ตอนที่ 12 ค้นหากระบี่
หลังจากที่พูดคุยกับบิดาชั่วครู่ ลี่หลินก็ขอตัวออกมา เธอคิดว่าคงถึงเวลาที่เธอต้องไปตามหากระบี่ซะที วรยุทธเธอก็พอให้เอาตัวรอดได้แล้ว
อืม รีบหาให้พบเจ้าปีศาจร้ายนั่นจะได้จากไปไวๆสักที!
ส่วนที่ว่าหลังจากที่ได้กระบี่นั้นมาแล้วจะทำอย่างไรกับมันนั้น เธอเองก็ยังไม่ได้คิด จะเก็บเอาไว้กับตัวก็ดีเพราะเป็นถึงกระบี่เทพ อนุภาพของมันจะต้องยอดเยี่ยมแน่ๆ แต่ถ้าเจ้าปีศาจบังคับขู่เข็ญจะเอาไป เธอก็ให้ได้แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว เธอเองก็ไม่ได้สนพวกอาวุธอะไรพวกนี้มากมาย เพราะเธอต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่สนใจพวกเรื่องตีรันฟันแทงอยู่แล้ว ได้กระบี่มาหรือไม่ได้ก็แล้วแต่โชคชะตา
ส่วนที่ว่าทำไมเธอไม่ไปบอกเรื่องที่อยู่กระบี่กับเจ้าปีศาจเลยล่ะ ก็แล้วทำไมเธอต้องบอก ถึงบอกไปเขาก็สงสัว่าเธอทำไมถึงรู้รายละเอียดขนาดนั้น อีกอย่างการที่เธอเป็นฝ่ายหาพบก่อนเขา ก็ถือว่าเป็นการตบหน้าเขา ถือว่าเป็นการแก้แค้นเล็กๆน้อยๆของเธอแล้วกัน
พอตกกลางคืนลี่หลินใสชุดรัดกุมสีดำ รวบผมขึ้นสูง พร้อมออกปฏิบัติการตามล่าหากระบี่เทพ ซึ่งสำหรับเธอมันง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก เพราะเธอรู้ที่ซ่อนของมัน และรู้ด้วยว่าจะเอามันมาได้อย่างไร เพราะในนิยายบอกมาแบบนั้น ถ้าเนื้อเรื่องยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปนะ
หลังจากออกจากห้องลี่หลินแฝงตัวไปในความมืดมุ่งหน้าสู่ใจป่ากลางหุบเขาโดยหารู้ไม่ว่า มีคนสังเกตุเห็นนางแล้ว ก่อนที่เขาจะบอกให้อีกคนไปรายงานนายท่าน ส่วนเขาเองรีบตามหลังหญิงสาวไปไม่ให้คลาดสายตา
ในเรือนพักของหรงจวิ้นหลาน ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเอนหลังหลับตาพักผ่อนบนตั่งเตี้ย พร้อมรับฟังคำรายงานจากลูกน้อง
“หืม นางออกไปคนเดียวงั้นหรือ? น่าสนใจดีนี่”หรงจวิ้นหลานลืมตาพร้อมอมยิ้มนิดๆ
“สงสัยข้าต้องตามไปดูสักหน่อยแล้วว่านางไปทำอะไรกันแน่”
ใจกลางหุบเขาจิงลั่ว อืม จากที่เธออ่านมามันน่าจะอยู่ตรงใจกลางป่าแห่งนี้นะ ตอนนี้ลี่หลินเดินทางมาถึงป่ารกทึบตรงใจกลางของหุบเขา แถวนี้มืดมิดแต่ยังพอมีแสงจันทร์ลอดผ่านตามช่องใบไม้บ้างประปราย เธอหลีกเร้นกับดักต่างๆที่บิดาให้คนทำไว้เพื่อป้องกันสัตว์ป่าและคนร้ายที่มารุกราน ถึงจะดูทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่เธอก็ผ่านมาได้
แต่มีบางอย่างที่ทำให้ลี่หลินรู้สึกแปลกใจ สายตาของเธอดีมาก สามารถมองเห็นในที่มืดได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งแรกๆเธอไม่ได้สังเกต นึกว่าเป็นเพราะแสงจันทร์ แต่พอมองดูดีๆกลับไม่ใช่ แสงจันทร์เพียงริบหรี่ไม่สามารถทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขนาดนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจนานนัก เพราะตอนนี้เธอต้องรีบหากระบี่จันทราให้พบ จะได้รีบกลับไปนอนสักที
ลี่หลินสังเกตรอบด้านหากลไกที่จะเปิดทางเพื่อไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ เธอคลำหาบริเวณแถวนั้นด้วยความระมัดระวังถึงเธอจะไม่ค่อยกลัวอะไรมากมาย แต่พวกสัตว์มีพิษนี่ต้องระวังสักหน่อย โดยเฉพาะพวกงูนั้นเธอกลัวเป็นที่สุด
“อืม จำได้ว่าอยู่ตรงนี้นี่ อ๊ะ! เจอแล้ว!”
ในที่สุดเธอก็พบก้อนหินสีขาวเป็นประกายก้อนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า ลี่หลินโล่งใจ ยังดีที่ข้อมูลยังเหมือนในนิยายเหมือนเดิม เธอจับก้อนหินก้อนนั้นแน่นพร้อมขยับเป็นรูปวงกลม รอสักครู่ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแผ่วเบาดังมาจากพุ่มไม้ข้างหน้า พื้นดินแยกตัวออกจากกันก่อนจะหยุดชะงักลง เผยให้เห็นบันไดหินเล็กๆสายหนึ่งทอดตัวยาวลงไปในทางแยกที่แคบๆ ที่สามารถเดินเข้าไปได้แค่ครั้งล่ะหนึ่งคน ลี่หลินสูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความกล้าก่อนจะเดินมุดเข้าไปในทางแยกตรงหน้า
หลังจากลี่หลินมุดเข้าไปแล้ว ข้างนอกนั้นมีเงาร่างคนเดินออกมาจากหลังต้นไม้จำนวนสามคน พร้อมมองไปทางแยกนั้นด้วยสายตาครุ่นคิดไปคนล่ะแบบ
“พวกเราเดินสำรวจที่แห่งนี้เป็นสิบๆรอบ ไม่คิดเลยว่าจะมีกลไกอยู่ตรงนี้”ซือเย่ หนึ่งในองครักษ์คนสนิทของหรงจวิ้นหลานเอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ
“นั่นสิ แล้วที่น่าแปลกคือนางรู้ได้อย่างไรว่าตรงนี้มีทางลับอยู่”ซือยี่ น้องชายของซือเย่ ที่เป็นหนึ่งในองครักษ์ของหรงจวิ้นหลานเหมือนกันเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
หรงจวิ้นหลานมองไปทางแยกนั้นด้วยสายตาประหลาดที่เดาความหมายไม่ออก ก่อนจะหันไปบอกลูกน้องทั้งสองด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม
“พวกเจ้าทั้งสองรอข้าอยู่ข้างนอก ดูต้นทางไว้ อย่าให้ใครเข้ามา ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อยว่าสาวน้อยของข้ากำลังจะทำอะไร”
ซือเย่กับซือยี่มองหน้ากันก่อนจะโค้งคำนับรับคำอย่างน้อบน้อม
“ขอรับ!”