บทที่ 5 - คนผิดคือผู้ชนะ
เสียงดนตรีพลันหยุดชะงักเมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของฮองเฮา ทุกเสียงเฮฮาก็เงียบสนิทหลงเหลือไว้แค่เพียงเสียงร้องของจักจั่นยามค่ำคืน
เหวินซิวหรงจากที่ยิ้มชื่นบาน หน้าเสียในทันใด อย่างหนึ่งที่นางสนมทุกคนในวังหลังต่างรู้ดี พวกนางจะมีเรื่องกับใครก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องกับฮองเฮาเด็ดขาด โดยเฉพาะต่อหน้าฮ่องเต้
ท่ามกลางงานเลี้ยงที่ทุกฝ่ายต่างแสดงใบหน้าขาวซีด เสวี่ยฮองเฮาดูเหมือนจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับไม่สนใจพฤติกรรมของเหวินซิวหรงที่ข้ามหน้าข้ามตาตนเอง
ในขณะเดียวกัน คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่เหวินซิวหรง หากแต่เป็นฮ่องเต้ ผู้ที่ยามนี้เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี
ปกติลี่กุนจวิ้นเฉินอาจเป็นคนที่สุภาพ มีความคิดลุ่มลึก ไม่เคยแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกมาต่อหน้าสาธารณชน ทว่าหากเป็นเรื่องของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น เขาก็พร้อมที่จะแหกทุกกฎเกณฑ์
“เจ้ามอบผ้ามุกให้ซิวหรง หรือแบ่งให้กันแน่” ลี่กุนจวิ้นเฉินถามคนข้างกายเสียงเย็น
ด้วยความที่ลี่กุนจวิ้นเฉินมักหวงของ ทุกครั้งที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมอบของตนเองที่ได้มาจากเขาให้แก่ผู้อื่น นางจึงมักหาข้อแก้ต่างมาเพื่อที่เขาจะได้สบายใจ เช่นเดียวกับผ้ามุกหายากผืนนี้ นางก็แสร้งทำเป็นบอกว่าแบ่งให้ซิวหรงส่วนหนึ่ง ทั้งที่ความจริงนางยกให้ไปหมดเลย
“หม่อมฉันก็บอกฝ่าบาทไปแล้วเรื่องนี้ ว่าหม่อมฉันเห็นว่าเหมาะสมกับซิวหรงจึงแบ่งให้นางไป อย่างไรเสียก็มีอีกผืนอยู่ที่ฝ่าบาทมิใช่หรือ” เห็นสหายโกรธ นางก็พยายามเป็นน้ำดับไฟ อธิบายชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“เราพูดกับเจ้าหลายครั้งแล้วนะเรื่องนี้” เขาถอนหายใจ
ข้าก็บอกท่านไปหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ว่าของภายนอกตายไปมันก็เอาไปด้วยไม่ได้เสียหน่อย นางได้แต่พูดอยู่ในใจ
“หม่อมฉันขออภัยเพคะ”
การเป็นเชื้อพระวงศ์ สิ่งสำคัญคือการพูด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะพูดเรื่องอัปมงคลอย่างความตายออกมาไม่ได้ และนางต้องไม่แสดงตนข้ามหน้าข้ามตาฮ่องเต้จนเกิดไป เพราะขนบธรรมเนียมอย่างบุรุษเป็นผู้นำยังคงอยู่ และเป็นสิ่งเดียวที่นางเกลียดแต่มิอาจทำอะไรได้
“ซิวหรง เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าตนเองกลายเป็นสาเหตุให้ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงขุ่นเคืองกันน่ะ” ซิ่นเสียนเฟยเอ่ยถามด้วยเสียงใสซื่อ
“แต่จากที่หม่อมฉันฟัง เหมือนจะเป็นพี่หญิงมิใช่หรือ ที่นำเรื่องผ้ามุกนี้ขึ้นมาพูด” แม้จะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่หญิง แต่จากที่ฟังน้ำเสียงของเหวินซิวหรง จะรู้สึกได้ถึงความแข็งกระด้างอย่างชัดเจน
“แต่ข้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำเรื่องข้ามหน้าข้ามตาฮองเฮา ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าผ้าผืนนี้มีความสำคัญอย่างไร ฮองเฮาเพคะ จะทรงปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้นะเพคะ”
“ข้ารู้” เสวี่ยฮองเฮาพยักหน้า ขณะรับฟัง
“หรือซิวหรงจะไม่รู้เรื่องราวของผ้ามุกกันเพคะ” กุ้ยเฟยผู้ร่วมทุกงานกระโดดลงสงครามในทันใด โดยที่นางไม่ได้จงใจอยู่ฝั่งไหน นอกจากฝั่งผู้ที่จะพ่ายแพ้จริง ๆ
“ใครบ้างจะไม่รู้เรื่องนั้นกัน” เสียนเฟยแทบจะเค้นเสียงหัวเราะออกมา
“แค่ผ้าผืนเดียว พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเองเลย”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเล่นบทฮองเฮาผู้แสนดีอีกครั้ง นางแสดงความเมตตาพยายามจะหยุดการโต้เถียงด้วยการทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย
ใช่ว่านางจะไม่สนุกที่นางสนมจิกกัดกัน แต่ความน่าสนุกหลัก ๆ ไม่ใช่เรื่องการโต้เถียง ในเมื่อทุกคนมีปากเหมือนกัน ความรู้มากพอกัน เถียงกันก็รั้งแต่จะยื้อเวลา สู้หาเรื่องให้พวกนางเจ็บช้ำน้ำใจไม่ดีกว่าอีกหรือ
“ซิวหรง” เมื่อฮองเฮาอยากจะหยุดการโต้เถียง ฮ่องเต้ก็ยื่นมือเข้ามาทันใด
“เพคะ ฝ่าบาท”
ซิวหรงเงยหน้าสบตากับผู้ที่อยู่เบื้องบนด้วยแววตากลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์
“ครั้งนี้เจ้าทำเกินไป” ลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าว
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ฟังเช่นนั้นก็ลอบยิ้มมุมปากอยู่เงียบ ๆ ขณะที่เล่นกับผมตนเองราวกับไม่ใส่ใจ
เหวินซิวหรงอาจจะเป็นสตรีที่พยายามอยู่อย่างสงบ ทว่าคนเช่นนี้ย่อมมีขีดจำกัด ซึ่งผู้ที่จะมาทลายขีดจำกัดนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล หากแต่เป็นซิ่นเสียนเฟย
“เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรดี มเหสีที่รัก” ลี่กุนจวิ้นเฉินหันมาถามความเห็นเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ทั้งที่ตนคือผู้ครอบครองวังหลังที่แท้จริง
เมื่อฮ่องเต้จะกล่าวโทษ เหวินซิวหรงก็รีบมายืนกลางลาน โขกศีรษะขออภัยจนหน้าผากแดงเถือก
“ฝ่าบาท ฮองเฮา ได้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ”เสียงหวานของนางนั้นสั่นเครือ
เหวินซิวหรงเหมือนลูกนกตัวคนเดียว ที่จากบ้านมาไกลแสนไกล ไม่มีเส้นสายใด ๆ อยู่ในวังหลวงให้ฮ่องเต้ต้องหวาดระแวง แต่นั่นก็หมายถึง ไม่มีใครอาจปกป้องนางได้นอกจากตัวเอง
“แค่กักบริเวณก็พอแล้วเพคะ ฝ่าบาท” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาราวกับแม่พระผู้มีเมตตา
ทั้งที่ข้ามหน้าข้ามตาฮองเฮาควรจะมีโทษหนักกว่านี้ แต่นางกลับไม่คิดเอาความ
“อืม” ลี่กุนจวิ้นเฉินพยักหน้ารับแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ทุกอย่างในวังหลังเขาออกปากให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นดูแล เช่นนั้นก็ต้องทำตามที่รับปากเอาไว้อย่างเคร่งครัด
“แค่กักบริเวณ ข้าว่าสตรีบ้านนอกอย่างเจ้า น่าจะถูกส่งกลับไปอยู่กับครอบครัวคนป่าได้แล้วนะ”
เมื่อซิ่นเสียนเฟยได้ยินโทษของเหวินซิวหรงไม่นักหนาเท่าที่คิด นางก็อดกระซิบเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ออกมาไม่ได้ ซึ่งช่างเป็นอะไรที่เหมาะเจาะนัก เมื่อซิวหรงอยู่ห่างจากนางไม่กี่ก้าว ใกล้พอที่จะได้ยินทุกคำพูดที่อีกฝ่ายดูถูกตนเองและครอบครัว
“ท่านกล่าวอะไรออกมานะ”
เมื่อพูดถึงครอบครัว ซิวหรงผู้แสนเรียบร้อยพลันเลือดขึ้นหน้า จากที่คุกเข่าก็ลุกขึ้นหันไปเผชิญหน้ากับเสียนเฟยด้วยสีหน้าเดือดดาลและไม่เกรงใจผู้ใด แม้จะเป็นต่อหน้าฮ่องเต้หรือฮองเฮาก็ตาม
“ช่วยระวังกิริยาของตนเองด้วย ซิวหรง เจ้าไม่ไว้หน้าฮองเฮาเรื่องชุดแล้ว ยังจะทำลายงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ของฝ่าบาทอีกหรือ”
คราวนี้ถึงตาเสียนเฟยตีหน้าใสซื่อ นางกล่าวเหน็บแนมอีกฝ่าย แล้วยังพาดพิงเบื้องบนทำให้ซิวหรงดูกลายเป็นสตรีป่าเถื่อนที่ปฎิบัติตัวไม่รุ้จักกาลเทศะ
“เสียนเฟย ท่านจะว่าข้าอย่างไร ข้าไม่เคยคิดมาโกรธเคือง แต่การที่ท่านกล่าวร้ายใส่ครอบครัวข้า ข้ามิอาจยอม”
“ทำไมหรือ หรือเจ้ารับความจริงไม่ได้”
ซิวหรงกำหมัดแน่นพยายามข่มอารมณ์ที่เดือดพลุ่งพล่าน ฝ่ายคนรอบข้างต่างก็ชมละครเบื้องหน้าด้วยความสนุกสนาน จนลืมการระบำผ้าไหมไปจนสิ้น แม้แต่ฮองเฮาที่คล้ายกับเบื่อหน่ายเมื่อครู่ ยามนี้ถึงกับนั่งตัวตรงมองเรื่องราวตรงหน้าด้วยตาเป็นประกาย
“ท่านต้องเป็นคนเช่นไร เสียนเฟย” ซิวหรงส่ายหน้าไม่เข้าใจ
“ข้าก็เป็นผู้ที่มีเกิดมาในครอบครัวที่มีการสั่งสอนดีกว่าเจ้าอย่างไรล่ะ”
เพี๊ยะ!
สิ้นคำพูดของเสียนเฟย ซิวหรงก็มิอาจทนถูกวาจาย่ำยีได้อีกต่อไป นางพลั้งมือตบหน้าเสียนเฟยผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าโดยที่ไม่สนใจใครหน้าไหน นางรู้แค่ว่าเสียนเฟยต้องได้รับบทลงโทษ แม้หลังจากนี้นางจะกลายเป็นฝ่ายผิดเองก็ตาม
“ข้าชอบนาง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดโพล่งขึ้นมาหลังจากที่ทั่วทั้งลานกลับไปตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หลังจากที่ได้เห็นสตรีผู้แสนเรียบร้อยอย่างซิวหรงเผยด้านมืดออกมา บุคคลผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งอย่างเสวี่ยฮองเฮาก็พลันเปิดเผยสีหน้าเปล่งประกาย พร้อมรอยยิ้มร้ายบนใบหน้างาม น้ำเสียงของนางที่ผู้ออกมานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น จนฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ข้างกายลอบถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ
ลี่กุนจวิ้นเฉินได้แต่อิจฉาเหล่านางสนมที่สามารถดึงความสนใจเช่นนี้จากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไปได้ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ก็ไม่เคยได้ความสนใจจากนางขนาดนี้มาก่อน
“ฝ่าบาท ฮองเฮา หม่อมฉันต้องการความเป็นธรรมเพคะ”
เสียนเฟยล้มลง มือขาวเนียนกุมแก้มข้างซ้ายที่ถูกตบจนหันไปอีกทาง ดวงตาคู่งามเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ขณะที่ส่งสายตาน่าสงสารไปทางฮ่องเต้ ช่างน่านับถือที่เจ้าตัวสามารถเปลี่ยนจากสาวร้ายกลายเป็นผู้ที่อ่อนแอได้ในพริบตา ทั้งที่
เหวินซิวหรงก็ไม่ได้ออกแรงมากมาย แต่ซิ่นเสียนเฟยกลับทำให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่
กฎหลักอีกข้อของการอาศัยในวังหลวง คือต้องควบคุมอารมณ์ ใครที่เป็นฝ่ายระเบิดออกมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ถูก สุดท้ายก็จะถูกมองให้เป็นผิด อย่างเช่นเหวินซิวหรงในยามนี้ ที่ตกเป็นเหยื่อคำพูดของซิ่นเสียนเฟย
“ฝ่าบาท การที่พระสนมซิวหรงทำเช่นนี้ นอกจากจะไม่ให้เกียรติบุตรสาวกระหม่อมแล้ว เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่เห็นหัวกระหม่อมเช่นกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าราชทูตแคว้นเพ่ย ซิ่นจินหม่า บิดาของซิ่นเสียนเฟยก็อยู่ในงานเลี้ยง ด้วยฐานะของเขามิอาจทนเห็นบุตรสาวถูกทำร้ายโดยคนจากหุบเขาในดินแดนอันห่างไกลได้ ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องเข้าข้างเขา
เหวินซิวหรงทั้งล่วงเกินฮองเฮา แล้วยังล่วงเกินตระกูลซิ่นจากแคว้นสำคัญ ไม่ว่าอย่างไรเงาหัวของนางก็ต้องหายไปเกือบครึ่งแล้ว
“ใต้เท้าซิ่น เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของฮองเฮา เรามิอาจยุ่งเกี่ยว”
“แต่ฝ่าบาท เรื่องภายในวังล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การปกครองของฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าซิ่นโต้แย้ง ในคำพูดของชายวัยกลางคน สื่อออกมาเด่นชัดว่าไม่เห็นด้วยที่ฮองเฮาอยู่เหนือกว่าฮ่องเต้ในเรื่องนี้
“ฮองเฮาคือมเหสีของเรา การตัดสินใจของฮองเฮาก็คือการตัดสินใจของเราเช่นกัน หรือใต้เท้าซิ่นมีเรื่องใดจะโต้แย้ง”
“ใต้เท้าซิ่นจะกล่าวว่าการตัดสินใจของฝ่าบาทบกพร่องหรือ”
เสวี่ยฮองเฮาทนถูกกดขี่ได้ไม่นานก็ยื่นมือเข้ามาเกี่ยว แต่เดิมนางก็ไม่เคยชอบคนตรงหน้าอยู่แล้ว คิดว่าตนเองเป็นตัวแทนสำคัญจากแคว้นที่ส่งออกแร่ จึงทำตัวถือยศถือศักดิ์ กดขี่ข่มเหงผู้ที่ต้อยต่ำกว่า จนนิสัยเช่นนั้นส่งต่อมาให้บุตรสาวโดยไม่รู้ตัว
“กระหม่อมมิบังอาจ” ใต้เท้าซิ่นยอมถอยหนึ่งกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ฮองเฮาก็ต้องให้ความเป็นธรรมแกบุตรสาวและตระกูลของกระหม่อม อย่าให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้ามาประพฤติตนไม่เหมาะสมใส่เช่นนี้”
“ข้าจะลงโทษผู้ใดหรือมิลงโทษผู้ใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใต้เท้าต้องมากังวลแทน”
จบคำของฮองเฮา ใต้เท้าซิ่นก็เหมือนถูกตบหน้าเบา ๆ กลางสี่แยกในตลาด เขาคิดจะตอบโต้ แต่หากทำเช่นนั้นต่อไป สตรีหน้าใสใจคดก็คงจะหยิบยกอำนาจในมือมาข่มขู่กลับ ในยามนี้ชายวัยกลางคนผู้มีศักดิ์ต่ำกว่าจึงทำได้แค่กำมือกัดฟัน
“พ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ถ้าใต้เท้าซิ่นอยากให้ข้าตัดสินใจตรงนี้เลยก็ย่อมได้”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นระบายยิ้มกรีดกราย ดวงตาหงส์พลันประกายแววตาชั่วร้ายออกมาชั่ววูบก็จะหายไป มีเพียงผู้เดียวที่ทันสังเกตมัน นั่นก็คือลี่กุนจวิ้นเฉิน
ลางร้ายกำลังจะมาเยือน และต่อให้เป็นร้อยล้านเหตุผลก็ไม่อาจหยุดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น
“ซิวหรง เจ้าทำผิดฐานประพฤติตนมิให้เกียรติข้า ให้ลงโทษกักบริเวณ ห้ามออกจากตำหนักเป็นเวลาสามเดือน ลดจำนวนเครื่องใช้ทุกอย่างลงอย่างละครึ่ง รวมไปถึงเหล่านางกำนัลที่รับใช้”
“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา” ซิ่นเสียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนั้นยังไม่จางหายไป
“ส่วนเสียนเฟย...” ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเรื่องวุ่นวายกำลังจบลง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็พูดขึ้นมาต่อ “ในฐานะที่นำเรื่องผ้ามุกขึ้นมากล่าว จนทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต มีโทษปลดจากตำแหน่งเสียนเฟย ลดขั้นเป็นเจาอี๋ และส่งไปตำหนักเย็นอย่างไม่มีกำหนด”
“ฮองเฮา!”
ซิ่นเสียนเฟย... หรือซิ่นเจาอี๋และใต้เท้าซิ่นพร้อมด้วยครอบครัวต่างร้องเรียกเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นโดยพร้อมเพรียงกัน เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างฝั่งตระกูลนั้น ต่างก็พากันมานั่งคุกเข่าขอความเมตตา
“ฮองเฮาโปรดตัดสินใจใหม่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางของใต้เท้าซิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“คนของข้า... กฎของข้า... หากพวกท่านอยากจะเปลี่ยนกฎ เช่นนั้นก็ขึ้นมาเป็นฮองเฮาเสียสิ อ้อ...แต่คงทำไม่ได้สินะ ในเมื่อพวกท่านเป็นบุรุษ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเนิบช้า แม้จะไม่ใช่น้ำเสียงดูถูกแต่คำพูดกลับทำให้คนฟังเจ็บถึงกระดูกดำ
พวกเขาอาจจะเป็นบุรุษ ยิ่งใหญ่ได้ตำแหน่งการงานในเส้นทางขุนนาง แต่สตรีที่มีเพียงความงาม และถูกมองว่าด้อยค่ากลับสามารถยิ่งใหญ่จนได้เป็นถึงฮองเฮา หากฮ่องเต้ไม่กล่าว ใครหน้าไหนจะกล้าลุกขึ้นสู้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเบื่อแล้วเพคะ”
เมื่อหน้าที่ของตัวเองจบ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยจากการเล่นบทบาทฮองเฮา นางเหนื่อยทั้งกายและจิตใจ อยากจะหลบไปผ่อนคลายเป็นคนธรรมดาเสียที
“ได้ เช่นนั้นเราจะพาเจ้ากลับตำหนักเอง”
“ตำหนักเย็นเลยหรือ ซิ่นเสียนเฟยไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจถึงเพียงนั้น” ลี่กุนจวิ้นเฉินเอ่ยถามตัวร้ายข้างกายที่ทานอาหารดึกด้วยความสบายใจ แม้ตนเองจะเพิ่งส่งคนเข้าตำหนักเย็นไปหนึ่งคน
“ซิ่นเจาอี๋ ท่านต้องเรียกให้ถูกสิ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแก้ต่าง
“นางจะตำแหน่งอะไรข้าสนใจที่ไหน ข้าสนแค่ว่านางทำอะไรให้เจ้ามากกว่า”
“นางคิดจะดึงข้าลงจากตำแหน่ง”
ลี่กุนจวิ้นเฉินมีท่าทีเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น จากทุก ๆ ปัญหา ความกลัว เขาไม่เคยเดือดร้อนต่อสิ่งใด นอกจากภัยคุกคามที่มีต่อตำแหน่งฮองเฮาของนาง ต่อให้เป็นแค่ความคิด เขาก็ไม่อาจปล่อยให้คนที่คิดเช่นนั้นมีชีวิตอยู่ร่วมในที่เดียวกันได้
“ทำไมเจ้าไม่บอกข้า” เขาถามนางเสียงทุ้มต่ำ ไม่ได้นุ่มนวลอย่างที่เคย
“จวิ้นเฉิน ท่านไม่อาจปกป้องข้าได้ตลอดไป และบางเรื่อง ข้าจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพยายามอธิบายให้อีกเขาสบายใจ
แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล เมื่อใบหน้าที่งดงามราวกับหยกสลักของลี่กุนจวิ้นเฉินยังคนแข็งกระด้าง
“แต่เจ้าควรจะบอกข้าเรื่องนี้ ฮุ่ยหมิ่น หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ เรื่องตำแหน่งฮองเฮาไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่เจ้าจะมาปิดบังกับข้า”
“ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียหน่อย ท่านจะวิตกไปไย”
“แล้วหากเรื่องมันบานปลาย เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร หากซิ่นเสียนเฟยยกเรื่องนั้นขึ้นมาในวันนี้ที่งานเลี้ยง ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างไร ข้าทนเป็นฮ่องเต้โดยไร้เจ้าข้างกายไม่ได้หรอกนะ”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหยุดคีบอาหารเข้าปาก เมื่อเจอคำถามหนักหน่วงใจ โดยเฉพาะเรื่องนั้นที่นางแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ นับวันยิ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่น่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดวงตาหงส์คู่งามหลุบลงต่ำ มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ
ลี่กุนจวิ้นเฉินเมื่อจะรู้ตัวว่าทำให้สตรีในอาภรณ์สีขาวคิดมาก มือหนาที่อยู่ข้างกายพลันยกขึ้นมากุมมือน้อยที่เย็นเยียบ ค่อย ๆ ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้ด้วยความห่วงใย
เขาอยากจะโอบกอดนาง แล้วบอกว่าตนเองจะคอยปกป้อง ...แต่มิอาจทำได้
ทั้งเรื่องของความสัมพันธ์ และความเพราะความต้องการของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอง
“ข้ารู้ว่าท่านกลัว” แต่แล้วจากคนถูกปลอบ ก็กลายเป็นคนปลอบเสียเอง เมื่อเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นดึงร่างสูงเข้ามากอด “แต่เราสัญญากันแล้วมิใช่หรือ ว่าจะไม่มีวันแยกจากกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าและท่านจะเป็นสหายเคียงคู่กัน คอยช่วยเหลือกันตลอดไป”
คำพูดหวานนุ่มเอ่ยปลอบประโลม นางเองก็รู้ดีว่าลี่กุนจวิ้นเฉินกลัวที่จะสูญเสียนางไปมากแค่ไหน เพราะทั้งชีวิตที่เขาเติบโตมา น้อยคนนักที่จะเชื่อใจและอยู่ด้วยแล้วปล่อยวางเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น
เขาและนาง ต่างเชื่อมต่ออีกครึ่งของตัวตนไว้ที่กันเองและกัน ไม่แปลกที่พวกเขาจะกลัวสูญเสียความสัมพันธ์ในตอนนี้ไป เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรจะสูญเสียตัวตนอีกครึ่งหนึ่ง
คำว่าสหายจึงเหมาะสมในการเรียกความสัมพันธ์นี้ เพราะมันทั้งยืนยาว และมั่นคง มากกว่าคำว่า...
‘คนรัก’