บทที่ 8 - ดอกไม้งามอาบยาพิษ
โจทย์แรกที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นประกาศออกไปหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา นั่นคือการให้นางสนมเตรียมตัวมางานเลี้ยงถัดไปด้วยชุดที่บ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง เผยโฉมความโดดเด่น ถิ่นที่มา และตัวตน โดยที่นางไม่สนว่าจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะบางทีคนที่ชนะอาจจะเป็นคนที่แต่งตัวแบบคนป่าเสียด้วยซ้ำ
ระหว่างที่ปล่อยให้แต่ละคนเตรียมตัวกันอยู่ในตำหนักตนเอง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและกุ้ยเฟยผู้ว่างงานก็นัดกันมาจิบน้ำชาอยู่ในอุทยานหลวง
“ฮองเฮาเพคะ ทรงคิดได้อย่างไรว่าจะให้นางสนมเหล่านั้นมาแต่งตัวประชันกัน ฮองเฮาเองก็รู้ดีว่านอกจากเต๋อเฟยแล้ว พวกนางล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ฮองเฮาเสนอตัวให้พาเข้าวังมา ซึ่งแต่ละคน...ไม่ธรรมดาเลย”
กุ้ยเฟยนั่งอยู่เก้าอี้ข้างกายเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเปิดบทสนทนาเรื่องใหม่ขึ้นมา เพราะเมื่อนางนึกถึงหน้าเหล่าสนมเอกแล้วก็ต้องหวั่นใจอยู่ลึก ๆ เมื่อต้องเห็นสตรีเหล่านั้นรุมฆ่าแกงกันเพื่อแย่งตำแหน่งใหม่
“ไม่ธรรมดาหรือ...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจิบชาเนิบช้า ไม่รีบร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น “เพราะพวกนางไม่ธรรมดา ถึงได้มีวันนี้”
นางสนมที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเลือกเข้ามาในวังหลวงเอง แต่ละคนไม่มีใครที่อาจเรียกได้ว่าธรรมดาได้แม้แต่คนเดียว
“ดูอย่างเจ้าสิกุ้ยเฟย งดงามราวกับปีศาจจิ้งจอก ฉลาดหลักแหลมวางแผนได้ลึกล้ำยิ่งกว่าขุนนางชายในราชสำนัก สตรีเช่นเจ้าไม่ว่าบุรุษผู้ใดก็ต้องยำเกรงและหวาดกลัว แต่ในโลกที่บุรุษเป็นใหญ่ เจ้ากลับทำได้แค่เก็บซ่อนความสามารถเอาไว้หลังม่านมุก”
“หม่อมฉันเหนื่อยกับการที่จะต้องสู้เพื่อสิทธิของตนเองแล้ว หากอยู่ในวังหลังแล้วได้สู้กับสตรีด้วยกันอย่างเท่าเทียมได้ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ยอมติดอยู่ในกรงทองนี้ต่อไปดีกว่าเพคะ” กุ้ยเฟยกล่าวออกมาจากใจจริง
นางหันหลังให้กับความรักและผู้ชายทุก ๆ อย่าง อยู่ในที่ที่ตนตัวเล็กกว่ามีแต่จะอึดอัดใจ สู้อยู่ในที่ที่ตนเท่าเทียมกับคนอื่น ต่อให้เป็นที่แคบแต่ก็ยังสบายใจกว่า
“เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับพวกนาง”
พวกนาง...สนมเอกขั้นสองทั้งเก้าตำแหน่ง คนหนึ่งตัดออกเนื่องจากตอนนี้อยู่ในตำหนักเย็น ข้อหาปลุกปั้นเรื่องราวให้ฮองเฮาเสียหน้า อีกคนยังคงถูกกักบริเวณมิอาจออกมารวมกิจกรรมได้ ยามนี้จึงเหลือเพียงเจ็ดคน กับพระชายาเต๋อเฟย
“ฮองเฮาอยากให้หม่อมฉันพูดถึงเต๋อเฟยด้วยหรือไม่เพคะ”
“ไม่”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปฏิเสธทันทีที่กุ้ยเฟยเอ่ยถึงเต๋อเฟย สตรีเพียงคนเดียวที่ไทเฮาทรงยัดเยียดมาให้กับฮ่องเต้ โดยที่ฮองเฮาไม่เต็มใจ
“เช่นนั้น หม่อมฉันจะเริ่มจากเจาหรง... เท่าที่หม่อมฉันรู้คือนางแต่เดิมเป็นเด็กฝึกที่โรงหมอหลวง ฉลาดเกินกว่าแพทย์หลวงคนอื่น แพทย์หลวงชายอาวุโสเห็นว่านางมีความสามารถโดดเด่นเกินไปจึงพยายามกดนางเอาไว้ไม่ให้มีตัวตน ฮองเฮาทรงทราบจึงพานางเข้าวังมา ใช่หรือไม่เพคะ”
“ใช่ แต่ยังไม่จบแค่นั้นหรอกนะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดแล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ
“มีอะไรอีกหรือเพคะ”
“นางเป็นคนที่มีบุคลิกสองแบบในร่างเดียวกัน เจาหรงปกติที่เจ้าเห็นทุกคืนวันคือสตรีที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นทุกเมื่อ แต่หากมีใครไปกระตุ้นให้นางเกิดความเครียดหนัก ๆ เข้า ตัวตนอีกร่างก็จะเผยออกมา เป็นสตรีที่มีจิตใจด้านชา เยือกเย็นไม่สนใจใครเหมือนน้ำแข็ง และที่สำคัญคือนางร้ายกาจพอที่จะปรุงยาพิษนานาชนิดเพื่อฆ่าคนที่หาเรื่องนาง”
“เจาหรงไม่ใช่สตรีเพียงคนเดียวที่มีสัญชาตญาณในการฆ่าใช่ไหมเพคะ” กุ้ยเฟยหรี่ตาลง พร้อมจะจับผิดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มขำ ๆ “เจ้าเองยังเคยถูกกล่าวหาว่าบุกเข้าบ้านอดีตคู่หมั้นแล้วเข้าไปทำร้ายเขาอยู่มิใช่หรือ”
“เฮอะ! บุรุษผู้นั้นสมควรแล้วเพคะ”
กุ้ยเฟยเค้นเสียงหัวเราะออกมา เมื่อนึกถึงหน้าอดีตคู่หมั้น ผู้ที่ทิ้งนางไปหาสตรีคนอื่นที่ตรงข้ามกับตนเองทุกประการ แล้วเขายังจะมีหน้ามาปล่อยข่าวโคมลอยว่านางเป็นแค่ของเล่น ที่เขาอยากจะทิ้งเมื่อไรก็ได้ จนนางกลายเป็นตัวตลก ด้วยความโกรธจนหน้ามืด เมื่อเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมาเชิญนางไปเป็นกุ้ยเฟย นางจึงใช้โอกาสที่ตนเองจะจากไปบุกเข้าบ้านของชายผู้นั้น แล้วกระทืบเขาจนสาแก่ใจ
“เจ้าเองก็รู้ ว่าสตรีใดที่ไม่แข็งแกร่ง ไม่อาจทนอยู่ในวังหลังได้หรอก และยิ่งกับตำแหน่งสนมเอก ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้ หากไม่พิเศษจริงคงไม่อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้”
“ส่วนเจาเยวี่ยน ฮองเฮาคิดว่านางโดดเด่นด้านใดหรือเพคะ”
“เจาเยวี่ยน...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเคาะปลอกเล็บทองเล่นกับโต๊ะขณะคิด “หัวสมองหลักแหลมเรื่องการค้า สุขุม งดงาม ร้ายกาจพอที่จะเป็นคู่ปรับกับเจ้าได้เลย หากเพียงแค่นางตำแหน่งซูเฟย ตำแหน่งกุ้ยเฟยของเจ้าอาจถึงคราวที่ต้องสั่นคลอน”
กุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะร่าออกมา “นางเกรงกลัวข้าเพียงแค่เพราะตำแหน่งหรือเพคะ ฮองเฮาก็พูดเป็นเล่นไป ต่อให้นางมีตำแหน่งสูงใหญ่มาจากไหน แต่ถ้ายังไม่กล้าเล่น หม่อมฉันเกรงว่านางก็ไม่ต่างอะไรจากแมวซ่อนเล็บเลยเพคะ คนเช่นนั้นยังขาดความกล้า ถ้านางกล้าสั่นคลอนตำแหน่งหม่อมฉันจริง ต่อให้เป็นสนมเอก ก็ย่อมทำได้”
ความกล้าของคนไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่งหรืออำนาจ เรื่องนี้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรู้ดียิ่งกว่าใคร นางรู้ดีเลยว่าต่อให้กุ้ยเฟยเป็นเพียงแค่นางกำนัลตัวเล็ก ๆ หากนางฉลาดพอ นางก็สามารถเล่นงานคนใหญ่คนโตให้ล้มทับอำนาจตัวเองได้สบาย ๆ โดยที่ไม่ต้องรอพึ่งปัจจัยอื่นใดรอบกาย เพียงแค่มีใจและสมองก็แค่นั้น
“แล้วซิ่วอี๋เล่า นางเป็นญาติเจ้ามิใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงซิวอี๋ กุ้ยเฟยก็พลันขนลุกซู่ ให้สู้กับคนฉลาดนางยอมสู้ แต่ให้สู้กับคนจิตไม่ปกติ นางยอมถอย
“ซิ่วอี๋...หม่อมฉันขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่าเพคะ”
“หึหึ นางก็แค่เป็นพวกสตรีสองหน้า ที่มีจิตใจรุนแรงกว่าคนทั่วไปก็เท่านั้นเอง”
“ฮองเฮาอย่าได้ไปขัดใจนางเชี่ยว ตอนเด็กนางเคยเผาผมกับห้องนอนหม่อมฉันมาแล้วนะเพคะ”
“จิตไม่ปกติ สตรีเช่นนี้ก็ถือเป็นสีสันในวังหลังอย่างหนึ่ง”
กุ้ยเฟยถอนหายใจ “หม่อมฉันถือว่าเตือนฮองเฮาแล้วนะเพคะ”
ซิ่วอี๋ ลูกพี่ลูกน้องของกุ้ยเฟย สตรีที่มีจิตไม่ปกติ อารมณ์สามารถพุ่งทะยานรุนแรงอย่างน่ากลัว ชอบเล่นกับไฟ เคยเผาผมกุ้ยเฟยสมัยที่ยังเป็นเด็ก เผาห้องนอนและตุ๊กตาอีกฝ่าย จนกุ้ยเฟยหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่ายแม้แต่น้อย
หากบอกว่าเต๋อเฟยคือจุดอ่อนของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแล้วละก็ ซิวอี๋ก็คือจุดอ่อนของกุ้ยเฟยดี ๆ นี้เอง
“นี้ยามใดแล้ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหันไปถามหยาเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างกาย
“ใกล้จะยามอิ๋นแล้วเพคะ ฮองเฮา”
ยามอิ๋น!
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนทันใด เท่าที่จำได้คือนางได้รับจดหมายเรียกตัวจากไทเฮาให้ไปพบเป็นการส่วนตัวยามอิ๋น ไม่คิดเลยว่าตนจะเผลอตัวคุยกับกุ้ยเฟยจนเวลาล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ หากคำนวณเวลากลับตำหนักไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วละก็ พนันได้เลยว่านางต้องไปพบไทเฮาสายเป็นแน่
เพียงแค่นี้ไทเฮาก็ไม่ชอบขี้หน้านางมากพอแล้วแท้ ๆ
“กุ้ยเฟย ข้านึกได้ว่ามีธุระที่ต้องรีบไปจัดการ ไว้วันหลังจะมาคุยเล่นกับเจ้าอีกก็แล้วกัน”
“ได้เลยเพคะฮองเฮา”
กุ้ยเฟยกล่าวลาเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนคนฟังยามนี้กลับไม่ใส่ใจ นางรีบตรงกลับไปยังตำหนักฮุ่ยหมิ่นของตนเองแล้วเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวเรียบร้อย ก่อนจะขึ้นเกี้ยวไปยังตำหนักของไทเฮา ซึ่งไม่ว่าจะมีเรื่องใดก็ตาม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะต้องทนฝืนรับมันให้ได้
ในเมื่อนางทนมาได้ตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว แค่วันเดียวไม่ทำให้ผมหงอกขึ้นหัวนางได้หรอก
ตำหนักของไทเฮานั่นเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ และอบอวลไปด้วยความเป็นธรรมชาติไร้ซึ่งการปรุงแต่ง แต่เดิม สถานที่แห่งนี้ในความทรงจำเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหาใช่อย่าที่เป็นในปัจจุบัน อดีตฮองเฮา ผู้เป็นมารดาของลี่กุนจวิ้นเฉิน แต่เดิมแล้วเป็นสตรีผู้ที่ชื่นชอบนิยมในวัตถุภายนอกยิ่งกว่าสิ่งใด
มองเผิน ๆ อาจจะดูเป็นสตรีที่หลงใหลในรูปโฉมจนไม่สนสิ่งอื่นใด แต่นางกลับเป็นสตรีที่น่ายำเกรงคนหนึ่งแห่งวังหลัง ไทเฮาไม่เคยยอมให้สนมนางไหนเล่นงานตนเองได้แม้แต่ปลายเส้นผม แม้อดีตฮ่องเต้จะหลงใหลผู้ใดมากแค่ไหน มากมายเพียงใด ก็ไม่มีใครทำให้ตำแหน่งฮองเฮาของไทเฮาสั่นคลอนได้
ตำหนักแห่งนี้จึงเคยเฟื่องฟู เผยโฉมเรืองอำนาจ ข่มขวัญให้ผู้คนยำเกรง แต่ตั้งแต่ที่อดีตฮ่องเต้จากไป ไทเฮาก็ส่งอดีตนางสนมทุกคนไปบวชชีอยู่ที่วัดบนภูเขาสูง ห่างไกลจากวังหลวง ส่วนตนเองก็เข้าสู่ทางธรรม จำศีลมิสนใจเรื่องราวบ้านเมืองภายนอกอีก นาน ๆ ครั้งจึงจะเรียกเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเข้าพบ
ทุกครั้งที่มาเข้าเฝ้าไทเฮา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมักจะต้องเข้ามาเพียงคนเดียว ทว่าวันนี้กลับต่างออกไป เมื่อเกี้ยวของนางจอดลงที่หน้าประตูใหญ่ นางจึงได้เห็นเกี้ยวประจำตำแหน่งของสตรีอีกคนจอดแน่นิ่งอยู่ก่อนแล้ว
“เต๋อเฟย...” เสียงนุ่มพึมพำชื่อของเจ้าของเกี้ยวออกมา ขณะที่นัยน์ตาหงส์สีดำจ้องไปยังเกี้ยวไม้ด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
ปลอกเล็บสีทองขูดเล่นไปมาอยู่กับผิวฝ่ามือขาวบางของตนเอง ความกังวลผุดขึ้นมาในใจ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเริ่มลังเลที่จะก้าวขาเข้าไปในตำหนักของไทเฮา
ทันใดนั้น นางกำนัลอาวุโสเห็นว่าฮองเฮามาเยือน ตนเองก็รีบวิ่งเข้ามาถวายความเคารพให้ในทันที
“ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ ไทเฮาทรงรอฮองเฮาอยู่ข้างในมาสักพักแล้ว”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปรายตามองนางกำนัลผู้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก นางแอบนึกสงสัยว่ากับเต๋อเฟย อีกฝ่ายจะมีทีท่าเย็นชาเช่นนี้หรือไม่
“นั่นสินะ”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหลังนางกำนัลผู้นั้นไป โดยที่ข้ารับใช้ของตนเองที่เหลือต่างพากันรออยู่ที่หน้าประตูของตำหนัก
“เจ้ามาช้านะ”
ไม่ทันที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะได้ถวายความเคารพไทเฮา หญิงสูงวัยก็พลันเอ่ยเสียงตำหนิดังออกมาโดยที่ไม่คิดไว้หน้านาง สายตารอบข้างต่างมองมาที่ร่างบางในชุดสีขาวด้วยสายตาจับผิดและกังขา ในตำหนักแห่งนี้ไม่มีใครมองว่านางเหมาะสมกับตำแหน่งฮองเฮาแม้แต่คนเดียว
ในสายตาพวกเขา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ต่างอะไรจากเชลย ที่แคว้นอื่นส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ
“ถวายบังคมเพคะไทเฮา ของให้ไทเฮาทรงมีพระวรกายแข็งแรง อายุขัยยืนยาวอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับฮ่องเต้ตลอดไปเพคะ”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตีสีหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มงดงามเผชิญหน้ากับไทเฮา นางน้อมกายถวายความเคารพอีกฝ่าย และก้มอยู่เช่นนั้นอยู่สักพัก จนกระทั่งไทเฮาพอใจ จึงค่อยสั่งให้นางลุกขึ้น
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นลุกขึ้นยืน แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม หากไทเฮาไม่สั่งให้นางเดิน นางก็ไม่มีสิทธิ์ หญิงสาวยืนอยู่กลางห้อง ในขณะเดียวกันเต๋อเฟยที่มาถึงก่อนหน้านั้น ยามนี้กำลังนั่งข้างไทเฮา และนวดไหล่ให้กับหญิงวัยกลางคนด้วยท่าทีสนิทสนม
“ไทเฮา แม้จะทรงถือศีล บำเพ็ญตนมากเพียงใด แต่ก็อย่าหักโหมตนเองมากเกินไปนะเพคะ”
เต๋อเฟยกล่าวกับไทเฮาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ยามนี้อีกฝ่ายยังคงทำเหมือนเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่มีตัวตน ไม่มีการกล่าวคำทักทายหรือคำนับให้ นางทำเหมือนกับว่าฮองเฮาในยามนี้นั้นไร้ตัวตน
“อืม... มีเจ้าคอยดูแลอยู่เช่นนี้ ข้ายังจะต้องไปกังวลเรื่องใดอีก”
คนสองคนหัวเราะคิกคักชื่นบานอยู่ด้วยกันพักใหญ่ เต๋อเฟยก็เหมือนเพิ่งสังเกตการณ์มีอยู่ของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น
“อ้าว! ฮองเฮา เหตุใดยังทรงไม่มานั่งตรงนี้ละ ยืนอยู่เช่นนั้นไม่เมื่อยขาหรือเพคะ”
เสียงหวานแหลมเสแสร้งเป็นห่วงเป็นใยจากเต๋อเฟย ทำให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหนังตากระตุก เพลิงไฟเล็ก ๆ ในใจกำลังโหมขึ้นมาติดไฟทีละน้อย แต่ใบหน้าของนางนั้นยังคงเย็นเยียบไร้ซึ่งอารมณ์โกรธแค้นใด ๆ มีเพียงแค่รอยยิ้มหวานงดงามที่ประดับราวกับนางเป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ไร้ซึ่งอารมณ์อื่น
“หากไทเฮายังมิสั่งสิ่งใด ข้าก็ไม่อาจทำสิ่งนั้นโดยพลการได้” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบอีกฝ่ายเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นเองหรือ” เต๋อเฟยเผยสีหน้าแปลกใจ ราวกับจะบอกว่าตนเองไม่เห็นต้องเคร่งครัดเช่นนั้นเลย
“เจ้ามานั่งได้แล้ว” ไทเฮาที่เงียบดูการโต้ตอบระหว่างเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและเต๋อเฟยเริ่มพูดขึ้นมา
“เพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคำนับ ก่อนจะตรงไปนั่งยังที่นั่งประจำตนเอง แม้ที่ตรงนี้จะต้อยต่ำกว่าเต๋อเฟยก็ตาม นางก็มิปริปากบ่นออกมา
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นชินชากับการกระทำของไทเฮาที่มีต่อตนเองมาเนิ่นนานแล้ว ไทเฮาไม่เคยอยากให้นางแต่งงานกับ
ลี่กุนจวิ้นเฉิน แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนกลับมีประสงค์และยังออกราชโองการขึ้นมา เพื่อป้องกันมิให้มีผู้ใดกล้าขัดขืนคำสั่ง เรื่องการหมั้นหมายและแต่งงานระหว่างเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกับลี่กุนจวิ้นเฉิน นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงอีกไหม
เพราะราชโองการฉบับนั้น อดีตฮ่องเต้และฮองเฮาจึงทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ลี่กุนจวิ้นเฉินและเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเห็นคนทั้งสองมีปากเสียงกันอยู่หลายครา จากเรื่องหนึ่งนำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง กลายเป็นปัญหาค้างคาไม่มีวันจบ และนำไปสู่วันที่ทั้งสองต่างหมดใจให้กัน มีเพียงแค่คำว่าอำนาจและตำแหน่งเท่านั้นที่ยังต้องจำอยู่ด้วยกัน
ในวันที่คนคนหนึ่งหมดใจ วันนั้นเป็นวันที่น่ากลัวมากวันหนึ่ง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเคยคิดว่าตนเองเป็นตัวปัญหาทำให้อดีตฮ่องเต้และฮองเฮาแตกหัก แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้ นางถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ทำให้คนทั้งสองพังทลายออกจากกันคือคำว่ารัก มากรัก ก็ไม่อาจรักษารัก
ไม่มีคำว่ารักใดที่จะอยู่คงทนไปได้ตลอดกาล
“ฮองเฮา ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะแต่งตั้งตำแหน่งซูเฟยเช่นนั้นหรือ”
หลังจากที่ไทเฮาและเต๋อเฟยคุยเล่นกันจนพอใจจนเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดไทเฮาก็เริ่มหันมาสนใจเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น
“เพคะ”
“เจ้าจะให้เต๋อเฟยลดตัวไปแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งกับนางสนมพวกนั้นเช่นนั้นหรือ”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ยินเช่นนั้นก็พลันเงยหน้าขึ้น แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“หม่อมฉันมิได้บังคับให้เต๋อเฟยลดตัวไปแข่งกับผู้ใดนะเพคะ เต๋อเฟยเองก็เป็นน้องหญิงที่หม่อมฉันรักมากผู้หนึ่ง ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาเต๋อเฟยมิเคยแสดงท่าทีมักใหญ่ใฝ่สูง ทั้งเรียบร้อยอ่อนหวาน รักสงบอยู่แต่กับที่ของตนเองมาโดยตลอด หม่อมฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องหญิงเต๋อเฟยจะอยากได้ตำแหน่งซูเฟย”
คำพูดราบเรียบของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นเหมือนหอกทิ่มแทงใจเต๋อเฟย ท่าทีอ่อนหวานของนางไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปแย่งชิงตำแหน่งอำนาจกับใครอื่น ถึงแม้ตำแหน่งซูเฟยจะสูงใหญ่กว่านาง แต่ด้วยชื่อเสียงที่เพียบพร้อม จะให้นางไปดิ้นรนแสดงความต้องการได้เช่นไร
ถึงแม้ตอนแรกตนจะมาเป่าหูไทเฮาให้ต่อว่าฮองเฮาเรื่องที่ทำให้นางต้องลดตัว แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายตอกกลับมาเช่นนี้ นางก็มิอาจขยับแขนขาได้อีก
“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะปล่อยให้ผู้อื่นได้รับตำแหน่งซูเฟยข้ามหน้าข้ามตาเต๋อเฟยได้เช่นนั้นหรือ”
“อย่างที่หม่อมฉันกล่าว หม่อมฉันไม่ได้บังคับว่าใครจะเข้าร่วมแข่งขัน แม้แต่กุ้ยเฟย หากจะอยากร่วมลดตำแหน่งตนเองหม่อมฉันก็มิว่าเพคะ”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยังคงยิ้ม รอบยิ้มที่สามารถทำให้ผู้มองเห็นรู้สึกร้อนรุ่มจนอยากจะกระโดดออกมากรีดร้องด้วยความเคียดแค้น
จะแตะต้องเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ยังคงเร็วไปร้อยปี
เต๋อเฟยเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่กี่ปี แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอยู่ในวังแห่งนี้มานับสิบเจ็ดปี นางเห็นไทเฮารบรากับอดีตนางสนมมานับครั้งไม่ถ้วน ลูกไม้ตื้น ๆ อย่างขอความเห็นใจจากผู้สูงศักดิ์มิอาจทำอะไรนางได้ง่าย ๆ
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะเข้าร่วมการตัดสินครั้งนี้ด้วยเพื่อความเท่าเทียม” ไทเฮาตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ม ๆ แต่ฟังดูเด็ดขาด
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นขบกรามแน่น นางเริ่มไม่พอใจที่มีคนเข้ามายุ่งกับแผนการของนางมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนหน้าก็
ลี่กุนจวิ้นเฉิน ตอนนี้ก็ยังจะไทเฮา
“แต่ตอนนี้ผู้ตัดสินมีถึงสามคนแล้วนะเพคะ”
“เช่นนั้นก็เพิ่มอีกคน ข้า เจ้า ฮ่องเต้ กุ้ยเฟยและก็ชงซาน หากเป็นเช่นนี้ยังจะมีอะไรโต้แย้งข้าอีกหรือไม่”
“ไม่เพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นส่ายหน้าเบา ๆ ขณะรอยยิ้มเหยียดเป็นเส้นตรง
คนมากมายเริ่มก้าวก่ายแผนการของนางมาโดยไม่ได้ตั้งตัว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอาจจะไม่พอใจ แต่ใช่ว่านางจะยอมแพ้ ยิ่งถนนเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากเพียงใด นางก็ยิ่งสู้ต่อไปมากเท่านั้น คนเพิ่มมันก็แค่หมายความว่านางต้องวางแผนเพิ่มก็เท่านั้นเอง