บทที่ 9 - มาตรฐานความงามฉบับฮองเฮา
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่น”
ลี่กุนจวิ้นเฉินในชุดสีเหลืองทองแทบจะลุกขึ้นยืนจากโต๊ะทรงงาน หลังจากได้ยินความคิดบ้าบิ่นดังออกมาจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ฮองเฮาผู้มีความพิสดารแตกต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไป
ทางฝั่งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับไม่สะทกสะท้าน นางยังคงสนุกสนานอยู่กับภาพวาดของตนเองพร้อมกับพูดเรื่อยเปื่อยต่อไป
“ท่านอย่าบอกข้าว่าท่านไม่เบื่อกรงทองอันเก่าแก่แห่งนี้ ราชวงศ์นี้มีมานานกี่ร้อยปีแล้ว พบเจอแต่ภาพเดิม ๆ ทุกวัน จะให้พูดว่าพอใจแล้วก็พูดได้มิเต็มปาก ในเมื่อพวกเรานั้นถูกขังอยู่ในรั้วแห่งนี้แล้ว เหตุใดยังจะต้องตีกรอบให้ตนเองอยู่แต่กับสภาพเดิม ๆ ตลอดไปด้วยเล่า”
“ถ้าแค่ข้ากับเจ้า ไม่มีปัญหาใดหรอก แต่สิ่งที่เจ้าคิดมันไม่ได้เป็นแค่เรื่องเราสองคน...”
“ก็แค่ทั้งวังหลัง”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบพร้อมรอยยิ้ม ส่วนมือก็สะบัดพู่กันจนสีน้ำสาดกระจายไปทั่วผืนผ้าใบ เพิ่มให้ภาพท้องฟ้าดูงดงามราวกับมีดวงดาวประกายระยิบระยับ
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าไทเฮาจะมาร่วมงานนี้กับเจ้าด้วยนะ”
“ข้ารู้ ถึงผลักดันให้เรื่องมันบานปลายอย่างไรเล่า วังหลังข้า กฎของข้า แม้แต่ท่านก็ไม่มีสิทธิ์” ฮองเฮาคนงามย้ำเตือนฮ่องเต้อีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบลื่น
เป็นเขาเองที่ขอร้องให้นางอยู่ข้างกายในฐานะฮองเฮา ทั้งที่นางสามารถหนีออกไปจากวังวนแห่งกรงทองได้
และก็เป็นเขาเองที่มอบอำนาจวังหลังมาในกำมือของนาง
“ฮุ่ยหมิ่น สถานการณ์ของเจ้าในช่วงนี้ยังไม่ค่อยเหมาะที่จะทำเรื่องเอิกเกริกนะ”
พูดคุยถูกคอกันได้ไม่กี่คำ จู่ ๆ ลี่กุนจวิ้นเฉินก็ดึงเรื่องเครียดมาให้ทั้งสองจมอยู่กับความคิดอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าคมสวยของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจางลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาพูดถึง แต่ความกลัวที่ผ่านเข้ามาก็หายไปในเร็วพลัน เมื่อนางปรับเปลี่ยนความคิด
“ชีวิตหนึ่งช่างสั้นนัก เหตุใดจะต้องกังวลอยู่แต่กับเรื่องในอนาคต จนลืมที่จะดูแลตนเองในปัจจุบัน”
“หากไม่วางแผนอนาคต เช่นนั้นเราจะรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าเป็นฮ่องเต้ ย่อมต้องวางแผนเพื่อให้ราษฎรอยู่กันอย่างสงบสุข และที่สำคัญคือคนข้างกายข้าต้องไม่เดือดร้อน”
ในที่สุดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มหันไปสนใจลี่กุนจวิ้นเฉิน ดวงตาหงส์คู่งามยามนี้ดำขลับ เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกลับที่ไม่อาจคาดเดาความคิดได้
“ท่านคิดว่าบิดาของกุ้ยเฟยนั้นมีกำลังคนสนับสนุนมากมายเพียงใด”
“แล้วเหตุใดเจ้าเปลี่ยนจากเรื่องของตัวเจ้าไปเป็นกุ้ยเฟยได้เล่า”
“ตอบข้ามาก่อน”
“ถ้าหากที่ชงซานสืบมา ข้าพอจะทราบว่าขุนนางเกินครึ่งล้วนแล้วแต่เคารพนับถือใต้เท้าจิ่น ...เหตุใดถึงถาม”
“เขาเป็นคนของข้า หากสถานการณ์เลวร้ายขั้นสุดจริง ๆ อย่างไรตระกูลจิ่นก็หนุนหลังข้า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยกถ้วยชาร้อนมาเป่าเบา ๆ หลังจากตอบคำถามลี่กุนจวิ้นเฉิน
แม้นางจะมาจากต่างแดน ไร้ซึ่งคนสนับสนุนใด ๆ ในวังหลวง แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่สั่งสมบารมีจากข้างนอกวังหลวง การที่นางรับจิ่นเลี่ยนลี่ผู้มีชื่อเสียย่ำแย่เข้าวังหลวง ดันจนนางกลายมาเป็นกุ้ยเฟย ลบภาพลักษณ์ด้านลบไปจากตระกูลจิ่น มีหรือใต้เท้าจิ่นเฟิงหนานจะไม่ซาบซึ้ง และด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างนางกับกุ้ยเฟย ย่อมทำให้ชายชราผู้นั้นเข้าข้างนางยามตกยากแน่นอน
จะกำจัดฮองเฮา ย่อมต้องกำจัดหมากเสียก่อน เมื่อไรที่ขาดนางไป สตรีที่งามอย่างร้ายกาจเช่นกุ้ยเฟย ย่อมถูกคนรอบข้างปองร้ายจนเสียตำแหน่งไปในท้ายที่สุด
ใต้เท้าจิ่นไม่มีทางนิ่งดูดายปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเป็นแน่
“เจ้าไปเกี่ยวข้องกับคำตระกูลจิ่นตั้งแต่เมื่อไรกัน” ลี่กุนจวิ้นเฉินหรี่ตาลงจับผิด
“ก็ตั้งแต่ที่ข้าชุบเลี้ยงจิ่นเลี่ยนลี่อย่างไรเล่า นางมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะใคร ท่านอย่างลืมสิ หากไม่ได้ข้าปานนี้นางก็คงถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกไปแล้ว อีกอย่างชื่อเสียงตระกูลจิ่นเองคงจะแปดเปื้อนไปไม่น้อย ข้าช่วยฟื้นฟูและล้ามลทินให้ตระกูลนั้น ถึงขนาดทำให้บุตรสาวเขากลายเป็นกุ้ยเฟย บุญคุณนี้คงจะลืมกันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”
“แล้วเจ้าก็กำลังจะบอกว่าในบรรดาสนมเอกล้วนแล้วแต่เป็นคนของเจ้าทั้งหมดอีกงั้นสิ”
โฉมงามในชุดสีน้ำเงินเข้มหันมาทำสีหน้าตกใจ “ท่านก็ฉลาดเหมือนกันนี่”
หากไม่นับเจาอี๋ที่ยังอยู่ในตำหนักเย็นกับซิวหรงที่ถูกกักบริเวณ สนมเอกทั้งเจ็ดคนล้วนแล้วแต่อยู่ใต้บัญชาของนางอย่างเต็มตัว ทุกคนต่างมีอดีตที่ไม่อาจลบล้างและไม่อาจให้อภัย แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือผู้ที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นจริง
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมักช่วยเหลือคนที่ทำผิดพลาดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ทุกคนจึงพากันเทิดทูนว่านางเป็นฮองเฮาที่เปี่ยมด้วยเมตตาอันลึกซึ้ง ทว่าการช่วยเหลือคนโดยไม่หวังสิ่งใด การทำเช่นนี้สำหรับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือการลงทุนซื้อใจ วันนี้นางอาจยังไม่ได้อะไร แต่สักวันนางจะทวงคืนบุญคุณนั้นเอง
“ฝ่าบาท กงกงนำป้ายชื่อมาให้ฝ่าบาทเลือกพ่ะย่ะค่ะ”
ชงซานเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกงกงผู้ชราผู้หนึ่ง เขาถือถาดที่เต็มไปด้วยป้ายชื่อมากมายแล้วไปคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะทรงงานของลี่กุนจวิ้นเฉิน ซึ่งคนผู้เป็นใหญ่พลันหันหน้าส่งสายตาเฉียบคมมาทางเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น สตรีผู้ฉีกยิ้มท้าทายไปให้
ลี่กุนจวิ้นเฉิน นางมองเขาอยู่เช่นนั้นด้วยสายตาคมกล้าเช่นเดียวกัน หากจะให้ฮ่องเต้บรรยาย สายตานั้นเหมือนกับว่านางได้ส่งมือล่องหนมาบีบบังคับให้เขาหยิบป้ายชื่ออย่างไม่เต็มใจ
“คืนนี้เราอยาก...”
ไม่ทันที่ลี่กุนจวิ้นเฉินจะได้พูดคำว่าพักออกมาเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็พูดกลบ
“คืนนี้ฝ่าบาทจะบรรทมที่ตำหนักกุ้ยเฟย”
ชงซานหันมามองปรามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แต่สตรีผู้สูงศักดิ์นั้นกลับยิ้มสุภาพ ไม่แสดงอาการหึงหวงใด ๆ ออกมา และไม่สนใจว่านางจะทำตนข้ามหน้าข้ามตาใคร เพราะในห้องนี้ ชงซาน กงกง หรือแม้แต่ลี่กุนจวิ้นเฉิน ต่างก็รู้ดีว่าทุกอย่างในวังหลังล้วนแล้วแต่เป็นเหมือนกระดานหมากสำหรับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น และพวกเขาทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ไม่ต่างอะไรจากหมากตัวหนึ่งที่นางหยิบจับ ขยับซ้ายขวาได้ตามแต่ใจต้องการ
“คืนนี้เราจะไปพบกุ้ยเฟยเสียหน่อย” ลี่กุนจวิ้นเฉินรับคำอย่าว่าง่าย
“แต่ฝ่าบาท...” ชงซานกำลังจะเอ่ยค้าน เขาพยายามที่จะให้ฮ่องเต้เดินแผนแข็งใจต่อฮองเฮาต่อไป
“ชงซาน ตั้งแต่เมื่อไรที่เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องหลับนอนของฝ่าบาท” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นโพล่งขึ้นมาขัดการสนทนาอีกครั้ง
ลี่กุนจวิ้นเฉินมองปรามชงซานให้อยู่นิ่ง ๆ ไปก่อน ในตอนนี้เขาอาจจะยอมทำตามที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นต้องการ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมตลอดไป
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ชงซานรีบกล่าวขออภัยฮองเฮา
“อืม” นางพยักหน้ารับ ก่อนจะยกภาพวาดราชวังยามค่ำคืนไปวางตรงหน้าลี่กุนจวิ้นเฉิน “ฝ่าบาท หม่อมฉันฝากให้
ฝ่าบาทมอบภาพนี้เป็นของขวัญให้แก่กุ้ยเฟยด้วยนะเพคะ”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดจาไพเราะ แต่การกระทำอุกอาจโดยไม่สนใจใคร หลังจากนางมอบหมายงานให้ลี่กุนจวิ้นเฉินเสร็จสรรพ ก็พาร่างสูงโปร่งของตนเองเดินจากไป โดยที่ไม่มีใครกล้าทักท้วง
สิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักทรงงาน ก็ต้องอยู่ในตำหนักทรงงาน
ชงซานรู้จักเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมานาน ย่อมรู้ว่าการล่วงเกินกันระหว่างฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นเป็นเรื่องปกติ ส่วนกับกงกง... แม้เขาจะรับใช้ฮ่องเต้ แต่กลับถูกเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นซื้อตัวไปตั้งแต่ที่นางได้รับตำแหน่งพระอัครชายาแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะฮองเฮา”
หยาเอ๋อร์เอ่ยถามหลังจากที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเดินกลับมาถึงเกี้ยว ข้างหลังนางในยามนี้ยังเต็มไปด้วยนายทหารองครักษ์และนางกำนัลกว่ายี่สิบคนเดินออกมาส่ง
“เป็นอย่างไรเช่นนั้นหรือ...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นขยับคอที่ปวดเมื่อยไปมาขณะกล่าวเสียงเนิบช้า “ตอนนี้บนผืนน้ำอาจดูสงบ แต่ใต้น้ำนั้นกำลังมีพายุลูกใหญ่กำลังก่อตัว ...เตรียมรับแรงกระแทกไว้ให้ดี”
จากการที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นโดนลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าวหาว่าเสียสตินั้นมีมูลเหตุ การที่ไทเฮาคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งกับแผนการของนาง ด้วยเกียรติของฮองเฮาผู้แสนเมตตา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงยกเลิกการแข่งขันเรื่องความงามทิ้งไป เพราะไทเฮาคงไม่มาสนใจว่าใครหน้าตาดีกว่าใคร ในเมื่อในสายตาหญิงสูงวัยผู้นั้นมีเพียงเต๋อเฟยเท่านั้น
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นประกาศปรับเปลี่ยนแผนการเป็นให้ทุกคนได้แสดงความสามารถของตนเองหรือจะสร้างสรรค์สิ่งที่ตนเองถนัดออกมาอวดโฉมก็ได้หมด อาจฟังดูน่าเบื่อ แต่ทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น
ด้วยความที่สตรีทุกคนล้วนแล้วแต่มีความงามแตกต่างกัน สนมเอกทั้งเจ็ดยามนี้มีนางเป็นคนคัดสรรมาตั้งแต่แรกที่เลือกเข้าวัง ทุกคนนั้นงดงามยากที่จะตัดสินกันตั้งแต่แรกแล้ว แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่อยากจะให้พวกนางแต่งตัวประชันกันเอง ในเมื่อแต่ละคนไม่เข้าใจในจุดเด่นของตน เพราะอย่างนั้นนางจึงเรียกตัวช่างตัดชุดชื่อดังเข้ามาในวังและออกแบบชุดให้กับสนมเอกทั้งเจ็ดด้วยตัวเอง
“เหตุใดฮองเฮาต้องตัดชุดให้สตรีเหล่านั้นด้วยเพคะ” กุ้ยเฟยนั่งอยู่ริมหน้าต่างเอ่ยถามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นที่กำลังแจกแจ้งแบบภาพให้กับช่างตัดชุด
วันนี้เป็นอีกวันที่กุ้ยเฟยมานั่งเล่นอยู่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แม้เมื่อคืนกุ้ยเฟยจะอยู่กับฮ่องเต้มา แต่คนทั้งคู่ก็ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กุ้ยเฟยไม่คิดจะอวดเบ่งใครว่าตนเหนือกว่าเพียงเพราะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ในเมื่อนางรู้ดีว่า ถ้าอยากได้ใช้ชีวิตเหนือคนอื่น ใครกันแน่ที่ต้องประจบ
“ข้าไม่ชอบชุดที่พวกนางสวมใส่” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองใคร
“แล้วเต๋อเฟยละเพคะ”
พู่กันในมือขาวเนียนพลันชะงักคร่อมจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มละเลงร่างแบบต่อไป
“นางไม่ใช่คนของข้า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบออกมาเสียงเย็นชา
ช่างตัดชุดมีนามว่า เชี่ยวเอ๋อร์ เป็นอีกคนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นซื้อความภักดีเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งใดที่นางพูดในห้องนี้ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ถูกเก็บเป็นความลับหมดทั้งสิ้น
“หากเป็นเช่นนั้น วันงานเลี้ยงเต๋อเฟยคงจะดูหม่นแสงไปไม่น้อยเลยนะเพคะ”
กุ้ยเฟยนึกภาพตามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแล้วก็นึกสนุก เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นฮองเฮาที่ชมชอบสีสันสดใสฉูดฉาด เสื้อผ้าที่นางใส่มักจะโดดเด่นจนไม่อาจละสายตาหนีได้เสมอมา ในขณะที่เต๋อเฟยมักจะสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสบายตา เรียบง่ายไม่โดดเด่น ส่วนเหล่านางสนมคนอื่นก็มักจะแต่งตัวตามฐานะตัวเองกันไป อาจมีบ้างที่แต่งตามความนิยมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งความนิยมเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ฮองเฮาชอบเลยสักนิด
“ไม่หรอก... นางอาจจะเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดก็เป็นได้”
แตกต่างที่สุดในกลุ่ม ย่อมโดดเด่นเป็นธรรมดา ทว่าเตะตาคนได้ ใช่ว่าจะดึงดูดคนได้เสมอไป
“ไม่ว่าทางไหน ทุกอย่างก็น่าสนใจไปหมด” กุ้ยเฟยฉีกยิ้มร้าย
หลายวันมานี้นางสนมในวังหลังล้วนแต่พากันกักตัวอยู่ในตำหนักฝึกซ้อมและเตรียมตัวแสดงความสามารถของตน ยามเช้าถ้าเข้าเฝ้า พวกนางก็พากันเงียบ เมินหน้าไม่พูดจากัน ทำตัวเป็นเหมือนแมวซ่อนเล็บกันไปหมด
“ว่าแต่วันนั้นข้าเล่าให้เจ้าฟังถึงไหนแล้วนะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถาม เมื่อคิดจะเล่าเรื่องราวนางสนมที่ตนเองรับเข้ามาต่อ
“ฮองเฮาพูดถึงซิวอี๋ ผู้ที่เป็นญาติของหม่อมฉันเอเพคะ”
“อ้อ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพยักหน้ารับ
หลังจากที่ยื่นแบบชุดทั้งหมดไปให้กับช่างตัดชุด นางก็มานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างในตำหนักรับลมยามเย็นพร้อมกับกุ้ยเฟย
“เช่นนั้นต่อไปคงเป็น ซิวเยวี่ยน”
“ซิวเยวี่ยนผู้งามวิจิตร พูดน้อยและมักเก็บซ่อนตัวน่ะหรือเพคะ”
“แต่เดิมนางมีที่มา” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเงยมองท้องฟ้า มองราวกับจะทะลุขึ้นไปในดินแดนที่ไกลแสนไกล “อย่างที่เจ้าทราบ นางคือบุตรสาวคนเล็กในตระกูลแม่ทัพซีผู้เกรียงไกร มีพี่ชายที่องอาจและหล่อเหลาอีกทั้งยังรักนางยิ่งกว่าใคร”
“เหตุใดสตรีที่เกิดมาในตระกูลที่เพียบพร้อมถึงอยากเข้าวังหลวงเพคะ หรือบิดานางเป็นผู้ส่งนางมาเป็นหลักประกันให้กับตัวเอง”
“นางเสนอตัวเข้ามาเอง โดยมีข้าเป็นผู้ชักชวน แต่เดิมแม่ทัพซีเป็นชายผู้ที่เหยียดสตรีผู้หนึ่ง เขามีภรรยาและอนุมากมายเพียงเพื่อให้ตนเองมีบุตรสืบต่อวงศ์ตระกูล และบุตรที่เขาต้องการคือบุตรชาย หากเป็นสตรีเขามักจะไม่เหลียวแล ซิวเยวี่ยนเป็นบุตรสาวของอนุ รูปโฉมงดงามและยังเก่งกาจดุจชายชาตรี ทว่านางไม่เคยถูกยอมรับ ตั้งแต่เด็กต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้บิดาเห็นหน้า มิเช่นนั้นก็จะถูกต่อว่าด้วยความรังเกียจ และที่แย่ที่สุด นางเคยถูกนำไปทิ้งในป่าเมื่อตอนอายุสิบห้า ทว่านางกลับมาได้ในสภาพไร้รอยขีดข่วน ข่าวลือกล่าวหาว่านางยอมให้โจรป่าข่มขืนเพื่อแลกชีวิต แต่ความจริงคือนางสังหารโจรเหล่านั้นด้วยตัวเองจนหมดสิ้น แต่ในสายตาแม่ทัพซี สตรีไม่มีทางเก่งกาจไปกว่าชายชาตรี เขาจึงคิดว่าบุตรสาวตัวเองเปื้อนราคี ข้าได้ยินข่าวเช่นนั้นจึงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และรับนางเข้ามาในวังเอง”
“ช่างเป็นสตรีที่น่าชื่นชมยิ่งนัก” กุ้ยเฟยตาเป็นประกาย เพราะนางเองมักชื่นชมสตรีที่ลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเองเสมอ “แต่น่าเสียดายที่นางเกิดมาผิดเพศ มิเช่นนั้นคงได้เป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่”
“แล้วใครว่าสตรีมิอาจจะเป็นวีรสตรีได้เล่า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มน้อย ๆ “เพชรไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ยังเป็นเพชร แต่ก่อนแม่ทัพซีอาจจะกดขี่ซิวเยวี่ยน แต่ดูยามนี้สิ เป็นเขาเองมิใช่หรือที่ต้องก้มหัวให้นาง”
“แล้วซงอี๋ละเพคะ”
“ซงอี๋... องค์หญิงคนงามผู้ที่เมืองตนเองไม่ยอมรับในความเฉลียวฉลาด วันงานเลี้ยงครบรอบยี่สิบสองปีฮ่องเต้ ข้าเห็นนางถูกญาติพี่น้องหัวเราะเรื่องความฉลาด จึงเสนอนางไปว่าหากมาเป็นนางสนมในวังของข้า ข้าจะให้นางได้ทำทุกอย่างได้อย่างที่ใจต้องการ โดยที่ไม่มีใครคอยมาดูถูกเหยียดยาม ในยามนี้นางจึงสามารถวางแผนเพื่อรับมือวิกฤตของแคว้นช่างไปได้หลายสิบปีเลยทีเดียว เพียงแต่ข้ายังไม่ให้นางนำออกมาเผยแพร่ก็เท่านั้น”
“แคว้นช่างจะมีวิกฤตหรือเพคะ”
“เจาอี๋เป็นใคร เจ้าก็รู้ดี”
พูดถึงเจาอี๋ กุ้ยเฟยก็พอเดาเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เจาอี๋คือบุตรสาวของอัครราชทูตจากแคว้นเพ่ย การที่ส่งนางไปตำหนักเย็นอย่างไม่มีกำหนด เห็นได้ว่าบิดาของนางคงไม่อาจอยู่เฉยยอมให้บุตรสาวไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่นานนักอาจไปเป่าหูฮ่องเต้แคว้นเพ่ยให้ผิดใจกับแคว้นช่างก็เป็นได้
“ต่อมาเป็นซงหรง คนนี้ข้าบอกเลยว่าเจ้าต้องไม่เชื่อข้าแน่”
เมื่อพูดถึงซงหรง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มเก็บอาจการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
“ทำไมหรือเพคะ”
“เจ้าเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างหรือไม่ ว่าทางตอนใต้ของแคว้นช่างมีผู้ร่ำเรียนมนต์ดำอาศัยอยู่”
“ฮองเฮาอย่าบอกนะเพคะว่าซงหรงมาจากที่นั่น...”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปรบมือหนึ่งที “ใช่แล้วล่ะ และที่สำคัญ มนต์ดำที่ทุกคนหาว่าเป็นข่าวลือ แท้จริงแล้วซงหรงของเราสามารถใช้วิชาเหล่านั้นได้จริง ๆ ด้วยนะ”
กุ้ยเฟยหน้าซีดเผือด นางอาจจะชมชอบการที่สตรีตบตีกัน แข่งขันแก่งแย่งต่าง ๆ นานา แต่หากมีมนต์ดำเข้ามาเกี่ยว เรื่องเช่นนี้มันออกจะ...
“เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย ซงหรงนางเพียงแค่ต้องการมาอยู่ในวังเพื่อเข้าถึงยาสมุนไพรหายากที่ใช้ในการปรุงยาลับของนางก็เท่านั้น หากไม่มีใครไปสะกิดหางเข้า นางก็คงไม่ร่ายมนตร์ดำใส่แน่ แต่เรื่องนี้เจ้ากับข้าต้องเก็บเป็นความลับขั้นสุดยอดเลยนะ มิเช่นนั้นซงหรงอาจได้พบโทษประหาร แบบที่ข้าก็มิอาจใช้อำนาจช่วยได้เลย”
“เพคะ” กุ้ยเฟยรับคำหนักแน่น
“ส่วนคนสุดท้ายชงเยวี่ยน”
“โอ้... ฮองเฮาเพคะ สตรีผู้นี้เป็นอีกคนที่หม่อมฉันมิกล้าเข้าใกล้ถัดมาจากซิวอี๋เลยเพคะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าก็พูดเกินไป แค่เพียงนางมีนิสัยป่าเถื่อน ใช้ว่าจะเป็นคนไม่น่าคบหาเสมอไป... แต่ข้าจะบอกให้ก็ได้ ว่านางน่ากลัวยิ่งกว่ามนต์ดำของซงหรงอีก”
“ทำไมหรือเพคะ”
“เคยมีคดีฆาตกรรมฉาวโฉ่ที่ทางการไม่อาจสืบหาตัวคนร้ายได้นานนับสามเดือน มีสตรีเคราะห์ร้ายตายไปกว่าสิบศพ แต่ชงเยวี่ยนกลับสืบหาคนร้ายจนเจอ และข้าก็พบนางตอนที่นางกำลังจะฆ่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นั้น ด้วยความที่นางต้องการจะหนีความผิดฐานฆ่าคน ข้าซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่สมควรจึงชวนนางเข้าวังมา เพียงแต่ก่อนเข้าได้รู้อดีตมาว่า นางเคยอาศัยอยู่กับมารดาที่จิตไม่ปกติ ทดลองการแพทย์นานาชนิดกับตัวเองและกับนาง จนเมื่อมารดาทิ้งไป นางยังถูกชุบเลี้ยงต่อด้วยบุรุษจิตผิดปกติอีกคน ที่พยายามลวงหลอกจิตใจให้นางหลงรักเขา กว่าจะหนีออกมาจากวังวนนั้นได้ก็แทบแย่ และเพราะชีวิตเจอแต่อะไรแย่ ๆ นางจึงมักดื่มสุราดับความกังวล”
กุ้ยเฟยอ้าปากค้าง ราชวงศ์ไหนที่รับผู้หญิงของฮ่องเต้เข้าวังย่อมต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ฮองเฮาผู้นี้ไม่รู้ใช้วิธีใดกันถึงได้ข้ามขั้นตอนเหล่านั้นมาโดยไม่มีผู้ใดทักท้วง แล้วแต่ละคนที่เข้ามาในวังก็ไม่เหมือนมาเป็นสตรีที่จะแย่งสามีกันเอง แต่เหมือนกับพวกนางมาเป็นลูกหนี้บุตรคุณฮองเฮาทั้งสิ้น
เรื่องนี้ถ้ากล่าวกันตามตรง คนที่ควรมีอาการหึงหวงควรจะเป็นฮ่องเต้ผู้น่าสงสาร เขาเป็นชายที่ไม่เคยเอ่ยปากว่าอยากรับนางสนม ในเมื่อเขาเคยประกาศออกมาแล้วว่าชายาของเขามีเพียงคนเดียวคือเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แต่เหมือนฮองเฮากลับไม่รู้จักพอ นางรับนางสนมเข้ามาเรื่อย ๆ ภายใต้หน้ากากของฮองเฮาผู้มีเมตตา โดยไม่สนใจความรู้สึกของฮ่องเต้แม้เพียงนิด
สตรีเจ็ดคนนี้ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งในวังหลัง ยศต่ำไปกว่านั้นยังมีอีกหลายคนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรับเข้ามาเอง และอีกครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไทเฮาเสนอเข้ามา
แต่ช่างน่าเสียดายที่คนของไทเฮามีเพียงแค่เต๋อเฟยเท่านั้นที่ชูหน้าได้สูงที่สุด
“มีสตรีคนไหนของฮองเฮาที่ไม่มีวี่แววของการกลายเป็นฆาตกรบ้างเพคะ”
คำถามที่กุ้ยเฟยถามนั้นติดตลก แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับคิดหนัก และคำตอบนั้นก็ทำให้กุ้ยเฟยคิดอยากจะหนีออกจากวังหลังเป็นครั้งแรกในชีวิต
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นใช้นิ้วชี้ที่มีปลอกเล็บสีทองแตะที่ปลายคางพร้อมทั้งเอียงคอตอบ... “ไม่มีนะ”