บทที่ 239 ภูเขาเสียงอสูร
บทที่ 239 ภูเขาเสียงอสูร
" พวกของเจ้างั้นรึ ?" พฤติการณ์บนใบหน้าของชายชราเปลี่ยน คิ้วของเขาขมวดและกลายเป็นจริงจัง และมองไปที่ฉื่อหยานอย่างสงสัย " คนพวกนั้นมาที่นี่กับเจ้าใช่ไหม ? "
ฉื่อหยานส่ายหน้า " ไม่ ข้าไม่ได้มากับพวกเขา ข้าเพียงแค่รู้จักพวกเขาเท่านั้น จริงๆแล้วพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามข้ามา พวกเขาไล่ตามข้าจากโลกภายนอกจนมาถึงที่นี่ . . . . . . . หึ ! และเป้าหมายของพวกเขาก็คือข้า " .
" พวกเขาคงเกลียดเจ้ามากเลยสินะ " อีฉู่ปี่สงสัย " นักรบในระดับเดียวกับเจ้าเกือบร้อยคนกำลังตามล่าเจ้าเพื่อที่จะฆ่าเจ้า จากที่เห็น เจ้าต้องไปทำอะไรมาใช่หรือไม่า ? "
ฉื่อหยานยิ้มอย่างแห้งๆ " ไม่มีอะไร . . . . . . . "
" ไม่ว่าจุดประสงค์ของคนเหล่านั้นจะเป็นอะไร เมื่อพวกเขาอยู่ในดินแดนของเผ่าเสียงอสูรแล้ว พวกเขาก็ต้องทำตามกฏ "
ชายชราขมวดคิ้วและกล่าวว่า , " อีเฟิง , ไปข้างนอกแล้วจับพวกมันมา เอานักรบของเราไปกับเจ้าด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ "
ชายร่างผอมที่อยู่ในระดับรู้แจ้งพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และรีบจากไป
" โอเค มาคุยเรื่องของเรากันต่อเถอะ . " ชายชราตอบเยือกเย็นพร้อมกับจิบน้ำชา " โลกภายนอก สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ? เจ้ามาจากสถานที่แห่งใด ? มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ? "
" ที่โลกภายนอกรึ ? "
" เอ่อ . . . "
" ข้ามาที่นี่จากทะเลเคียร่าผ่านประตูสวรรค์ที่อยู่ในทะเลเคียร่า ในขุมกำลังของนักรบที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาต่างก็ต่อสู้กันเพื่อแย่งพื้นที่ของขุมกำละงอื่น " ฉื่อหยานคิดสักพัก แล้วอธิบายสถานการณ์ในทะเลเคียร่าที่เขารู้เพียงเล็กน้อยให้ผู้เฒ่าของตระกูลเสียงอสูรฟัง
ชายชราฟังฉื่อหยานพูดโดยไม่ขัดอะไร
" ท่านพ่อ ดูเหมือนทะเลเคีบร่าจะไม่ใช่ดินแดนโบราณของเรา " อีฉู่ปี่คิดสักพักและจากนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่นางจะพูดออกมา
" ใช่ มันไม่ใช่ดินแดนโบราณของเรา แต่ไม่ต้องห่วง ตราบใดเมื่อเราออกไปยังโลกภายนอกได้ เราก็จะได้พบดินแดนโบราณของเรา . " ชายชราพยักหน้า . " ถ้าพวกมนุษย์นักรบมาที่นี่ได้ หมายความว่ารูปแบบที่ควบคุมอยู่นั้นปรากฏออกมาเมื่อไม่นานนี้ อืม คงถึงเวลาที่เราต้องเจรจากับพวกเผ่าปีก”
" ถึงพวกเผ่าปีกจะหาทางออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกับเรา แต่พวกเขาไม่ได้เป็นมิตรกับเรานัก เมื่อเร็วๆนี้ , พวกเขายังโจมตีเราอีกด้วย ท่านพ่อ , ท่านต้องการที่จะเจรจาพูดคุยกับเผ่าปีกจริงหรือ ? " อีฉู่ปี่ก็พูดออกมาอย่างไม่เห็นด้วย " เผ่าปีกนั้นมีเจตนาชั่วร้าย พวกมันนั้นกอยากจะออกไปพิชิตโลกภายนอก เมื่อพวกมันออกจากที่นี่ได้ สถานการณ์ของโลกภายนอกคงจะแย่แน่ "
" หลังจากไม่กี่ปีที่ผ่านมาเผ่าปีกนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ถึงเราจะไม่ได้เป็นพันธมิตรกับพวกเขา แต่เราทั้งสองเผ่าต่างก็เป็นผู้ถูกส่งมายังที่แห่งนี้ ข้ารู้ว่าเผ่าปีกนั้นชั่วร้าย และเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน แต่ด้วยพลังของเผ่าเสียงอสูรของเราเพียงเผ่าเดียว ข้ากลัวว่าเราจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ " ชายชราตอบกลับให้สาวน้อยเข้าใจ " ถ้าทั้งสองตระกูลร่วมมือกันเราอาจจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ แต่ถ้าไม่ เราอาจติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่ากังวล ก่อนที่จะเจรจากับเผ่าปีก ข้าจะถามผู้นำอื่น ๆเพื่อถามความคิดเห็นพวกเขาก่อน ถ้าทุกอย่างเป็นด้วยดี ข้าก็จะติดต่อเจรจากับเผ่าปีกทันที”
ฉื่อหยานก็เงียบแต่เขาก็รู้สึกประหลาดใจ
จากการสนทนาระหว่างชายชราแลหญิงสาวที่ชื่ออีฉู่ปี่ เขาก็ได้รู้ว่านอกจากเผ่าเสียงอสูรยังมีอีกเผ่าหนึ่งชื่อเผ่าปีก พวกเขาสมควรเป็นเผ่าใหญ่ทั้งสองที่มาจากยุคโบราณ . แต่เขาก็รู้เหตุผลว่า อะไรที่ทำให้พวกเขาถูกคุมขังอยู่ที่นี่
เผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกก่อนหน้านี้สมควรอาศัยอยู่ที่แผ่นดินรุ่งเรือง นอกจากนี้ ทั้งสองเผ่าจะต้องแข็งแกร่งและมีอำนาจเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะถูกเนรเทศมาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็ยังคงมีความตั้งใจที่จะกลับไปที่แผ่นดินรุ่งเรืองและกลับไปยังดินแดนโบราณของพวกเขา
ตอนที่รูปแบบปิดกั้นที่ผนึกห้วงจิตสำนึกของเขาไว้หายไป เขาก็ตระหนักได้ว่า ภายในห้องโถงใหญ่นี้ มีนักรบระดับรู้แจ้งและระดับนภามากกว่าสิบคน และชายชราคนนั่นก็มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับพระเจ้า .
ชายชราคนนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในผู้นำของเผ่าเสียงอสูร ตามคำพูดของเขา จะต้องมีผู้นำคนอื่นอีก แล้วถ้าพวกเขาเหล่านั้นมีระดับการบ่มเพาะเช่นเดียวกับชายชรา แปลว่าพลังอำนาจของเผ่าเสียงอสูรจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถึงขนาดสามารถเอาชนะขุมพลังในทะเลเคียร่าได้อย่างง่ายดาย
เผ่าเสียงอสูรนั้นแน่นอนว่าเป็นเผ่าที่น่ากลัว แต่เมื่อตอนที่คนจากเผ่าเสียงอสูรพูดถึงเผ่าปีก เขาก็รู้ได้เลยว่าเผ่าปีกนั้นจะต้องแข็งแกร่งกว่าเผ่าเสียงอสูรแน่ๆ
ถ้านี่เป็นความจริง เมื่อเผ่าเสียงอสูรและเผ่าปีกร่วมมือกันและออกไปจากสถานแห่งนี้และไปยังเคียร่าทะเลได้ เขาไม่อาจจินตนาการถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในทะเคเคียร่าได้เลย
" ท่านต้องการที่จะกลับไปยังแผ่นดินรุ่งเรืองใช่หรือไม่ ? " ฉื่อหยานก็ถามออกไปขณะที่ความคิดพวกนั้นปรากฏเข้ามาในหัวของเขา
" ใช่ เราเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ เราหวังว่าจะกลับไปดินแดนโบราณของเรา นี่ก็เกือบหมื่นปีแล้วที่เรามายังที่นี่ เราต้องการที่จะรู้วิธีที่จะกลับไปยังดินแดนของพวกเรา เพราะแต่เดิมแล้วพวกเราต่างก็ไม่ใช่คนของดินแดนแห่งนี้ " อีฉู่ปี่ตาเห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังกังวล " คนจากดินแดนของเรา คิดถึงบ้านเกิดเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างก็ไม่ได้เห็น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือ สถานที่ที่กว้างใหญ่ไพรศาลมาเนินนาน " .
" ตอนนี้ทะเลเคียร่ายังคงไม่สงบ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีที่จะกลับไปตอนนี้ " ฉื่อหยานพึมพัมออกมาด้วยเสียงเบาๆ
" เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ? " ชายชรากล่าวอย่างจริงจัง
" ตอนนี้มี เผ่าอสูรที่อยู่ในดินแดนสีอสูร และเผ่าทมิฬจากดินแดนใต้พิภพ อาจจะมาที่ทะเลเคียร่า เมื่อพวกเขามาถึงทะเลเคียร่าจะต้องเกิดหายนะขึ้นกับทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นั่นแ่นอน ถ้าพวกท่านไปตอนนี้ ท่านจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเผ่าอสูรและเผ่าทมิฬ . " คิดสักพัก ฉื่อหยานก็ตัดสินใจที่จะบอกพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเผ่าเสียงอสูร และเผ่าปีมากนัก เขาไม่รู้ว่าว่าถ้าทั้งสองเผ่าไปที่ทะเลเคียร่า นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีต่อทะเลเคียร่าหรีอไม่ เขาจึงลองพูดเกี่ยวกับพวกเผ่าอสูรและเผ่าทมิฬออกมาพวกดูทัศนคติของพวกเขา
" เผ่าอสูรและเผ่าทมิฬ . . . . . . . "
เมื่อชายชราได้ยินเกี่ยวกับตัวตนต่างโลกทั้งเผ่าพันธุ์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาด จู่ๆเขาก็พูดขึ้นหลังจากที่คิดสักครู่ " ไม่เป็นไร เราแค่อยากกลับไปแผ่นดินหลักของเรา เราจะไม่อยู่ในทะเลเคียร่านาน และเราก็จะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเขา . "
" เผ่าอสูรและเผ่าทมิฬ… ท่านพ่อ จุดกำเนิดของตัวตนต่างเผ่าพันธุ์สองอยู่ที่ไหนงั้นรึ ? " อีฉู่ปี่ ซอกแซกถาม
" แล้วข้าจะบอกเจ้าที่หลัง" ชายแก่ส่ายหัว ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่ดวงตาสีขี้เถ้าก็ส่องประกายที่ซับซ้อนออกมา อาจเป็นเพราะชื่อเผ่าอสูรและเผ่าทมิฬ ได้ไปกระตุ้นความทรงจำบางอย่างในหัวของเขา เขาดูเหมือนกำลังยิ้มบางๆอยู่ ที่มุมปากของเขา พร้อมกับใบหน้าของเขาที่ดูแปลกประหลาด
ขณะที่ชายชราไม่ได้ถามรุกรานอะไร ฉื่อหยานก็ยืนเงียบๆและแอบปล่อยจิตสำนึกของเขาเพื่อสำรวจข้างนอก พยายามที่จะหาทางหนีจากห้องโถง
อย่างไรก็ตาม หินในห้องนี้ดูจะมีอำนาจบางอย่างที่ป้องกันไม่ให้จิตสำนึกผ่านไปได้ เมื่อจิตสำนึกวิญญานลอยออกไป มันถูกก็ถูกปิดกั้นด้วยม่านพลังที่แข็งแกร่ง
ฉื่อหยานมองไปที่ชายชราอย่างเงียบๆด้วยความกดดัน
หลังจากนั้น อีเฟิงที่จากไปก่อนหน้านี้ก็กลับมา หลังจากนั้นเขาก็หมอบควานเข้ามาด้วยความเคารพและพูดว่า " นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ เราช้าเกินไป นักรบมนุษย์เหล่าถูกจับไปโดย หยาจี่ แล้วขอรับ "
" หยาจี่ " ชายชราค่อยๆขมวดคิ้วของเขาและกล่าวว่า " ข้าคิดว่าคนเหล่านั้นคงจะถึงจุดจบแล้ว หยาจี่..ลูกชายของเขาถูกฆ่าโดยนักรบมนุษย์ที่บังเอิญผ่านเข้ามายังที่แห่งนี้เมื่อสองสามปีที่แล้ว แม้ว่าเขาจะผ่านความทุกข์นั้นมาเนินนาน แต่ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อมนุษย์ก็ยังคงมีอยู่ . และตอนนี้เขาจับมนุษย์ได้เป็นจำนวนมาก มันอาจจะเพียงพอสำหรับเขาที่จะเล่นกับมนุษย์เหล่านั้นไปอีกนาน”
แววตาของฉื่อหยานก็ส่องประกายออกมา
" เจ้าควรจะยินดีนะ เพราะศัตรูของเจ้าถูกจับไปโดยหยาจี่แต่เจ้ากลับได้มาที่นี่ " เขามองไปที่ฉื่อหยานอย่างเย็นชา " อคติของเราที่มีต่อมนุษย์นั้นไม่รุนแรงเท่ากับหยาจี่ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นไร ตราบใดที่เจ้าร่วมมือกับข้าดีๆ ไม่เพียงแต่ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ แต่ข้าจะให้ของบางอย่างแก่เจ้าที่เจ้าไม่สามารถหาได้จากโลกภายนอกอีกด้วย "
" ข้าจะทำให้ดีที่สุด " ฉื่อหยานยิ้ม " ข้ายังไม่อยากตาย ข้าเพียงต้องการที่จะมีชีวิตที่ดี แต่พลังของข้านั้นมีจำกัด ข้าไม่รู้ว่า ข้าจะสามารถช่วยพวกท่านได้จริงๆหรือไม่ "
" ในร่างกายของเจ้า มีพลังไฟที่แข็งแกร่งไหลเวียนอยู่ , เจ้าสามารถใช้พลังไฟนั่นช่วยข้าได้ " ชายชราพลันกล่าวว่า
" ข้าฝึกร่างกายของข้าโดยใช้พลังไฟที่แข็งแกร่ง นั่นทำให้ข้ารับมือกับพลังไฟได้ แต่ข้าเพียงแค่รับมือกับพลังไฟได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถรับมือกับพลังไฟที่แข็งแกร่งที่หนาแน่นได้ "
" อีฉู่ปี่ เจ้ากับเขาไปที่ภูเขาเสียงอสูร ด้วยพลังไฟในร่างของเขา เจ้าจงดูว่าเขาสามารถนำหัวของสัตว์อสูรเสียงมาได้หรือไม่" หลังจากคิดสักพัก ชายชราก็มองลูกสาวของเขา หลังจากที่ออกคำสั่งเขาก็พูด " เมื่อเร็วๆ นี้ คนของ กาบา ได้ยึดครองทุกสิ่งในภูเขาเสียงอสูร สัตว์อสูรเสียงจึงไม่กล้าปรากฏตัวออกมา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะหาพวกมันได้จากที่ไหนอีก "
อีฉู่ปี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ขณะที่ชายชราบ่นพึมพำออกมา จากนั้นนางก็ค่อยๆเดินไปที่ฉื่อหยาน เหลือบมองฉื่อหยานด้วงแววตาที่เย็นชาจากนั้นก็พูดว่า " เจ้าคนนอกคอก ตามข้ามา ถ้าเจ้าช่วยข้านำหัวสัตว์อสูรมาได้ ' , ฉันอาจจะรู้สึกดีขึ้นและปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระก็ได้ . "
ฉื่อหยานขมวดคิ้ว . ตอนนี้เขาถูกจับตามองโดยชายชราอยู่ เขาจึงไม่กระทำการใด และพยักให้อีฉู่ปี่จากนั้นก็เดินตามไป
หลังจากเดินผ่านทางเดินที่ยาวเหยียด ฉื่อหยานก็เห็นท้องฟ้าสดใส
เขาอยู่บนปราสาทหินยักษ์ ที่สูงประมาณห้าร้อยเมตรสูง ในสายตาของเขา ปรากฏโครงสร้างหินที่ดูเก่าแก่สูงสิบเมตรตั้งอยู่ใกล้ๆ ไกลออกไปอีกกว่าห้าร้อยเมตร มีสิ่งก่อสร้างโบราณที่มีขนาดสูงเป็นอย่างมากตั้งอยู่ความสูงของมันไม่อาจจะเห็นยอดได้มันงดงามเป็นอย่างมากมันเหมือนกับภูเขาที่สูงเสียดฟ้าซึ่งมันดึงดูดสายตาของเขาเป็นอย่างมาก
นี่เป็นสิ่งก่อสร้างหินโบราณ
โครงสร้างทั้งหมด มีความสูงต่ำสุดคือ 10 เมตร ซึ่งมันครอบคลุมหลายพันตารางเมตร ที่มีขนากใหญ่ที่สุดก็ก็มีขนาดเท่ากับที่ๆเขายืนอยู่ มันสูงร้อยเมตรและมีพื้นที่คครอบคลุมประมาณหนึ่งหมื่นเมตร มันใหญ่เป็นอย่างมากและมันก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดที่เท่าที่เขาเคยเห็นมา เขาไม่รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีใด
ในเมืองหินโบราณยักษ์ เต็มไปด้วยผู้คนของเผ่าเสียงอสูรพวกเขามีผิวที่ซีดเซียวและเต็มไปด้วยพลังวิญญานหยินและความแข็งแกร่งทางกายภาพก็ดูผิดแปลกเป็ฯอย่างมาก พวกเขาเบาและมีน้ำหนักไม่มากนัก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับปฐพีหรือรู้แจ้ง พวกเขาก็สามารถลอยได้อย่างอิสระไปรอบๆ
เมืองโบราณนี่ทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยหมอกสีเทาขาว ในหมอกนี้มีพลังอัดแน่นอยู่ปริมาณมาก ซึ่งมันอาจจะเป็นม่านพลังป้องกันที่ปกคลุมเมือง
ทั่วท้องฟ้าและพื้นดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติที่หนาแน่น ถึงแม้ว่ากลิ่้นอายธรรมดาชาติที่นี่จะหนาแน่น แต่มันก็ไม่อาจเทียบได้กับเกาะอมตะ อย่างมากมันก็เทียบได้กับเกาะอื่นๆในทะเลเคียร่าเท่านี่น แต่นั่นก็เพียงพอที่จะสามารถให้นักรบใช้ฝึกฝนได้
" ฉื่อหยาน ! " เสียงต่ำดังมาแต่ไกล นั่นก็คือ ฉาวจื่อหลานนั่นเอง .
ฉื่อหยานสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขามองไปยังทิศทางที่เสียงดังมา จากที่ไกลๆ เขาเห็นกรงไม้ใหญ่สูงถึงท้องฟ้าอยู่ พร้อมกับมีสัตว์อสูรอยู่บนยอด
สัตว์อสูรเหล่านี้มีปีกเล็กๆอยู่มันเป็นเหมือนกับชั้นเนื้อที่แข็งแรงเต็มไปด้วยพลังปราณหยิน พวกมันมีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายกับคนจากเผ่าเสียงอสูร
สัตว์อสูรเหล่านี้พวกมันมีขนาด ห้า หรือ หกเมตร ปีกกว้างเหมือนเหยี่ยว ร่างกายของพวกมันมีสีเขียวขุ่นและมีแสงกระพริบออกมา
กรงไม้ถูกดึงขึ้นโดยสัตว์อสูรทั้งหมดที่ลอยอยู่ด้านบนพร้อมกับมีไม้เลื้อยเชื่อมอยู่ที่กรง ไม้เลื้อยเหล่านั้นเป็นเหมือนกับงูที่มีชีวิต , มันปกคลุมกรงไม้พร้อมกับมีแสงสีเขียวกระพริบออกมา ,มันเป็นเหมือนกับโซ่มหัศจรรย์มัดไปรอบๆกรงไม้
ภายในกรงไม้ ฉาวจื่อหลาน ซูหยานซิง กู่หลินหลง พานโจว และนักรบทั้งหมดต่างก็ถูกพันธนาการอยู่ พวกเขาเป็นเหมือนกับทาสที่อยู่ในกรง พวกเขาดูมืดมน และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความทรมานเป็นอย่างมาก ดูเหมือนพวกเขาจะเชื่อฟังโดยไม่กล้าที่จะขัดขืน
มีคนๆหนึ่งขี่สัตว์อสูรอยู่ เขาดูมืดมนและมีใบหน้าที่ซีดเซียว เขาอยู่ในชุดเกราะสีเขียวเข้ม พวกเขากำลังประชุมและพูดคุยกับคนอื่นๆด้วยเสียงเบาๆ
เป็นฉาวจื่อหลาน ที่ตะโกนออกมาหลังจากเห็นหน้าของเขา เขาชายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา ฉื่อหยานมองไปยังทิศทางของนางด้วยตกใจ
ชายคนนั้นขึ้นขี่สัตว์อสูรพร้อมกับดึงกรงไม้ขึ้นไป ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะเปลี่ยนทิศทาง จิตวิญญานสัมพัสพระเจ้าของนางนั้นพิเศษซึ้งมันไม่ได้ถูกปิดกั้นแต่อย่างใด ทันทีเมื่อนางสัมพัสได้ถึงพลังชีวิตในร่างของฉื่อหยาน ขณะที่เขาออกมาจากสิ่งก่อสร้างโบราณ จึงช่วยไม่ได้ที่นางจะตะโกนออกมา
ห่างกันหนึ่งร้อยเมตร , ฉื่อหยาน ขมวดคิ้วมองไปที่ฉาวจื่อหลาน , พานโจว และซูหยานซิง ที่อยู่ในกรงเหมือนกับ ปศุสัตว์ เขารู้สึกสงสารพวกเขาและถอนหายใจออกมา .
แม้ว่าฉาวจื่อหลาน และคนอื่น ๆจะเป็นศัตรูกับเขา แต่พวกเขาก็มาจากสถานที่เดียวกันกับเขา พวกเขาถูกจับเหมือนปศุสัตว์ และอาจจะถูกทรมานจนตายในอีกไม่นาน เขารู้สึกแย่ทันทีเมื่อมองไปที่พวกเขา
" อีฉู่ปี่ เจ้าคือคนที่จับมนุษย์ผู้นี้มางั้นรึ ? " ชายหนุ่มที่เป็นชนเผ่าเสียงอสูรเดินมาข้างหน้าจากนั้นก็ส่งสัญญานให้สัตว์อสูรหยุด ต่อมาเขาก็ค่อยบินมาทางนี้ พร้อมกับมองฉื่อหยานด้วยสายตา่จริงจัง
อีฉู่ปี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและ กล่าวด้วยความสงบ " หยาจี่เจ้านี่เคลื่อนไหวเร็วจริงๆ เจ้าสามารถจับคนนอกได้อย่างรวดเร็ว หึ ถ้าข้าทราบว่าพวกเขามีมากกว่าหนึ่งคน เจ้าก็คงไม่สามารถเก็บเกี่ยวพวกเขามาได้แน่ .
ชายหนุ่มของเผ่าเสียงอสูรยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ " ข้าก็แค่โชคดี ข้าออกไปครู่เดียว ก็เจอกับคนนอกเหล่านี้และสามารถจับพวกเขาได้แล้ว ฮ่าๆ ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาบางคนช่างต่ำเตี้ย และวิญญานของพวกเขาก็อ่อนแอเกินไปหากเทียบกับข้า . "
" อ๊ะ " อีฉู่ปี่รีบพูดว่า " วิญญานของเผ่าเสียงอสูรนั้นนับได้ว่าเป็นพรจากสวรรค์ คนนอกคอกเหล่านั้นก็ไม่สามารถเทียบกับเราได้ ถ้าเจ้าจับพวกเขาได้ เจ้าก็ไปได้แล้ว ใยต้องมาเสียเวลาคุยกับข้ากัน "
" ทำไมข้าต้องมาพูดคุยกับเจ้าให้เสียเวลางั้นรึ ? " หยาจี่ยิ้มออกมา เมื่อเห็นไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากอีฉู่ปี่ เขาก็ชี้ไปที่ฉื่อหยาน และกล่าวว่า " ข้าสนใจคนๆ นั้น อีฉู่ปี่ ข้าจะให้ราคาอย่างดีเพื่อแลกกับเขา เจ้าคิดว่าไง ? "
ขณะที่หยาจี่พูดเขาก็มองไปที่ฉื่อหยานด้วยแววตาแปลกประหลาด
พลังวิญญาณที่น่าอัศจรรย์เป็น เหมือนกับเส้นด้ายบางๆ สำรวจเข้าไปมาหัวของ ฉื่อหยาน และบุกรุกเข้าไปในห้วงจิตสำนึกของฉื่อหยาน และค้นหาตัวตนที่อยู่ในจิตใจของเขา
สีหน้าของฉื่อหยานก็เปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว
เขาใช้พลังของเขาเพื่อต่อต้านพลังนั่น อยู่ๆก็มีอีกหนึ่งกระแสพลังวิญญาณที่เหมือนกับสายลมที่โหมกระหน่ำอย่างรวดเร็วปรากฏขึ้น
พลังวิญญาณของหยาจี่ก็ถูกขจีดออกในชั่วพริบตา หายไปจากหัวของฉื่อหยาน โดยไม่มีร่องรอยใดๆ
" ชายคนนี้เป็นของข้า0 โดยปราศจากความยินยอมของข้า ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาสัมพัสวิญญานของเขาทั้งนั้น " อีฉู่ปี่ พูดเสียงดังชัดเจน และจ้องไปที่หยาจี่อย่างไม่พอใจ " เจ้าสามารถทรมานเหล่าผู้คนที่อยู่ในกรงได้ ตามที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้สัมผัสของๆข้า ! ถ้าเจ้ากล้าทำอีก อย่าหาว่าข้าเสียมารยาทกับเจ้าก็แล้วกัน ! . "
" ข้ามีข้อเสนอ " หยาจี่ยิ้มอย่างประมาท " ข้าจะจ่ายด้วยราคาที่สมเหตุสมผล เจ้าจะส่งเขามาให้ข้าได้หรือไม่ ? "
" เจ้าจับนักรบได้มากมาย แล้วทำไมเจ้ายังต้องการเขาอีกกัน? " อีฉู่ปี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อฟังสิ่งที่เขาพูด " เจ้ามีเยอะแยะอยู่แล้ว ทำไมยังต้องการเขาอีก ? "
" ฮ่าๆ ข้าเห็นประโยชน์ในตัวพวกเขาหนะสิ " หยาจี่คิดสักพัก แล้วกล่าวว่า " อีฉู่ปี่ ถ้าเจ้ามีความสนใจในนักรบมนุษย์ เราสามารถแลกเปลี่ยน พวกนักรบแก่กันได้ ยกเว้นหญิงสาวทั้งสาม ทุกคนที่เหลือสามารถแลกเปลี่ยนกับเจ้าได้ ข้าให้เจ้าถึงสองคนเลย สนใจหรือไม่ ? "
" เจ้าจะเอาเขาไปทำไมกัน ? " อีฉู่ปี่ก็ตกใจนางมองไปที่ฉื่อหยานด้วยความสับสน จากนั้นหยาจี่ก็พูดออกมา " เขานั้นพิเศษ "
" พิเศษ ? "
หยาจี่พยักหน้า . " แล้วตกลงเจ้าจะแลกเปลี่ยนหรือไม่ ? "
" ไม่ ! ! ! ! ! " อีฉู่ปี่สูดลมหายใจเข้าลึก และคิดสักครู่ จากนั้นก็คว้าไหล่ของฉื่อหยาน ทันทีก็ลอยออกไปในขณะที่พูดขึ้นอย่างเย็นชา " ชายคนนี้ยังเป็นประโยชน์อยู่ ข้ายังไม่สามารถมอบให้เจ้าได้ รอจนกว่าข้าจะรู้สึกว่าเขาไร้ประโยชน์เสียก่อน เมื่อนั้นข้าจะขายให้เจ้า "
" อีฉู่ปี่ ระวังด้วย เขานั้นอันตรายเป็นอย่างมาก " หยาจี่เตือนนางจากระยะไกล
" อันตราย? " อีฉู่ปี่กระซิบไปที่ฉื่อหยานและพูดอย่างเหยียดหยัน และพูดต่อว่า " เจ้าต้องเชื่อฟังข้าแต่โดยดี ถ้าไม่ ข้าจะทำให้วิญญาณของเจ้าหายไปในเสี้ยววินาที บางทีเจ้าอาจจะยังไม่รู้ แต่ไม่ยากเลยสำหรับเผ่าเสียงอสูรที่จะทำลายมนุษย์คนหนึ่ง”
" ใช่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าสามารถทำลายวิญญานของมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย " สีหน้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย " ร่างกายเจ้านั่นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ความคิดก็ล้ำลึก ห้วงจิตสำนึกก็สูงส่ง อืม จิตสำนึกของเจ้าแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับนักรบระดับนภา แม้แต่ร่างกายยังแข็งแกร่งเหนื่อกว่านักรบระดับนภาไปอีก เจ้าสามารถใช้จิตสำนึกวิญญานทำลายห้วงจิตสำนึกของข้าได้อย่างง่ายได้ แล้วทำไมเจ้าไม่ทำเสียเลยหละ ? "[TLฉื่อหยานน่าจะพูดประชด]
ที่ฉื่อหยานไม่พูดตั้งแต่แรก ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ได้รู้อะไรเลย
เขานั้นได้แอบสังเกตคนเหล่านี้สักพักแล้ว แล้วเขาก็รู้ด้วยว่าทุกๆคนในเผ่าเสียงอสูรนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ในแง่ของการการบ่มเพาะวิญญาน คนของเผ่าเสียงอสูรนั้นแข็งแกร่งกว่านักรบมนุษย์เป็นอย่างมาก
ความรู้เกี่ยวกับวิญญานของพวกเขาลึกซึ้งกว่ามนุษย์ไปไกล
และมันก็เป็นเพราะโครงสร้างทางกายภาพของพวกเขาที่พิเศษ ร่างของคนเผ่าเสียงอสูรจึงดูซีดเซียวและอ่อนแอเป็นอย่างมาก
ไม่ต้องเปรียบเทียบกับร่างกายของฉื่อหยานเลย , ร่างกายของพวกเขานั้นอ่อนแอกว่านักรบธรรมดาเสียอีก
ไม่เพียงแค่นั้น แต่พลังปราณลึกลับในร่างกายของพวกเขาเองก็ประหลาดเช่นกัน พลังปราณลึกลับของเขาไม่ได้รวมกันอยู่ในตันเถียนหรือที่ใดที่หนึ่ง แต่มันกระจายไปทั่วทั้งร่าง . เส้นประสาทและหลอดเลือดเองก็ยังอ่อนแอและแคบเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกักเก็บพลังปราณลึกลับได้มากมาย อย่างเงียบๆ สักพัก ฉื่อหยานก็ตระหนักได้ว่า ความเข้มของวิญญาณของนางนั้นอยู่ในระดับนภาและร่างกายที่บอบบางของนางเองก็เต็มไปด้วยพลังปราณลึกลับจำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจจะมากกว่าเขาเพราะร่างกายที่อ่อนแอและเส้นเลือดคดแคบของนาง ร่างกายของนางจึงถูกจำกัด หากนางไม่พึ่งพาพรสวรรค์ด้านวิญญาณ นางอาจจะไม่สามารถที่จะเอาชนะได้แม้แต่นักรบระดับปฐพีธรรมดา
ด้วยความแข็งแกร่งของห้วงจิตสำนึก ฉื่อหยาน ก็ค่อยๆเข้าใจมากขึ้น
" เจ้า.. เจ้าสามารถรับรู้และสัมพัสถึงสิ่งต่างๆได้ในเวลาอันสั้นงั้นรึ ? " อีฉู่ปี่ตกใจ นางจ้องไปที่ฉื่อหยานอย่างระวังและกล่าวว่า" ข้าสมควรจะปิดกั้นวิญญานของเจ้ามากกว่านี้สินะ”
" ไม่ต้อง ข้าเป็นคนรู้เท่าถึงการ ข้ารู้ว่าจิตสำนึกวิญญานของเจ้านั้นแข็งแกร่ง ถ้าข้าทำอะไรพลาด เจ้าก็จะสามารถรับรู้ได้ในเวลาสั้นๆ อีกทั้ง เจ้ายังสามารถใช้จิตสำนึกวิญญานฆ่าข้าได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่ข้าจะได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ข้าคงไม่ทำอะไรโง่ๆเด็ดขาด เมื่เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องสิ้นเปลืองพลังและเวลาไปมากกว่านี้หลอก ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำตามทุกอย่างที่เจ้าพูด " ฉื่อหยานรีบพูดขึ้นมา
" เจ้านี่ช่างปากหวานนัก " ของอีฉู่ปี่ ดวงตาคู่สวยจ้องไปที่ฉื่อหยานสักพัก และพยักหน้าอย่างมั่นใจ " เจ้านั้นฉลาดเป็นอย่างมาก ฉลาดกว่าใครหลายคนในเผ่าเสียงอสูรเสียอีก นอกจากนี้ แม้ว่าเจ้ามีระดับการบ่มเพาะที่ระดับปฐพี แต่เจ้ากลับมีห้วงจิตสำนึก นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้ามีพรสวรรค์เพียงใด และเจ้าก็สมควรมีความลับบางอย่างแน่นอน มิฉะนั้น หยาจี่คงไม่สนใจเจ้ามากเช่นนี้ "
สูดหายใจเหือกใหญ่ จากนั้นฉู่ปี่ก็กล่าวว่า " บางที ข้าสมควรจะแทรกแทรงเข้าไปในวิญญานของเจ้าและสำรวจสิ่งที่อยู่ข้างใน เช่นนั้นก็จะสามารถรู้ความลับทุกอย่างที่อยู่ข้างใน ข้านั้นอยากรู้จริงๆมีความลับอะไรกันที่เจ้าปิดบังอยู่ แม้ว่านี่จะทำให้ข้าต้องบาดเจ็บ แต่ข้าก็รู้สึกตื่นเต้นจริงๆที่จะได้รับรู้มัน . "
ฉื่อหยานสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาของเขาก็ส่องประกายเย็นชาออกมา เขาพร้อมที่จะใช้ชีวิตและเพื่อที่จะปกป้องความลับของเขา
" ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นคนฉลาดและเจ้าเล่ห์อย่างมาก อืม... อย่าได้คิดว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรข้าได้ ตอนนี้ ข้ายังไม่อยากจะฆ่าเจ้า แต่ถ้าเจ้ากล้าขัดขืน เจ้าจะได้รับผลตามมาแน่นอน . " ใบหน้าของอีฉู่ปี่ก็กลายเป็นจริงจัง ขณะเดียวกันสีหน้าก็ดูแปลกใจเล็กน้อย " ถ้าเจ้าสามารถช่วยข้าจับสัตว์อสูรเสียงระดับห้า หรือหกได้ ถึงตอนนั้น ข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ แต่ถ้าไม่ ข้าจะกักขังเจ้า และนำเข้าไปแลกเปลี่ยนกับหยาจี่ "
"สัตว์อสูรเสียง ? มันคือสัตว์อสูรงั้นรึ ? "
" สัตว์อสูรเสียงเป็นสัตว์อสูรประเภทหนึ่ง พวกมันอาศัยอยู่ในภูเขาเสียงอสูร พวกมันแปลกประหลาดมาก สัตว์อสูรเสียงเกิดขึ้นจากพลังหยิน พวกมันมีวิญญานทมิฬ พวกมันะมีประโยชน์มากสำหรับเรา ถ้าเราใช้สัตว์อสูรเหล่านี้ช่วยในการบ่มเพาะได้ นั่นจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ภูเขาเสียงอสูรมี "รูปแบบอัศนีโบราณ " อยู่ซึ่งมันเต็มไปด้วยสายฟ้าจำนวนมาก สายฟ้าเหล่านั้นไม่ได้เป็นปัญญาต่อสัตว์อสูรเสียงที่แข็งแกร่งเลย .แต่สำหรับเราชาวเผ่าเสียงอสูรเป็นธรรมชาติของเราที่หวาดกลัวสายฟ้า ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเข้าไปภายในภูเขาเสียงอสูรได้แม้แต่นิดเดียว เราทำได้อยู่ด้านนอกของภูเขาและคอยจับสัตว์อสูรเสียงที่เล็ดรอดออกมาเท่านั้น"
" หากมีข้าไปช่วย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรงั้นรึ ? "
" สัตว์อสูรเสียง ' นั้นชืนชอบพลังหยินและเกลียดพลังหยางร้อน วิญญานของพวกมันพิเศษมาก มันไม่ง่ายสำหรับเราเผ่าเสียงอสูรเลยที่จะใช้ประโยชน์ของวิญญานในการจับพวกมัน เพื่อจับพวกมันแล้ว เราต้องใช้อาวุธที่แข็งแกร่งสู้กับพวกมัน แต่เมื่อสัตว์อสูรเสียงรู้ตัสไม่สามารถชนะพวกรา มันก็จะหนีไปและซ่อนอยู่ภายในภูเขาเสียงอสูร เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจึงไม่สามารถทำอะไรได้อีก สัตว์อสูรเสียงนั้นกลัวพลังไฟและความร้อน . ถ้าใช้พลังไฟของเจ้า , มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจับพวกมัน แน่นอน เราก็ต้องดูด้วยว่าพลังไฟของเจ้านั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอแค่ไหน หากพลังไฟอ่อนแอเกินไป มันก็ไม่สามารถทำอะไรสัตว์อสูรเสียงได้”
" ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าสัตว์อสูรเสียง อืม... ข้อตกลงของเราคืจับสัตว์อสูรเสียงระดับห้าและหก จำนวนสิบตัว ตกลงหรือไม่ ?"
" ถ้าเจ้าช่วยข้าจับสัตว์อสูรเสียงระดับห้าและหก ได้สิบตัว ข้าก็จะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ ถ้าเจ้าสามารถจับได้มากกว่านี้ ข้าก็จะซื้อต่อเจ้า ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล อืม สัตว์อสูรเสียงเหล่านี้เทียบได้กับทรัพสมบัติจำนวนมาก . เจ้าสามารถใช้พวกมันเพื่อแลกกับสิ่งของจำเป็นที่เจ้าต้องการได้ " .
" ข้าสามารถนำไปแลกกับทาสได้หรือไม่ ? "
" อะไรนะ ? "
" ก็ ข้าต้องการที่จะใช้สัตว์อสูรเสียงแลพกับทาสหญิงสาวบางคน”
ฉื่อหยานก็จำได้ว่า ฉาวจื่อหลาน , กู่หลินหลงและซูหยานซิง หญิงสาวทั้งสามคนนั้น ตอนนี้ถูกหยางจี่จับไว้อยู่ .
" หยาบช้า! " อีฉู่ปี่เห็นความปรารถนาในดวงตาของฉื่อหยาน และช่วยไม่ได้ที่จะก่นด่าเขาออกมา " ที่ท่านพ่อพูดสงสัยจะจริง ! มนุษย์นั้นไม่มีคนดีสักคน ! .
" เผ่าเสียงอสูรนั้นมีอคติกับมนุษย์อย่างรุนแรง ข้าคิดถูกหรือไม่ ? "
"พวกมนุษย์สมควรถูกมองเช่นนั้น . ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้า เราก็คงไม่ต้องถูกส่งมายังสถานที่แห่งนี้ หึ ! เพราะพวกเจ้า เราจึงไม่อาจกลับไปยังดินแดนบ้านเกิดของเราได้และยังถูกบังคับให้อยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่เห็นทั้งดวงอาทิตย์ ไม่มีทั้งดวงจันทร์ หรือดวงดาว " อีฉู่ปี่พูดอย่างเย็นชา
" ทำไมพวกเจ้าถึงถูกส่งตัวมาที่นี่ มนุษย์จะทำเช่นนั้นทำไมหากไม่มีเหตุผล ? "
" หุบปาก ! ! ! " อีฉู่ปี่ ตะวาทออกมา . ใบหน้าที่งดงามของนางทันทีก็เปลี่ยนเป็นดุร้าย .
ฉื่อหยานก็ประหลาดใจ แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขากลัวว่าอีฉู่ปี่จะโกรธจนคุมตัวเองไม่ได้และโจมตีเขา
หลังจากออกมาจากเมืองหินยักษ์โบราณ ผ่านข้ามป่าเขียวขจีที่กว้างขวาง หลังจากเดินทางผ่านพื้นที่กว้างใหญ่เป็นเวลานาน ภูเขาสูงนับหมื่นเมตรก็ค่อยๆปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
ภูเขายักษ์นั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากมันสูงเสียดฟ้าระดับเดียวกับเหล่าก้อนเมฆที่ลอยอยู่ ยอดเขาแทงทะลุุขึ้นไปเหนือก้อนเมฆ ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยสายฟ้าฟาดเหมือนกับว่ามีมังกรอัศนียักษ์บินอยู่รอบๆภูเขา ; มันประกายไปด้วยแสงสายฟ้าฟาดทีสาย
บนภูเขายักษ์ มันเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณหุบเหวลึกลึกมืดมิดรอบๆหน้าผาบนภูเขา ในหุบเหวลึกเหล่านั้น มีร่างสัตว์อสูรที่ใหญ่โตอยู่ เสียงคำรามของสัตว์อสูรเสียงดังก้องมาจากภายใน เสียงคำรามของพวกมันเต็มไปด้วยพลังที่น่าหวาดหวั่น
เมื่อได้ยินเสียงคำรามนั่น ห้วงจิตสำนึกของฉื่อหยานก็กลายเป็นสั่นสะท้าน
" สัตว์อสูรเสียงเกิดขึ้นจากการรวมกันของวิญญานที่มืดมิด วิญญานของพวกมันนั้นพิเศษเป็นอย่างมาก เสียงคำรามของมันสามารถทำให้นักรบธรรมดาบาดเจ็บได้ เจ้าได้ยินมัน แต่กลับได้รับผลกระทบไม่มาก นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หึ ! เช่นนั้นข้าก็คงไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก ด้วยพลังของข้า ข้าจะส่งจิตสำนึกวิญญานออกไปช่วยปกป้องห้วงจิตสำนึกของเจ้า . " อีฉู่ปี่ ไม่นานนางก็ลดการระวังต่อฉื่อหยานลง
นางและฉื่อหยานยืนอยู่ด้วยกันบนกิ่งไม้ยาวใหญ่ของต้นไม้โบราณ นางยกหัวของนางมองภูเขาเสียงอสูร มองไปในด้านหน้าของพวกเขาและฉื่อหยานก็กล่าวว่า "สัตว์อสูรอะไรกันที่แข็งแกร่งที่สุดในภูเขาเสียงอสูร ? "
ฉื่อหยานเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า เพราะห้วงจิตสำนึกของเขาสั่นสะท้าน และแม้แต่วิญญานของเขายังปั่นป่วน. มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะรับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของสัตว์อสูรเสียงทั้งหมดที่อยู่ในหุบเขาเสียงอสูร
" สัตว์อสูรเสียงที่แข็งแกร่งที่สุด . . . . . . . " อีฉู่ปี่สั่นศีรษะ " เพราะมีสายฟ้าฟาดตลอดเวลา มันจึงปิดกั้นวิญญานของพวกเราเผ่าเสียงอสูร กังนั้นพวกเราจึงไม่รู้ว่าสัตว์อสูรเสียงตนใดแข็งแกร่งที่สุดในหุบเขาเสียงอสูร . . . . . . เผ่าปีกนั้นเคยบุกลุกมาที่ภูเขาเสียงอสูร แต่ข้าก็ได้ยินมาว่า พวกเขาไม่มีใครคนใดเลยที่รอดกลับมา "
" นอกจากพวกเจ้าแล้วเผ่าปีกยังเคยมาที่นี่ด้วยงั้นรึ ? "
" ใช่ เผ่าปีกนั้นอยู่ด้านหลังภูเขาเสียงอสูร พวกเขาจึงแต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้าของที่แท้จริงของดินแดนแห่งนี้ พวกเขาต้องการที่จะยึดครองเผ่าเสียงอสูร ในปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งและอำนาจของเผ่าปีกนั้นเหนือกว่าเรามาก ถ้าเผ่าปีกมาบุกรุกเราจริงๆหละก็ เราอาจจะต้องกลายเป็นทาสของพวกเขา . " อีฉู่ปี่ พูดพร้อมกับก้มหน้ากังวล
"เผ่าปีก ! " ฉื่อหยานคิดสักครู่ " เจ้าบอกว่าวิญญานของพวกเจ้าคือพรจากสวรรค์ และเจ้าสามารถทำลายวิญญานของพวกเราได้อย่างง่ายดาย แต่ทำไมพวกเจ้าถึงต่อสู้กับเผ่าปีกไม่ได้กัน ? "
"เผ่าปีกนั้นอันตรายกว่าเผ่ามนุษย์เป็นอย่างมาก ไม่มีมนุษย์คนไหนมีร่างกายเทียบได้เท่ากับพวกเขา ถึงแม้ว่าเผ่าปีกจะไม่ได้มีวิญญานแข็งแกร่งเท่ากับพวกข้าหรือเผ่ามนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังมีหลายวิธีที่จะปกป้องวิญญานของพวกเขาไม่ให้ถูกโจมตีได้ มนุษย์ไม่สามารถเปรียบเทียบกับพวกเขาเลย . " อีฉู่ปี่อย่างเย็นชา
" ฮือออออ.ฮืออออ "
เสียงแปลกๆที่เหมือนกับเสียงของเด็กร้องไห้ก็ดังออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขาเสียงอสูร
ขณะที่ เสียงแปลกๆดังขึ้น ก็มีพลังหยินสีเท่าพุ่งออกไปถ้ำนั้น เป็นวิญญานที่แข็งแกร่งและรวดเร็วพุ่งออกมา จากนั้นมันก็กระจายกันออกไปเป็นพื้นที่ขนาดเล็กในพริบตา
กลุ่มก้อนรูปร่างที่กระจายออกมานั้นลอยอยู่รอบๆกลิ่นอายพลังหยินที่อยู่ตรงกลาง จากนั้นมันก็หลอมรวมเข้ากับกลื่นอายพลังหยิน พวกมันตกลงไปที่ภูเขาเสียงอสูร จากนั้นก็พุ่งไปทางทะเลสาปน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไป
" อสูรทารก ! "
ใบหน้าของอีฉู่ปี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ร่างบอบบางของนางสั่นเล็กน้อยขณะที่นางจ้องมองสถานที่ที่วิญญาณสีเทารวมตัวกัน นางพูดขึ้นด้วยความกลัว " เจ้าสิ่งนี้ไม่สมควรปรากฏในเวลานี้สิ ผนึกที่ปิดกั้นพวกมันไว้อ่อนแอลงงั้นรึ? ไม่มีทาง , ไม่มีทางแน่ๆ ! ไม่... ตอนนี้เราต้องหยุดแผนการของเราก่อน " .
หันหัวนางทันทีก็หันมา อีฉู่ปี่ใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่ฉื่อหยานจากนั้นก็ ตะโกนเสียงดังว่า " ตอนนี้เราหนีกันเถอะ ! ลืมมันเรื่องก่อนหน้านี้เสีย ข้าต้องไปบอกคนในเผ่าของข้าเกี่ยวกับอสูรทารก ! "
" เจ้าแน่ใจนะว่าเราจะหนีได้... " ฉื่อหยานหลี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในขณะที่เขาชี้ไปข้างหน้า " ดูเหมือนเจ้าสิ่งนั้นจะเจอเราแล้ว แล้วดูเหมือนว่ามันกำลังเปลี่ยนทิศทางมาที่เราใช่หรือไม่ ? "
" อะไรนะ ! ? " นางตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าขาวของอีฉู่ปี่กลายเป็นซีดเซียว
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1394 แล้วนะคะ มี 30 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ