบรารไว้ ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา สองเผ่าพันธุ์ของเราจึงถูกส่งมาที่นี่แทนที่จะถูกทำลาย "
ฉื่อหยาน ก็ตื่นเต้น
ยู่โหลวยกหัวนางขึ้น มองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ นางคิดสักพักและพูดด้วยความสับสนบางอย่าง " เหตุการณ์เหล่านี้ได้รับการกล่าวถึงในหนังสือโบราณ ซึ่งเป็นของบรรพบุรุษของเรา ในปีนั้น สองเผ่าพันธุ์ที่ถูกเนรเทศมายังสถานที่นี้และไม่สามารถออกไปจากที่นี่จนถึงทุกวันนี้ บรรพบุรุษของสองเผ่าพันธุ์เคยสาบานว่า ถ้าพระเจ้าราชันย์ทั้งสาม หรือลูกหลานของพวกเขาช่วยให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์ออกไปจากที่นี่ได้ ทั้งสองเผ่าพันธุ์จะมองมงกุฎของพระเจ้าให้เขา และเชื่อฟังเขาตลอดไป "
" อะไรนะ ? " ฉื่อหยานตาก็สดใสทันที เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม " ตามที่ท่านพูด ถ้าข้าสามารถช่วยเผ่าพันธุ์ของพวกท่านทั้งสองของท่านออกไปจากที่บ้าๆนี้ได้ ตามคำแนะนำของบรรพบุรุษของท่าน ท่านก็จะต้องรับช้าข้าดุจนายเหนือหัว ? ข้าเข้าใจไม่ผิดใช่หรือไม่ ? "
ยู่โหลวยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้า " ตามคำพูดของบรรพบุรุษ ถ้าเจ้าสามารถทำได้เช่นนั้นจริงๆ เราจะทำตามคำสั่งของเข้า ดุจเจ้าเป็นเจ้านายของเรา แน่นอน แต่เรื่องนี้มันก็นานมามากแล้ว หลายสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว บรรพบุรุษของเราจากไปแล้วเป็นเวลานาน และคำพูดตอนนั้นก็ผ่านมานานมาก ข้าไม่แน่ใจว่าทุกคนยังคงจะทำตามคําแนะนําของบรรพบุรุษอยู่หรือไม่ "
ฉื่อหยาน ก็ตกใจ เขาคิดสักพัก จากนั้นเขาก็มองยู่โหลวด้วยดวงตาที่ส่องประกาย และถามว่า " อย่างแรก อย่าพึ่งไปสนใจคนอื่น , หากเป็นท่าน ท่านจะทำเช่นไร ? ท่านจะทำตามคำแนะนำของบรรพบุรุษหรือไม่ ? "
" ข้า . . . ข้าไม่รู้ " จักพรรดิ์ตระกูลปีกขาส่ายหัวของนางพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง " มันเป็นประสงค์ของพระเจ้าจริงๆรึ ? เป็นเพราะบรรพบุรุษได้สาบานตนไว้กับพระเจ้าราชันย์ทั้งสามในครั้งนั้นก่อนที่จะถูกส่งมายังที่แห่งนี้ งั้นรึ ? ถ้าไม่แล้ว ทำไมเจ้าชั่วตัวน้อยถึงมีเปลวไฟนภากัน และเขาผู้สืบทอดสายเลือดพระเจ้าราชันย์ทั้งสามในสมัยโบราณมาที่นี่ได้อย่างไร นี่คือพรหมลิขิตงั้นรึ ? หรือว่ามันเป็นสิ่งกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นกัน . . . . . . . "
จักพรรดิ์นีตระกูลปีกขาวพึมพำด้วยสีหน้าตกใจ นางรู้สึกราวกับว่านางหลงลึกเข้าไปในเขาวงกตขนาดใหญ่ และพยายามดิ้นรนหาทางออกอยู่ภายในจิตใจของนางเอง
" พระเจ้าราชันย์ทั้งสามในสมัยโบราณ นอกพระเจ้าราชันย์อมตะแล้ว , อีกสองคนคือใครรึ ? " ฉื่อหยานก็ถาม
ก่อนหน้านี้เปลวเหมันเยือกแข็งเองก็กล่าวถึงพระเจ้าราชันย์เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมาก ยังไงก็ตาม มันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะหาคนที่รู้เรื่องราวโบราณเหล่านี้ เขาไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านไปได้ง่ายๆแน่
" นอกจากพระเจ้าราชันย์อมตะ แล้ว , พระเจ้าราชันย์องค์อื่นๆก็คือ พระเจ้ามังกรราชันย์ และ พระเจ้าราชันย์พิษสวรรค์ พวกเขาฝึกมีวิธีการฝึกบ่มเพาะ เทพเจ้ามังกรแท้จริง และ การบ่มเพาะพระเจ้าพิษสวรรค์ พระเจ้ามังกรราชันย์สามารถแปลงกายเป็นเทพเจ้ามังกรได้และครอบครองพลังของเทพเจ้ามังกรผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนพระเจ้าราชันย์พิษสวรรค์ เลือดของเขานั้นเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ; เพียงเลือดแค่หยดเดียวก็สามารถเปลี่ยนทะเลทั้งหมดให้กลายเป็นพิษและกัดกร่อนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มันสัมพัส เมื่อจักพรรดิ์นีตระกูลปีกขาวพูดถึงพระเจ้าราชันย์ทั้งสาม ' นางดูจริงจังเป็นอย่างมาก น้ำเสียงและสีหน้าของนางดูเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเต็มไปด้วยความเคารพ " พระเจ้าราชันย์ทั้งสาม เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่จุดสูงสุดในยุคโบราณ หากไม่ได้รับการปกป้องจากพวกเขา สองเผ่าพันธุ์ของเราคงจะถูกลบล้างไปแล้ว ดังนั้น แม้ว่าสองเผ่าพันธุ์จะถูกเนรเทศมายังที่แห่งนี้ เราก็ยังรู้สึกขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างมาก ความกตัญญูของพวกเราที่มีต่อพวกท่านถูกสืบต่อมาตั้งแต่บรรพบุรุษและมันจะฝังลึกลงไปในจิตใจของพวกเราตลอดไป . "
" นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก ! " ฉื่อหยานยิ้ม " ถ้า ตี่ฉาน ตั่วหลงและผู้นำอื่น ๆ ยังคงทำตามแนวทางของบรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อข้าสามารถช่วยพวกเขาออกไปจากที่แห่งนี้ได้ พวกเขาก็จะตกเป็นทาสของข้า ฮ่า ฮ่า สมบูรณ์แบบ ! "
"ชิ หยุดฝันกลางวันได้แล้ว " ยู่โหลวส่ายหน้าในขณะที่ด่าเขา " คนเหล่านั้นต่างก็เต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้าย พวกเขาต้องไม่พอใจแน่นอน พวกเขาต่างก็มีตำแหน่งที่สูงและมีเกียรติ , พวกเขาจะไม่ยอมให้เจ้าแน่ เว้นแต่ว่าเจ้าจะแสดงออกว่าอยู่เหนือกว่าพวกเขา แต่มันก็เท่านั้น พวกเขาจะต้องไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำพูดของบรระบุรุษแน่ . เจ้านั้นมีระดับเพียงแค่ปฐพี เป็นเรื่องโง่มากที่เจ้าจะคิดให้พวกเขาทำตามคำสั่งเจ้า "
ยู่โหลวหยุดเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า " เจ้าไม่ควรให้ใครอื่นรู้ว่าเจ้านั้นมีสายเลือดของพระเจ้าราชันย์อมตะ มิฉะนั้นก็เท่ากับว่าเจ้านำความตายมาสู่ตัวเองเร็วขึ้นเท่านั้น อ่า ข้าจะลองไปถามตี่ฉานเกี่ยวกับคำพูดของบรรพบุรุษว่าเขาคิดเห็นเช่นไร ถ้าตี่ฉานยินดีที่จะปฏิบัติตาม ข้าก็คิดว่าเจ้ายังมีหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าตี่ฉานไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของบรรพบุรุษ เจ้าก็อย่าคิดถึงเรื่องนี้อีก . "
หลังจากที่นางพูด ยู่โหลวก็จับไปที่ฉื่อหยานอีกครั้งและบินขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งไปที่เมืองหินยักษ์โบราณของตระกูลเสียงอสูรโดยไม่กล่าวอะไรอีก
บนกำแพงเมืองโบราณ
นักรบอัจฉริยะที่โดดเด่นรุ่นเยาว์ของทะเลเคียร่า –ฉาวจื่อหลาน , กู่หลินหลง พานโจว และซูหยานซิงถูกขังอยู่ในกรง ด้วยใบหน้าหดหู่และดวงตาที่เศร้าซึม
ในทะเลเคียร่า คนเหล่านี้อต่างอยู่ในระดับต้นๆของรายชื่อลำดับผู้แข็งแกร่ง ปกติแล้วตระกูลของพวกเขามักจะเป็นขุนนางหรือมีสถานที่สูงส่ง
อย่างไรก็ตาม ในที่แห่งนี้ พวกเขาเป็นเหมือนกับเชลย ซึ่งสามารถถูกฆ่าได้ตลอดเวลา โดยผู้ที่เฝ้าคุมพวกเขาอยู่ ความรู้สึกสิ้นหวังทำให้พวกเขาสูญเสียความเย่อหยิ่งที่แสดงออกมาตลอดก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลุ่มคนเหล่านี้กำลังนั่งคอตกอยู่ , พวกเขาถอยล่นพิงกับกรงด้วยความหวาดกลัวที่มีมากขึ้น
หยาจี่ ลูบคางของเขา ดวงตามืดมนของเขามองกวาดไปที่ร่างที่งดงามของฉาวจื่อหลาน และกู่หลินหลง ดูเหมือนเขากำลังคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่กำลังกระทำกับสองสาว ฉาวจื่อหลาน และกู่หลินหลงทั้งสอต่างก็มีจิตวิญญานต่อสู้ที่ทรงพลังในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการบ่มเพาะของเขา
แม้ว่ารูปลักษณ์ของซูหยานซิงจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่พลังงานในร่างกายของนางนั้นประหลาดเป็นอย่างมาก หยาจี่สัมพัสได้ว่าน่าจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในตัวนาง ดังนั้น เขาเองก็วางแผนที่จะแก้ผ้านางดูเช่นกันว่านางมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่
สองสาว เชว่เฟยและอีฉูปี่อยู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งพวกนางก็พูดคุยด้วยเสียงเบาๆ บางครั้งพวกนางก็หลี่ตามองไปยังคนที่อยู่ในกรง
" หวือ หวือ หวือ "
จากท้องฟ้า ร่างบางคนก็ลงมาบนกำแพงเมืองใกล้ๆกับหยาจี่ นอกจากนี้ คาป้า หยาเมิง อีเทียนโหมว นอกจากนี้ยังมีตี่ฉานจากตระกูลปีกดำยืนอยู่ด้วย
การมาถึงของตี่ฉานทำให้หยาจี่ อีฉู่ปี และ เชว่เฟย ต่างก็ตกใจ พวกเขารีบ ก้มหน้าลงด้วยความเคารพ
หัวหน้าของตระกูลปีกดำ ตี่ฉานไม่เพียงแต่มีอำนาจเท่านั้นแต่ยังมีระดับการบ่มเพาะที่สูงอีกด้วย เมื่อใดก็ตามที่เผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกขัดแย้งกัน พวกเขาจะให้ความสำคัญกับคำตัดสินของตี่ฉานสำคัญที่สุด คำพูดของเขาเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้เผ่าเสียงอสูรกลายเป็นกองเลือดได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คนของเผ่าเสียงอสูรหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก
หลังจากตี่ฉานมาถึง เขาก็หลี่ตา จ้องมองไปที่ฉาวจื่อหลาน , กู่หลินหลงและซูหยานซิง พร้อมกับถามขึ้นอย่างเย็นชา " พวกนางคือเชลยหญิงงั้นรึ ? "
" เอ่อ . . . พวกนางทั้งสามคือเชลยขอรับ " หยาเมิงหยักหน้า .
" รอจนกว่าไอ้เด็กบ้านั่นมาถึง ค่อยนำมาให้เขา . "ตี่ฉานพยักหน้าและพูดอย่างเย็นชา " มันแสบจริงๆ ที่ได้ลิ้มรสของดีเช่นนี้ นางทั้งสามต่างก็โตไปต้องเป็นหญิงงามแน่ๆ และยังงดงามเป็นอย่างมาก”
ใบหน้าที่งดงามของฉาวจื่อหลาน ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางลุกขึ้นนั่งอย่างเงียบๆ , ชำเลืองมองไปที่ซูหยานซิง และฟังอย่างตั้งใจ
ซูหยานซิงและกู่หลินหลง สายตาก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของพวกนางกลายเป็นหวาดกลัวเล็กน้อย พวกนางเขยิบร่างของพวกนางเพื่อฟังการสนทนาของคนเผ่าเหล่านั้นด้วยความระมัดระวัง
เพราะผู้หญิงเหล่านี้ถูกจับและคุมขังในที่แคบๆ ถึงแม้ว่าพวกนางจะเผชิญกับปัญหามากมาย พวกนางก็ยังคงมีกันและกัน ดังนั้น ถึงแม้พวกนางจะรู้สึกไม่มั่นคง แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวมากเกินไป
แต่คราวนี้มันต่างกัน เป้าหมายของเผ่าปีกเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกนาง ดังนั้น สามสาวก็เริ่มเป็นกังวลและรู้สึกกลัว พวกนางไม่รู้เลยว่าชีวิตพวกนางเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ?
" ท่านพ่อ พวกนางหนะรึ ? " หยาจี่พูดขึ้นหลังจากลังเลอยู่สักพัก มีความไม่พอใจเล็ก ๆน้อย ๆปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา " นางทั้งสามถูกข้าจับมา ท่านไม่เห็นรึ . . . . . . . "
" หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว " หยาเมิงตะคอกออกมาอย่างเย็นชา " เจ้าอย่าได้คิดเรื่องของพวกนางอีก ทุกอย่างต้องจบแค่นี้ "
" ท่ายพ่อ ! ! ! " หยาจี่ตะโกนออกมา
" ดูเหมือนลูกของเจ้าจะไม่พอใจนะ " ตี่ฉานแสยะยิ้มต้องเขม็งไปที่หยาจี่อย่างดุร้าย . " เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะปรามลูกของตัวเองได้เลยงั้นรึ ? "
สีหน้าหยาเมิงก็ซีดเซียว เขามองไปที่หยาจี่ด้วยความโกรธ
ร่างกายของหยาจี่ก็สงบลง พร้อมพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยม เขาคำนับศีรษะของเขา และกล่าวว่า " ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งของท่าน "
" เรา . . . . . . . " ฉาวจื่อหลาน มองไปที่ตี่ฮาน และถามด้วยความกล้า " จะให้เราทำอะไรรึ ? "
ตี่ฉานก็ประหลาดใจเล็กน้อย มองไปที่นางอย่างแปลกประหลาด และกล่าวว่า " เจ้านี่กล้าจริงๆ ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะไม่ฆ่าเจ้า เราเพียงต้องการร่างกายของเจ้า . "
เชลยหญิงทั้งสาม ฉาวจื่อหลาน , กู่หลินหลงและซูหยานซิงสีหน้าของพวกนางก็เปลี่ยนไป .ร่างกายที่บอบบางของพวกนางก็สั่นสะท้าน แววตาของพวกนางเต็มไปด้วยความโกรธและความอัปยศ
" เปรียบเทียบกับการถูกฆ่าแล้ว การสูญเสียความบริสุทธิ์ กับนับว่าเจ้าโชคดีแล้ว " ใบหน้าของตี่ฉานก็ไร้ความรู้สึก " ไม่ใช่คนจากเผ่าเสียงอสูรหรือเผ่าเสียงอสูรที่ทำกับพวกเจ้าหลอก แต่เป็นเจ้านั่นที่เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเจ้า นั่นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าแล้ว"
" มนุษย์เช่นเดียวกับเรา ? " กู่หลิงหลงก็ประหลาดใจ นางถามขึ้นอย่างเร่งรีบ " ใครกันรึ ? "
" เจ้าจะได้รู้อีกไม่นาน" ตี่ฮานยิ้มอย่างชั่วร้าย . เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับฉื่อหยานเลย
สามสาวมองซึ่งกันและกัน พวกนางดูเหมือนจะรู้ลางๆว่าเป็นใครแต่ไม่กล้าถามต่อ
" พรึบ พรึบ พรึบ "
เสียงปีกกระพือดังมาถึงหูของฝูงชน หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีขาวก็พุ่งโฉบผ่านหัวของฝูงชน
ประกายแสงพุ่งเข้ามาอยู่ซึ่งหน้า เป็นจักพรรดิ์นีตระกูลปีกขาว นางกระพรือปีกเบาๆลงมาจากฟ้าพร้อมกับฉื่อหยานในมือของนาง
หลังจากโยน ฉื่อหยาน ลงบนพื้นโดยไม่สนใว่าเขาจะเจ็บหรือไม่ ยู่โหลวก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และมองไปที่เชลยหญิงทั้งสามอย่างรวดเร็ว แล้วนางก็หัวเราะออกมา และกล่าวว่า " เขามีรสนิยมไม่เลว พวกนางทั้งสามแต่ละคนล้วนงดงามเป็นอย่างมาก ใบหน้าของพวกนางต่างก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ เจ้าชั่วน้อยนับเป็นปีศาจราคะที่แท้จริง "
" เป็นเจ้าหลอกรึ " ร่างกายของหยาจี่ก็ปั่นป่วนอีกครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น
เชลยหญิงทั้งสาม ฉาวจื่อหลาน กูหลินหลง ซูหยานซิง ช่วยไม่ได้ที่ร่างของพวกนางจะสั่นสะท้านเมื่อมองไปที่ฉื่อหยานที่เพิ่งตกลงมากับพื้น พวกนางทั้งหมดต่างก็จ้องไปที่เขา โดยไม่รู้เลยว่าทำไมคนที่เป็นเป้าหมายของพวกนางตอนแรกถึงเป็นคนที่อยู่ตรงนี้
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ