บทที่ 49: ใครสามารถต้านทานมันได้บ้าง…
วิลเลียมและคนของเขาพร้อมด้วยลอทเนอร์ น็อกซ์ และนอร์ตันไปพบกับเอริคและลูกชายของเขา พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สวมใส่เสื้อขนสัตว์ที่ตัดมาจากขนของอสูรเวทย์ พวกเขาใช้ชีวิตแต่ละวันไปกับการล่าสัตว์อย่างใสสะอาดและไม่ชอบที่จะพบปะกับผู้อื่น
เมื่อมีเหยื่อจำนวนมาก ทั้งสองก็จะอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำอะไรข้างในนั่น แต่พวกเขาเป็นพวกที่ชอบอยู่ติดบ้านอย่างมาก ทั้งพ่อและลูกชายคู่นี้มักจะอุดอู้อยู่ในบ้านเสมอ
คันธนูสีดำคันยาวที่อยู่ในมือผู้อวุโสเอริคนั้นดูธรรมดาและไม่มีแสงสะท้อนใดๆภายใต้แสงอาทิตย์
ในสายตาของผู้ที่ได้เห็นโลกมานานเมื่อเห็นธนูคันนี้ย่อมรู้ได้ว่ามันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ตาเห็นแน่นอนและเป็นขุมทรัพย์ที่ดีต่อนักฆ่า หรืออย่างน้อยต้องเป็นอาวุธที่มีคุณภาพระดับทอง
อเล็กซ์มีดาบสั้นสองอันที่มีสีดำสนิทและคุณภาพของธนูยาวในมือของเขานั้นดีแต่เป็นเพียงระดับเงินเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่เป็นเพียงอาวุธสำรองของเขา
“หากท่านลอร์ดต้องการที่จะล่าสัตว์ ท่านไม่ต้องพาพวกเราไปเป็นตัวถ่วงพวกท่านหรอก เพียงท่านลอทเนอร์ก็แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องชีวิตท่านแล้ว” เอริคปฏิเสธคำขอของวิลเลียมโดยไม่ลังเล
อเล็กซ์ยืนเอามือวางบนเอวอยู่ข้างพ่อของเขาอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขากวาดไปรอบๆราวกับไม่สนใจโลก แต่ตามจริงแล้วเขาพร้อมที่จะดึงดาบออกมา เพื่อดูว่าผู้คนจะล้อมรอบพวกเขาเอาไว้หรือจะมีโอกาสสังหารคนที่ขัดขวางพวกเขาและหลบหนีไปได้สำเร็จหรือไม่
นักฆ่า!
กุญแจสำคัญคือไม่ใช่แค่การสังหารศัตรู
แต่เป็นการหนีให้รอดไปด้วยต่างหาก
นักฆ่าที่สามารถสังหารผู้คนและมีชีวิตรอดมาได้ถึงจะเป็นนักฆ่ามือหนึ่งตัวจริง
ผู้ที่ฆ่าศัตรูได้ แต่ตนเองต้องตกตายตามไปนั้นไม่ถือว่าเป็นนักฆ่า แต่เป็นได้แค่คนตาย…
วิลเลียมได้คาดการณ์ปฏิกิริยาของทั้งคู่ไว้อยู่แล้ว นักฆ่าจากองค์กรเงามืดไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เขาก็ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราได้ยินมาว่าท่านมีความสามารถ เรากำลังจะขึ้นภูเขาเพื่อไปกำจัดพวกโทรล ท่านสนใจหรือไม่?
“มีความสามารถ? ใครกล่าวกัน?” เอริคถามด้วยความระมัดระวัง
วิลเลียมยักไหล่ “ทุกๆคนต่างพูดอย่างนั้น แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในเมือง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีนักล่าคนไหนที่สามารถล่าอสูรเวทย์ระดับกลางได้นอกจากพวกท่านทั้งสอง”
“ล่าอสูรเวทย์ระดับกลางงั้นหรือ? นั่นเป็นเรื่องปกติมากใช่ไหม?” เอริคยังพูดไม่จบดีก็หุบปากไปเสียก่อน
หลังจากที่พ่อลูกคู่นี้มายังเมือง พวกเขาเงียบมากและทุกครั้งที่พวกเขาออกล่า พวกเขาจะเลือกอสูรขนาดใหญ่หรืออสูรเวทย์เสมอ
พวกเขาไม่ได้ต้องการสิ่งของอย่างเสื้อผ้า, อาหาร, ที่อยู่อาศัยหรือการขนส่ง พวกเขาต้องการเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นอสูรเวทย์ แต่นอกเหนือจากการทิ้งเนื้อไปบางส่วนและขนสัตว์แล้ว ทั้งสองก็จะขายส่วนที่เหลือในราคาต่ำหรือนำไปแลกสิ่งจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จากนั้นพวกเขาก็อยู่แต่ในบ้านตนเอง
แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากเท่าใดนัก พวกเขาจึงไม่รู้ว่าผู้คนคิดอย่างไรกับพวกเขา และค่อยๆลืมสถานการณ์ที่แท้จริงของเมืองไป
ในตอนแรกพวกเขามาเพราะพ่อของวิลเลียม และต้องการหาที่พักพิงที่ปลอดภัย แม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ พวกเขาก็ดูเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในป่า ใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่แยกตัวออกมา
“แต่เรายังไม่ได้สนใจ...”
“ท่านพ่อ” อเล็กซ์ขัดจังหวะการปฏิเสธของผู้เป็นบิดาและกล่าวกับวิลเลียมด้วยรอยยิ้ม “ได้โปรดรอสักครู่ เราจะไปเตรียมความพร้อมแล้วเดินทางไปพร้อมท่าน!”
วิลเลียมมองไปที่ชายทั้งสองที่เดินกลับเข้าไปในบ้านและปิดประตูลง
“ชิ...” นอร์ตันตีปากของเขาเบาๆก่อนจะมองด้วยสายตาแปลกประหลาด
………….
“อเล็กซ์ เจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว บอกข้าทีว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น” เอริคไม่เข้าใจ ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาก็มั่นคงดีและหลบหนีจากการตามล่าขององค์กรได้สำเร็จ หากพวกเขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่ว่าพวกเขาเปิดเผยตัวง่ายเกินไปหรือ?
อเล็กซ์จ้องมองไปยังดวงตาของบิดาอย่างตั้งใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านพ่อ เราไม่สามารถซ่อนตัวได้ตลอดไป หรือข้าควรจะพูดว่า ข้าไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร้ชื่อไปตลอดชีวิต”
“เจ้า...โตขึ้นแล้วสินะและเป็นนักฆ่าตัวน้อยเต็มตัวแล้ว” เอริคถอนหายใจ แรงของเขาหดหายไปทันทีที่นั่งลงอย่างคอตก
อเล็กซ์ค่อยๆก้มลงและจับมือของเอริคไว้ ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “ท่านพ่อยังหนุ่มยังแน่น แต่ข้าไม่ต้องการที่จะหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว ดาร์คชาโดว์นั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่พวกมันเป็นองค์กรในที่มืด หาเราเจอได้ไม่ง่ายนักหรอก”
“ข้าอยากให้การมีชีวิตของข้ามีค่า แทนที่จะรออย่างไร้ความหมาย แบกความอดทนจนกระทั่งแก่เฒ่า...”
“แต่ว่า...”
อเล็กซ์ร้องออกมาอย่างกระวนกระวาย “ท่านลืมสิ่งที่พวกเขาบอกกับเราไว้หรือ?”
“ข้ายังจำสิ่งที่ครูฝึกพูดได้”
“นักฆ่าสามารถซ่อนอยู่ในเงามืดได้ตลอดกาล เมื่อนักฆ่าเปิดเผยตัวตนออกมา นั่นก็คือตอนที่นักฆ่าได้หายไปแล้ว...”
“จำไว้ว่า เราได้ฆ่าผู้คนไปมากมายในที่ลับ ทั้งลอบโจมตี วางยาพิษ และอีกตั้งหลายอย่าง”
“มีคนมากเกินไปที่ต้องการทำลายพันธมิตรของดาร์คชาโดว์ แต่เพราะว่าเราไม่มีอาณาเขตและกลุ่มฝึกฝนที่แน่นอน ทุกๆอย่างก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข...”
“มันเยอะจนเราต้องเคลื่อนไหวในที่มืดตลอดเวลาและไม่เคยได้หยุดพัก นั่นคือเหตุผลที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้จริงๆ”
อเล็กซ์จำสิ่งที่ครูฝึกพูดได้ และยังคงกล่าวต่อไป “ดาร์คชาโดว์นั้นแข็งแกร่ง และเป็นองค์กรนักฆ่าระดับต้นๆของทวีปรีเจนดารี แต่พวกมันไม่ได้เป็นองค์กรข่าวกรองชั้นนำและไม่ได้มีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มากนัก ดังนั้นมันจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาพวกเราเจอ”
“ตราบใดที่เราติดตามท่านลอร์ดผู้มีความทะเยอทะยานท่านนั้น ไม่ช้าก็เร็วเราจะแข็งแกร่งขึ้น”
“จากนั้น เมื่อเราทั้งคู่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งแล้ว พวกดาร์คชาโดว์อาจจะลบเจตนาที่จะกำจัดเราไปก็ได้”
“ถูกแล้ว เราทั้งสองก็แค่นักฆ่าผู้หลอกลวง...” เอริคพยักหน้าอย่างสับสน เขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน แต่อีกด้านหนึ่งก็อยากจะเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
“ใช่แล้ว...”
………………..
เมื่อพวกเขาฟื้นความมั่นใจเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เปิดประตูออกมา
ทันใดนั้นกลิ่นอายของพวกเขาก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่ลอทเนอร์ก็เริ่มระแวดระวัง ความรู้สึกราวกับมีเงาสองเงายืนอยู่ตรงหน้าเขาและหากเขาหลับตาลง พวกเขาก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง…
“ข้าหวังว่าท่านลอร์ดคงจะไม่ได้รอนานเกินไป” เอริคยิ้ม
วิลเลียมยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เลย ถ้ามันทำให้ข้าได้เห็นฝีมือการล่าของท่าน”
“ฮ่าฮ่า โปรดอย่าผิดหวังเกินไปล่ะ” เอริคหัวเราะร่วน ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในป่าพร้อมกัน
ถ้ำโทรล
มีโทรลอาศัยอยู่นับสิบ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกมันทั้งหมดจะเป็นมอนสเตอร์สายเลือดระดับเริ่มต้น, กลาง, สูง และแกรนด์มาสเตอร์!
โทรลไม่ใช่อสูรเวทย์
พวกมันสามารถพูดได้ และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาในฝ่ายมืด แต่นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์พวกมันเองแล้ว ทุกสิ่งอย่างล้วนสามารถนำมาแบ่งสันปันส่วนได้
โทรลไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พวกมันกินจะเป็นพวกออร์คและปีศาจที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน
ความสูงของโทรลอยู่ที่ประมาณ 2.6 ถึง 6 เมตร
น้ำหนักประมาณ 750 ถึง 2000 กิโลกรัม!
อาวุธที่พวกมันใช้มักจะเป็นกระบองขนาดใหญ่…
นักล่าทั้ง 6 ที่มายังทะเลสาบสายรุ้งมองไปยังอาวุธในมือพวกโทรล มันทั้งหนา, ยาว และเต็มไปด้วยหนาม ลอทเนอร์อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ก่อนจะบ่นว่า “ใครสามารถต้านทานมันได้บ้าง?”
ในขณะเดียวกัน
คนที่เหลือทั้งห้าต่างก็มองเขาอย่างเงียบๆ...