คาถาที่ 31 : รูรั่วจากนรก
เสียงหวีดร้องโหยหวนดังลั่นไปทั่วป่า
เงาดำมืดนับสิบดวงค่อย ๆ โผล่พ้นออกมาจากหลุมลึกของบ่อของเหลวสีดำเป็นระยะ ภาพที่ปรากฏให้เห็นในสายตาสร้างความตกตะลึงให้แก่เหล่ายมทูตเป็นอย่างมาก แต่ละคนต่างเรียกเคียวยมทูตของตัวเองออกมา เพื่อเตรียมพร้อมจัดการกับดวงวิญญาณนับสิบที่ลอยวนเวียนอยู่ตรงนั้น พวกมันพร้อมที่จะทั้งหนีและจู่โจมพวกเขา
ไวกว่าที่พวกมันจะทันหนีออกไปได้ ท่านพญายมราชก็กางบาเรียโปร่งแสงสีแดงขนาดใหญ่ล้อมรอบเป็นวงที่มีรัศมีครอบคลุมดวงวิญญาณเหล่านั้นทั้งหมด สร้างมาครั้งนี้ ไม่ได้สร้างมาเพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งภายนอก แต่เป็นการขังพวกวิญญาณเหล่านั้นให้อยู่ในบาเรียพร้อมกับเหล่ายมทูต เพื่อที่จะจัดการกับพวกมันต่างหาก
“ฟองระวัง !” คีย์บอร์ดตะโกนเรียกฟองนม พลางใช้เคียวของตัวเองตวัดไปยังดวงวิญญาณที่เข้ามาจู่โจมเธอทางด้านหลังอย่างรวดเร็วหลังจากสังเกตเห็น ร่างของวิญญาณดวงนั้นถูกฟันจนร่างแหลกสลายไปในพริบตา
“ท่านพญายมราช ทำไรสักอย่างสิครับ พวกมันออกมาไม่หยุดเลย !” เสียงของยมทูตคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาขณะที่ใช้เคียวทำลายวิญญาณไปอย่างหงุดหงิด
“ปล่อยไว้แบบนี้ ยังไงก็ไม่จบ เอาไงดีครับ !” อีกหนึ่งเสียงก็ร้องตะโกนดังขึ้นตามมา เมื่อพบว่าต่อให้เขาทำลายไปเป็นสิบดวง แต่มันก็ออกมาเป็นทวีคูณจากบ่อตรงนั้นอยู่เรื่อย ๆ จนดูไม่จบไม่สิ้นสักที
“ข้าก็พยายามอุดรูรั่วนี่อยู่ไง ! ใจเย็น ๆ สิ” เป็นเสียงของท่านพญายมราชที่ตอบกลับมาบ้าง
เจ้าตัวเดินเข้าไปใกล้บ่อของเหลวสีดำมากขึ้นกว่าเดิมก่อนกางมือออก พลังงานสีแดงถูกแผ่ออกมาจากมือทั้งสองข้างจนคล้ายกับเป็นแผ่นพลังขนาดใหญ่ปิดทับลงไปกับพื้นที่บริเวณตรงนั้น เกิดแรงต้านระหว่างสิ่งที่อยู่ในบ่อกับพลังของพญายมราช จนในที่สุด ของเหลวสีดำก็ค่อย ๆ สงบลง ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรออกมาอีก ก่อนของเหลวนั้นจะเริ่มแห้งเหือดจนกลายเป็นกองขี้เถ้าขนาดใหญ่และเศษของมันปลิวไปตามสายลม
เฟี้ยว !
ตู้ม !
ร่างของวิญญาณดวงสุดท้ายถูกเคียวของคีย์บอร์ดฟันจนขาดสะบั้น ยมทูตแต่ละคนต่างทรุดตัวลงอย่างหมดแรง นับตั้งแต่เกิดสงครามที่นรกเมื่อสี่ห้าเดือนที่แล้ว นี่ก็นับเป็นอีกครั้ง ที่เหล่ายมทูตต้องใช้พลังในการจัดการกับดวงวิญญาณไปมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางจับกลับไปในนรกได้ทั้งหมด มีวิธีเดียวคือต้องทำลายทิ้งเหมือนที่พวกเขาทำ
“พวกแม่มดตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ มันหาทางเชื่อมนรกกับโลกมนุษย์ทำไม แค่นี้ก็วุ่นวายจะแย่อยู่แล้ว โลกของคนเป็นดันอยากจะมายุ่งกับโลกของคนตาย” สิงหเดชหันไปคุยกับศรีสอางค์ ที่นั่งลงอย่างหมดแรงอยู่ข้าง ๆ
“นั่นซิ ท่านพญายมราช เรามีกฎว่าไม่ยุ่งเรื่องของคนเป็น แต่พวกนั้นชักจะเริ่มล้ำเส้นไปกันใหญ่แล้วนะคะ” ศรีสอางค์พูดคุยกับสิงหเดชอยู่สักพัก ก่อนหันไปคุยกับท่านพญายมราชเป็นเชิงถามความเห็นต่อ
“ผมเคยได้ยินไอ้แมทบอกว่า พวกแม่มดตั้งใจจะทำให้โลกนี้กลายเป็นนรก แล้วทำให้พวกของตัวเองกลายเป็นผู้ปกครองทั้งสองส่วน มันจะเป็นไปได้เหรอครับ พวกปีศาจซาตานอะไรพวกนั้นมันออกมาจากไหนกัน็นไ็นHoffgrgr” คีย์บอร์ดหันเข้าไปร่วมวงคุยด้วยอีกคน
“ฉันเองก็ไม่รู้ เรื่องมันชักจะใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่ท่านพญายมราชคนก่อนเคยเล่าให้ฉันฟัง สิ่งที่อยู่ในนรกมันก็ไม่ได้มีแค่พวกเรากับวิญญาณหรอก มันยังมีบางพื้นที่ที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน และมันมีความชั่วร้ายอะไรแบบนั้นถูกขังอยู่ สิ่งเหล่านั้นอาจดำรงอยู่มาก่อนพวกเราด้วยซ้ำ แต่เท่าอายุขัยของฉันก็ยังไม่เคยพบเจอสิ่งพวกนั้นสักที”
“หมายความว่าไงครับ ที่ผมเคยลงไปในนรก มันไม่ได้มีแค่ตึกนรกกับผืนป่ากว้าง ๆ งั้นเหรอ” คีย์บอร์ดถามต่อด้วยความสงสัย
“นั่นแค่ส่วนหนึ่งคีย์ เราไม่มีทางเห็นภาพรวมทั้งหมดได้หรอก ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับจักรวาล มันก็คงเหมือนนายยังหากาแล็กซี่ที่มีอยู่ไม่พบ แม้กระทั่งฉันเองก็ไม่รู้หรอก ว่าสิ่งที่เราดำรงอยู่มันคืออะไรกันแน่ สำหรับบางคำถาม ต่อให้นายคิดจนหมดอายุขัยก็ไม่มีวันรู้คำตอบหรอก”
“แล้วเรื่องของไอ้ชา ผมควรต้องทำไงดีครับ”
“บอกตามตรงว่าฉันช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อถึงเวลาพวกนายคงพบกับคำตอบเอง ฉันเองก็พูดได้แค่นี้” ท่านพญายมราชตอบกลับมาอย่างปลง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองไปรอบตัวแล้วพูดขึ้น
“ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับวันนี้ ที่เสียสละเวลาชีวิตของตัวเองมาช่วยกันทำงาน พวกฉันขอตัวไปเคลียร์งานในนรกต่อก่อน พวกนายก็กลับไปทำหน้าที่มนุษย์ของตัวเองได้แล้ว”
พอท่านพญายมราชพูดจบ สิงหเดชกับศรีสอางค์ก็เดินมาข้าง ๆ ก่อนจะเกิดวงลำแสงสีแดงขนาดใหญ่ด้านล่างเท้าของทั้งสามคน ไม่นานร่างทั้งสามร่างก็หายตัวไป
ยมทูตหลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องมันคงจบแค่นี้ ...
แต่หารู้ไม่ว่า มันมีสิ่งหนึ่งที่หลุดรอดออกไปได้ ... หลุดออกไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึง และมันไม่ได้เป็นเพียงแค่วิญญาณ
ท่ามกลางความมืดยามราตรี ด้านบนของคอนโดตึกสูง ยังคงมีร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น มือเรียวยาวของเจ้าของร่างยกขึ้นมาให้อยู่ในระดับเดียวกันกับใบหน้า บนมืออันนั้นมีงูสีดำตัวขนาดเท่าแขนกำลังเลื้อยขึ้นมาพันแขนของเจ้าตัวไว้อยู่ งูดำตัวนั้นแผ่แม่เบี้ยมองตาคนที่ถือมันไว้ ดวงตาของมันสีแดงฉานเหมือนเลือด ลิ้นสองแฉกตวัดไปมาอย่างน่ากลัว ราวกับกำลังสื่อสารกับคนที่ถือมันอยู่
“คนนั้นน่าจะเหมาะที่สุดค่ะท่าน ข้าสัญญาว่าหลังจากนี้ ข้าจะปลุกท่านออกมาจากนรกจนครบทุกคน” เสียงของแม่มดดำเอ่ยขึ้นพลางเหลือบตามองตามไปยังร่างที่เพิ่งเดินออกมาจากคอนโดกลางใจเมือง ตรงมายังลานจอดรถและขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเพื่อขับออกไป
“อย่างงั้นเหรอคะ”
“ได้ค่ะ”
แม้ไม่มีเสียงตอบอะไรใด ๆ กลับมา คล้ายกับพูดอยู่คนเดียว แต่ดูราวกับว่าแค่มองตางูสีดำตัวนั้น แม่มดดำกลับเข้าใจทุกสิ่งอย่าง ทันทีที่เธอพูดจบ งูตัวนั้นก็ค่อย ๆ เลื้อยลงมาจากแขนของเธอ ลำตัวยาวเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแต่กลับดูทรงพลังอย่างแปลกประหลาด สายตาของแม่มดดำยืนยิ้มมองสิ่งมีชีวิตนั้นจนลับหายไปกับความมืด
พวกมันจะต้องแตกคอกัน ...
อีกไม่นานหรอก ...
พิธีที่จะเกิดขึ้นในวันจันทรุปราคาต้องเสร็จสมบูรณ์ ... มันจะต้องไม่มีใครมาขัดขวาง ...
อิฐเพิ่งขับมอเตอร์ไซค์ออกจากคอนโดแมทธิวได้ไม่นาน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมเติมน้ำมัน สายตาเหลือบไปมองเข็มที่โชว์ระดับน้ำมันแล้วก็รู้สึกใจหาย อย่ามาดับกลางทางนะ แถวนี้ยิ่งไม่มีปั้มอยู่ด้วย เขาต้องขับไปไกล้มหาวิทยาลัยมากกว่านี้ถึงจะเจอ แม้ว่าระยะทางจากคอนโดแมทธิวและมหาวิทยาลัยจะใช้เวลาขับประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้น แต่ด้วยระดับน้ำมันที่เหลือในโซนสีแดงตอนนี้ เขาก็ได้แต่ภาวนา ว่าลูกรักของเขาจะไม่หมดแรงไปเสียก่อน ลืมไปว่าหลัง ๆ มานี่เขาใช้รถตัวเองบ่อยจนชินไปเสียแล้ว เพราะเมื่อก่อนมักจะติดรถของคีย์บอร์ดหรือไม่ก็ชาบูไปไหนมาไหนตลอด เลยไม่ค่อยได้เติมน้ำมันเท่าไร
“เฮ้ย อย่านะ ลูกพ่อ อย่าเพิ่งดับนะเฮ้ย !”
“โอ๊ย ! ให้มันได้แบบนี้ซิวะ” อิฐร้องโวยวายออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อในที่สุดรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเขาก็ดับลงกลางทางระหว่างไปถึงมหาวิทยาลัย นี่ขนาดเขาเลือกไม่มาทางถนนใหญ่ เลือกมาทางลัดเพื่อจะทำให้ถึงเร็วกว่าเดิมแล้วนะ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ซวยหนักกว่าเดิมอีกต่างหาก เพราะทางเส้นนี้รถก็ไม่ค่อยมีผ่าน มีแต่ป่าหญ้าสองฝั่งทาง บ้านคนก็ไม่มี
อิฐถอดหมวกกันน็อคออกก่อนวางไว้บนเบาะรถด้านหลัง ถอนหายใจออกมาแบบเซ็ง ๆ เห็นทีต้องโทรหาชาบูให้มารับอีกแล้ว คีย์บอร์ดก็ไม่อยู่ด้วยตอนนี้ ว่าแล้วเจ้าตัวก็หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา ก่อนต่อสายถึงเพื่อนสนิทตัวเอง หลังจากรอไม่นาน ปลายสายก็มีเสียงตอบกลับมา
“ฮัลโหล ไอ้ชา” อิฐพูดออกไป
“ว่าไงมึง” ชาบูตอบกลับมา รู้สึกงงเหมือนกันว่ามีอะไร ทั้ง ๆ ที่คนที่โทรหาเพิ่งจะออกมาได้แป๊บเดียวเอง ก็โทรหาซะแล้ว
“มารับกูหน่อย น้ำมันหมดกลางทางว่ะ” อิฐพูดต่อ
“กำ ฮ่าฮ่า อยู่ตรงไหนเนี่ย” ชาบูถามต่อขำ ๆ
“เดี๋ยวกูแชร์โลให้ โทษทีว่ะ ต้องให้มึงขับรถออกมาอีก” อิฐพูด เขาเองก็ไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนวุ่นวายเพราะตัวเองเหมือนกัน แต่นี่มันสุดวิสัยจริง ๆ
“ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวกูขับออกไปรับ รอแป๊บ” ปลายสายตอบกลับมาแบบไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยซ้ำจนคนฟังยังรู้สึกได้
“ทำไมเสียงมึงดูร่าเริงขนาดนั้นวะ”
“กูอารมณ์ดี เพิ่งได้เช็ดตัวให้ไหม”
“จริงดิ ? มึงฝันไปเปล่า”
“ฝันเชี้ยไรล่ะ ฮ่าฮ่า แค่นี้ก่อน เดี๋ยวกูออกไป” พูดจบปลายสายก็วางสายลงทิ้งให้อิฐนึกขำ ไม่อยากจะเชื่อว่าความรักจะเปลี่ยนชาบูที่เมื่อก่อนเคยเป็นเสือผู้หญิงตัวพ่อให้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ คงจะมีแต่เขาละมั้งที่โชคร้ายเรื่องความรักซะเหลือเกิน
อิฐนั่งลงบนเบาะรถของตัวเอง เขานั่งเล่นมือถือ ส่องไอจีสาว ๆ ระหว่างรอชาบูออกมารับ แต่พอเล่นไปสักพัก เขาก็รู้สึกถึงบรรยากาศมันแปลก ๆ ไป จริง ๆ เขาก็ไม่ได้เป็นคนขวัญอ่อนอะไรง่ายดายขนาดนั้นหรอก เพราะทุกวันนี้แต่ละเรื่องที่มันเกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทของเขาทั้งคีย์บอร์ดและชาบู ทำให้เขาแทบจะเคยชินกับอะไรที่มันเหนือธรรมชาติไปแล้ว แต่ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนมีคนมองเขาอยู่ จนต้องเงยหน้าจากจอมือถือมองไปรอบ ๆ ตัว มันก็ไม่มีอะไรนี่นา นอกจากป่าสองข้างทางกับเสาไฟที่มีไฟกะพริบ ติด ๆ ดับ ๆ อยู่
แต่แล้วอิฐก็ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาเหลือบไปเจองูสีดำตัวขนาดใหญ่กว่าท่อนแขน ลำตัวยาวจนเขาประมาณไม่ถูก มันกำลังเลื้อยมาทางเขา ดวงตาของมันสีแดงเหมือนเลือด มันเลื้อยมาใกล้เขาเรื่อย ๆ ก่อนจะชูคอแผ่แม่เบี้ย
‘เจองูต้องอยู่เฉย ๆ ถูกไหม อยู่นิ่ง ๆ ใจเย็นนะไอ้อิฐ !’
เจ้าตัวคิดในใจเหงื่อไหลย้อยออกมาจากหน้าผาก งูตัวนั้นยังคงเลื้อยเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ อิฐนิ่งจนแทบกลั้นหายใจ แต่งูตัวนั้นก็ไม่ได้หยุด มันเลื้อยขึ้นมาพันตัวเขา จนเจ้าตัวต้องกลืนน้ำลายอีกอึกใหญ่ ส่วนหัวของงูเลื้อยขึ้นมาจนถึงลำคอของอิฐ ดวงตาสีแดงของมันจ้องมายังดวงตาของอิฐจนเขาไม่กล้ากระพริบตา สิ้นสองแฉกของมันสะบัดไปมา ก่อนมันจะอ้าปากกว้างโชว์คมเขี้ยว อิฐถึงกับตาโต
‘ไหนใครว่าอยู่นิ่ง ๆ แล้วงูมันจะเลื้อยหนีไปไงวะ นี่นอกจากจะไม่เลื้อยหนียังเข้ามันพันแทบจะฉกอีก’
ในที่สุดอิฐก็ตัดสินใจขยับตัว แต่ดูเหมือนจะไม่ทันคมเคี้ยวของมัน มันฉกไปที่ลำคอของอิฐอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย !” อิฐร้องออกมา เอามือกุมไปที่ลำคอของตัวเอง พลางสะบัดตัวไปมาอย่างตกใจ ตอนนี้นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไง งูมีพิษ ต้องหาผ้ามาพันเหรอ พันคอตัวเองงั้นเหรอ บ้าไปแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร แสงไฟจากรถยนต์คันหนึ่งก็มาจอดลงแถวนั้นพอดีก่อนจะมีใครบางคนเดินออกมาจากตัวรถ
“งู ๆ ! ช่วยด้วยครับ ! มันรัดตัวผม” อิฐหลับหูหลับตาร้องออกไป
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณคะ ตั้งสติก่อนค่ะ ลืมตาด้วย” เสียงหวานดังขึ้นจนทำให้อิฐค่อย ๆ ลืมตามมองภาพตรงหน้า
... นี่มันคนหรือนางฟ้า แต่เดี๋ยวก่อน เขาเพิ่งถูกงูกัดนะ
“ผมโดนงูกัด !” อิฐร้องก่อนเอามือกุมที่ลำคอของตัวเอง หญิงสาวที่ได้ยินทำหน้าไม่ค่อยเชื่อพลางมองอิฐแบบระมัดระวัง เธอไม่น่าลงจากรถมาเพราะเห็นคนคนนี้ทำท่าทีแปลก ๆ เลย งูบ้าอะไรขึ้นไปฉกได้ถึงลำคอ คนตรงหน้าเธอสูงเกือบจะสองเมตรด้วยซ้ำ
“นี่อย่าบอกนะว่านายเป็นพวกโจร อย่าเข้ามานะ” หญิงสาวพูดพลางถอยห่าง พร้อมชูเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมา
“เฮ้ย เปล่านะครับไม่ใช่แบบนั้น” อิฐพูดพลางขยับเข้าไปใกล้หญิงสาว
“อย่าเข้ามานะ”
ดูเหมือนคนที่เข้ามาหาจะยิ่งไม่เชื่อเขา ยิ่งเขาเข้าใกล้ร่างตรงหน้าก็ยิ่งถอยห่าง
“เฮ้ย ไม่ใช่คุณ รถผมน้ำมันหมด ผมรอเพื่อนอยู่ โอ๊ย !” อิฐพูดยังไม่ทันจบประโยค เครื่องช็อตไฟฟ้าก็จี้มาที่กลางอกเขาอย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวทรุดตัวลงไป ไม่รอช้า หญิงสาวคนนั้นรีบวิ่งหนีไปขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
นี่มันบ้าอะไรวะ หน้าตาก็ดี ใจร้ายชะมัด
นอกจะโดนงูกัดแล้ว ยังมาโดนช็อตไฟฟ้าอีก
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้างูกัดจริงปล่อยไว้นานขนาดนี้พิษมันควรทำให้เขาอาการแย่กว่านี้ซิ แต่นี่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย หรือว่าเขาตาฝาดไปเอง มันไม่ได้มีงูอะไรนั่นจริง ๆ สักหน่อย อิฐเอามือคลำ ๆ ที่ลำคอตัวเองก็ไม่รู้สึกอะไร ลองคิด ๆ ดูอีกทีงูตัวนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไร สงสัยเขาคงจะตาฝาดไปเองจริง ๆ นั่นแหละ
... สิ่งหนึ่งที่อิฐไม่รู้คือลำคอของเจ้าตัวเกิดปานแดงเป็นจุดสองจุดเหมือนถูกงูกัด ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยมีปานแดงที่ลำคอมาก่อน