บทที่ 246 ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
บทที่ 246 ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
บนกำแพงเมืองโบราณ ตั่วหลง ร่างกายเต็มไปด้วยแรงกดดันจิตสังหาร ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น เขายืนรออย่างเงียบๆ
ทั้งสามคน คาป้า หยาเมิง อีเทียนโหมว ยืนอยู่ข้างๆด้วยความระมัดระวัง และไม่พูดอะไร
หลายคนของเผ่าเสียงอสูรหายใจอย่างอึดอัน พวกเขายืนตรง และไม่กล้าที่จะมองไปที่ตั่วหลง
โดยทั่วไปความแข็งแรงของเผ่าปีก นั้นมีมากกว่าเผ่าเสียงอสูร เมื่อเร็วๆ นี้ ถ้าไม่ใช่เผ่าอีกปีกสู้กันเอง เพราะความขัดแย้งภายในภายในของเผ่าปีก เผ่าเสียงอสูรอาจจะโดนกำจัดแล้วก็เป็นได้
เผ่าปีกนั้นมีมีร่างกายที่แข็งแกร่ง พลังปราณลึกลับของพวกเขามีจำนวนมหาศาลและหนาแน่นเป็นอย่างมากและพวกเขายังสามารถรับมือกับการโจมตีวิญญานของเผ่าเสียงอสูรได้อีก พวกเขามีข้อได้เปรียบเหนือเผ่าเสียงอสูรเป็นอย่างมาก
ตั่วหลง คือ ยอดฝีมือของตระกูลปีกเทา แม้ว่าตระกูลปีกเทาจะไม่แข็งแกร่งเท่าตระกูลปีกสีดำและปีกขาวแต่พวกเขาก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ตระกูลปีกสีเทาของตั่วหลง คือขุมกำลังหลักที่เห็นด้วยในการนำชาวเผ่าอสูรมาเป็นทาส
เพราะฉะนั้น ตั่วหลงจากปีกสีเทานั้นจึงเป็นที่รังเกียจมากที่สุดสำหรับเผ่าเสียงอสูร ชาวเผ่าเสียงอสูรจึงกลัวเขาเป็นแย่างมาก
ตั่วหลงอยู่ที่นี่ก็ทำให้ทั้งสามคน คาป้า หยาเมิง อีเทียนโหมว สั่นสะท้านแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นของเผ่าเสียงอสูร ตั่วหลงนับได้ว่าเป็นตัวตนที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุด พวกเขาไม่รู้เลยว่าตั่วหลงต้องการจะทำอะไร
ดวงตาสดใสของฉาวจื่อหลานสั่งเกตุร่างกายของตั่วหลงหนึ่งครั้ง นางจ้องมองไปที่ผลึกกลมสีเขียวในมือของตั่วหลงเงียบๆ ด้วยความประหลาดใจ
นางไม่รู้เลยว่าฉื่อหยานทำอะไรผิดตั่วหลงถึงได้ตามหาเขาเช่นนี้ แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของตั่วหลง นางก็รู้ได้เลยว่าฉื่อหยานได้ทำเรื่องร้ายแรงไปแล้วในครั้งนี้
ครั้งนี้ไม่ใช่การล้อเล่นแน่นอน !
ฉาวจื่อหลานถอนหายใจออกมาอย่างอิดออน นางเคยหวังไว้ว่า ฉื่อหยานจะโจมตีเผ่าเสียงอสูร เพื่อให้นางได้มีโอกาสที่จะหลบหนีการควบคุมวิญญานของเผ่าเสีนงอสูร แต่ตั่วหลงที่มาเยือนที่นี่ ทำให้ฉื่อหยานตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ตอนนี้ทุกคนถือว่าเขาเป็นหนามในสายตาของพวกเขา แล้วหลังจากนี้เขาทำยังไง ?
ฉาวจื่อหลาน สามารถจินตนาการแล้วว่าฉื่อหยานจะต้องถูกนำตัวมาและถูกคุมขัง เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการทรมานของตั่วหลง จนเขารู้สึกว่าตายเสียดีกว่ามีชีวิตอยู่และเขาจะต้องตายก่อนนางแน่ๆ
ซูหยานซิงและพานโจวที่ยังอยู่ในกรง ก็มีความคิดเดียวกัน
ทันใดนั้น ร่างของอีเฟิงก็ปรากฏจากระยะไกล
โดนยังาไม่ถึงยี่เฟิงก็ตะโกนออกมา " ผู้บังคับบัญชาใหญ่ ชายคนนั้นหนีไปแล้วขอรับ ! เราไม่รู้เลยว่าเขาออกเมืองไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้เขาสมควรอยู่ด้านนอกเมืองแล้วขอรับ "
" อะไรนะ ! " อี้เทียนโหมมช่วยไม่ได้ที่จะร้องออกมา
" ทางไหน ? " ตั่วหลงตะโกนออกมาด้วยเสียงดุดัน
" ทางนั้นขอรับ ! " อีเฟิงชี้ไปทางด้านนอกของเมือง
" อีเทียนโหมว หวังว่ามันคงจะไม่ใช่ฝีมือเจ้านะ ! รอจนกว่าข้าจะจับมันได้เสียก่อน ข้าจะถามมัว่าเจ้าเกี่ยวด้วยหรือไม่ ! " ตั่วหลงร่างกายเต็มไปด้วยความโกรธบรรนากาสรอบด้านกลายเป็นบิดเบี้ยว " ถ้าข้ารู้ว่าเป็นฝีมือของเจ้า อย่าหาว่าข้าไม่ปราณี !"
เมื่อเขาพูดจบ ตั่วหลงก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หลี่เมิง คาป้า อีเทียนโหมว และ นักรบระดับสูงคนอื่นๆของเผ่าเสียงอสูรทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในความประหลาดใจและบินไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นทิศที่ตั่วหลงมุ่งหน้าไป
บนกำแพงเมืองโบราณอีแห่งหนึ่ง
หยาเมิง คาป้า อีเทียนโหมว หยาจี่ และคนเผ่าปีศาจเสียงก็มองไปข้างหน้าห่างไกลออกไปพร้อมกับสีหน้าแปลกประหลาด
ฝูงสัตว์อสูรเสียงล้อมรอบพื้นที่ไปรอบๆทั่วป่า เสียงอสูรทารกระดับหกร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนจะมีสัตว์อสูงเสียงมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้น มีสัตว์อสูรเสียงรวมตัวกันอยู่ไม่น้อยกว่าพันตัว มันรวมตัวอยู่กันอย่างหนาแน่นเหมือนกับฝูงยุงที่รวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ
ด้านหลังกลุ่มสัตว์อสูรเสียงฝูงใหญ่ มีแสงส่องประกายออกมา มองจากที่ไกลๆ จะเห็นนักรบระดับสูงของเผ่าปีกต่อสู้กับสัตว์อสูรเสียงอย่างอุกอาจอยู่
เปลวไฟแสงสีแดงฉานเป็นเหมือนกับสายฟ้าฟาดไปยังร่างของสัตว์อสูรเสียง
ใกล้ๆกับไฟสีแดงฉานเป็นตั่วหลง ผู้ที่เต็มไปด้วยคมมีดสายลมเคลื่อนไหวอยู่ในอากาศรอบๆตัวตาของเขาเปิดกว้างพร้อมกับยิ้มจนเห็นฟันได้อย่างชัดเจน เขามองลงมาจากบนฟ้าและหัวเราะ
" เป็นเปลวไฟที่รุนแรงจริงๆ ! นี่หนะหรือคนที่เจ้าจับได้ ? " คาป้าจ้องไปที่เปลวไฟที่กำลังลุกโชต เขาค่อย ๆสังเกตไปสักพัก จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป " เป็นไปไม่ได้ ! เปลวไฟที่เผาไหม้อยู่นั่นน , ไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา มันเป็น. . . . . . . . เป็นเปลวไฟนภา ! นี่คือเปลวไฟนภา ! อีเทียนโหมว ดี… เจ้าทำได้ดีจริงๆ หึ ! "
อีเทียนโหมวแววตาก็ส่องประกายออกมา ร่างของเขาโอนเอนเล็กน้อยในขณะที่พูดอย่างเรียบเฉย " ข้าไม่รู้เรื่องนี้ . . . . . . . "
" เจ้าไม่รู้ ? " หยาเมิง มองไปด้วยสีหน้าสงสัย " ร่างของเขามีผนึกวิญญานของเจ้าอยู่ ถ้าเจ้าผนึกรูปแบบวิญญานไปในร่างกายของเขา ทำไมเจ้าจะไม่รู้ความลับของร่างกายเขากัน ? อีเทียนโหมว เจ้ากล้าที่จะเล่นกับไฟจริงๆงั้นรึ ? มันอาจจะเผาเจ้าเป็นเถ้าถ่านก็ได้ ? เจ้าเป็นผู้นำ เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเปลวไฟนภาอันตรายต่อพวกเราเผ่าเสียงอสูรเพียงใด ! "
" ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะมีเปลวไฟนภา " อีเทียนโหมวส่ายหน้า " แต่ไม่ต้องห่วง ตั่วหลงได้ไปที่นั่นแล้ว เขาไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีก จะมีเปลวไฟนภาหรือไม่มี เขาไม่สามารถรอดจากตั่วหลงไปได้หลอก เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าอย่าได้กังวลมากไป”
เมื่ออีเทียนโหมวพูดเสร็จ ร่างของอีฉู่ปี่ก็ปรากฏขึ้นเงียบๆใต้กำแพงเมืองโบราณ
" เจ้ายังจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าอีกรึ ? "สีหน้าของคาป้าก็กลายเป็นเย็นชา " บางทีเจ้าเองก็อาจจะรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนฆ่าลูกของตั่วหลง ถ้าไม่ เจ้าคงไม่ปล่อยให้อีฉู่ปี่ปล่อยเขาเป็นอิสระหลอก อีเทียนโหมว เจ้ารู้มั้ยว่าเจ้ากำลังทำอะไร ? เมื่อตั่วหลงจับเขาได้และสอบปากคำเขา หลังจากที่ฆ่าเขาเสร็จแล้ว ตั่วหลงก็จะมาตามล่าเจ้าเพื่อล้างแค้น เจ้าก็รู้จักนิสัยของตั่วหลงดีหนิ , ทำไมเจ้าถึงยังทำเช่นนั้นกัน ? "
" ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร . " หน้าของ อีเทียนโหมวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง " แม้ว่าตั่วหลงจะต้องการจะล้างแค้นข้าจริงๆ แล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงสนใจนัก "
" ดี…. ! " หน้าของคาป้ากลายเป็นเย็นชา เขาพยักหน้าไปที่อีเทียนโหมว จู่ๆ เหมือนกับว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา " ข้าเข้าใจแล้ว…. ข้าเข้าใจแล้ว…. อีเทียนโหมว นะ อีเทียนโหมว ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้าแล้ว ฮาฮา เปลวไฟนภานั้นเป็นหายนะของเราเผ่าเสียงอสูร . เจ้าต้องการที่จะใช้มันควบคุมข้าและหยาเมิงสินะ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว... .
หยาเมิงสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาค่อยๆพยักหน้า . " นี่สินะ ! อีเทียนโหมว นะ อีเทียนโหมว แผนของคุณเจ้านั้นฟังดูดีเป็นอย่างมาก แต่เสียใจด้วยตอนนี้ ตั่วหลงได้อยู่ที่นี่แล้ว และกำลังจะฆ่าเขา เจ้าคิดว่า ตั่วหลงคงไม่รู้สินะว่าใครฆ่าลูกชายของเขา เจ้าพลาดแล้ว "
" พวกเจ้าคิดกันไปเอง " อี้เทียนโมส่ายหน้า ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง
" แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ " คาป้ายิ้มออกมาบางๆ
สีหน้าของหยาเมิงเย็นยะเยือกสามาหาร เห็นได้อย่างชัดมากว่าเขาไม่พอใจกับการกระทำของอีเทียนโหมว และเขาก็แอบคิดที่จะจัดการกับอีเทียนโหมวอย่างลับๆ
ด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนออกมาจากร่างกายของเขา ฉื่อหยานกลายเป็นเหมือนกับจรวดพุ่งไปยังกลุ่มสัตว์อสูรเสียง
หลังจากที่อีฉู่ปี่บอกฉื่อหยานว่าตั่วหลงมาหาตัวเขา เขาก็กระแอมเสียงออกมาจากและคำ และพุ่งออกจากเมืองด้วยความเร็วแสง
ที่เขาฆ่าฮันหนานก็เพราะ เขาไม่ต้องการจะให้เบื้องหลังของฮันหนานรับรู้ , เขาได้ฆ่าฮันหนานและนักรบอีกสองคน , ด้วยการตายของทั้งสาม เขาคิดว่าถ้าฆ่าศัตรูอย่างไม่เหลือซากจะไม่มีตามตัวเขาได้ แต่เขาคิดผิด
ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่หนีไปซ่อนตัวเท่านั้น
เขารู้ว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากเปลวไฟนภาได้ เขาจึงไม่เกรงกลัวสัตว์อสูรเสียง ดังนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร สถานที่แห่งนั้นจะเป็นที่หลบซ่อนของเขา
ภูเขาเสียงอสูร
เขารู้มาจากฉู่ปี่ว่ามีที่หลบภัยขนาดใหญ่และแข็งแรงอยู่ในภูเขาเสียงอสูร ที่หลบภัยนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในภูเขาเสียงอสูร แม้แต่สามผู้นำของเผ่าปีกก็ไม่อาจเอาทำลายที่หลบภัยนี้ได้ ภายในภูเขาเสียงอสูร เต็มไปด้วยด้วยสัตว์อสูรเสียงและพลังหยินที่แข็งแกร่ง นอกจากสัตว์อสูรเสียงแล้ว พลังของคนธรรมดาเมื่อเขามายังที่แห่งนี้จะลดลง
เขาเพียงต้องการที่จะเข้าไปในภูเขาเสียงอสูรเท่านั้น ด้วยเปลวไฟนภาภายในร่างกายของเขา เขาจึงไม่กลัวสัตว์อสูรเสียงโจมตี เปลวไฟนภานั้นสามารถเผาผลาญทุกสิ่งได้ บางทีแม้แต่ที่หลบภัยก็อาจจะถูกเผาได้เช่นกัน ภูเขาเสียงอสูรนั้นเป็นสถานที่อันตรายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับฉื่อหยานแล้วมันเป็นสถานที่เดียว ที่สามารถปกป้องเขาจากการตามล่าของตั่วหลงได้
ด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนออกมาจากร่าง ฉื่อหยานปล่อยเปลวไฟนภาออกมา ร่างกายของเขาส่องแสงออกมาพร้อมกับมุ่งเข้าไปในฝูงสัตว์อสูรเสียง
สัตว์อสูรเสียงเกือบพันรวมตัวกันอยู่ตรงนั้นและล้อมรอบคนจากเผ่าปีกดำและปีกขาวประมาณสิบคน ท่ามกลางสัตว์อสูรเสียงเหล่านั้น มีบางตัวที่อยู่ในระดับหกและเจ็ด พลังหยินที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากสัตว์อสูรเสียงเหล่านี้ , สามารถทำให้เกิดกลายเป็นเมฆสีเทาที่สามารถมองเห็นจากระยะไกลได้อย่างชัดเจน
ฉื่อหยาน เป็นเหมือนกับจรวดและยิงตรงไปที่สัตว์อสูรเสียงรวมกันอยู่
พลังหยินที่ไหลอยู่ในอากาศเป็นเหมือนกับเมฆสีดำที่เคลื่อนไหวไปมา พลังหยินนั้นประทะเข้ากับใบหน้าของฉื่อหยาน เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และเขาก็รู้สึกสบายตัวมากขึ้น ความคิดและสติของเขาชัดเจนมากขึ้น
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ทำอย่างระมัดระวัง สักพักร่างกายของฉื่อหยานก็สั่นเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข
เส้นชีพจรสามเส้นที่หน้าอกของเขาสร้างวังวนพลังหยินขึ้นมาซึ่งมันไหลเวียนอย่างเงียบๆ การไหลเวียนของวังวนพลังหยินทำให้พลังหยินที่อยู่รอบๆหายไป ร่างกายของเขาเริ่มที่จะดูดซับและรวบรวมพลังหยินอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน วังวนเล็กก็ปรากฏขึ้นบนหัวของเขา ในขณะที่วังวนนี้ปรากฏขึ้น ทันทีพลังของมันก็รุนแรงขึ้น
พลังหยินที่อยู่ในบริเวณรอบๆที่เหมือนกับเมฆสีเทากลายเป็นเหมือนกับลมบ้าหมู พลังหยินที่อยู่รอบๆถูกดูดเข้ามาในวังวนพลังหยิน ทำให้วังวนนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น
เคล็ดทมิฬ !
เคล็ดวิชาพิเศษนี้มาจากพรรคสามเทพ มันเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ในสถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้น ถ้าใช้เคล็ดทมิฬในสถานที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น มันจะสร้างวังวนขึ้นมาและดูดซับพลังหยินที่อยู่ในที่แห่งในด้วยตัวเอง และกลายเป็นไข่มุกอยู่ภายในวังวนพลังหยิน
ปีที่แล้วในพื้นที่พลังหยิน เขาใช้เคล็ดทมิฬเพื่อต้านทานพลังหยินที่เข้ามาในร่างเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะกระตุ้นมันขึ้นมา และตอนนั้นเขาก็ได้ดูดซับพลังหยินทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่พลังหยินเขามา
เหตุการณ์ครั้งนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก ในตอนนี้เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของวังวนพลังหยิน , ที่ปรากฏขึ้นบนหัวของเขา ฉื่อหยาน ก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เหมือนกับตอนนั้นกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
เขาเคลื่อนไหวผ่านอากาศ เปลวไฟยังคงลุกโชนออกมาจากร่างเขา แต่วังวนพลังหยินยังคงกลั่นและดูดซับพลังหยินอยู่บนหัวของเขา ศูนย์กลางของวังวนพลังหยินเป็นเหมือนกับพลังดึงดูดที่รุนแรง ซึ่งมันดูดซับพลังหยินทั้งหมดที่อยู่รอบๆเข้ามา
ในพื้นที่แห่งนี้ มีสัตว์อสูรเสียงมากกว่าพันตัวที่สัมพัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพื้นที่แห่งนี้ พวกมันเริ่มจ้องฉื่อหยานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ .
จากกำแพงเมืองโบราณที่อยู่ห่างออกไป ทั้งสามคน คาป้า หยาเมิง อีเทียนโหมวก็ไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ พวกเขามองไปยังฉื่อหยานและสถานที่ที่เขาอยู่ด้วยดวงตาที่เปิดกว้างและปากที่อ้าค้างไว้
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ