ตอนที่แล้วบทที่ 3 - คำพูดคืออาวุธ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 - คนผิดคือผู้ชนะ

บทที่ 4 - งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์


หลังจากที่เสวี่ยฮองเฮาใส่ไฟสองนางสนมแห่งวังหลัง บรรยากาศทั่วทั้งตำหนักในก็เริ่มมาคุ เริ่มจากเหล่านางกำนัลที่แบ่งออกเป็นสองฝ่ายคอยกลั่นแกล้งกันไปมาระหว่างที่ทำงานให้ผู้เป็นนาย แน่นอนว่าเหวินซิวหรงย่อมตกเป็นรองเพราะกำลังคนน้อยกว่า แต่ด้วยความที่เป็นสตรีผู้ไม่หยิ่งในศักดิ์ จึงมีนางสนมคนอื่นคอยแอบช่วยอยู่ลับ ๆ จนสามารถต่อกรกับแผนการกลั่นแกล้งราวกับเด็กน้อยของซิ่นเสียนเฟยได้ กระทั่งมาถึงวันงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นในค่ำคืนนี้หยิบเอาชุดผ้าไหมสีขาวปักลวดลายนกกระเรียนและก้อนเมฆด้วยสีฟ้าอ่อนมาสวมใส่ อาภรณ์ของนางอาจดูเรียบง่ายแต่กลับเป็นชุดที่ส่งมาจากแคว้นเมืองขึ้นที่ขึ้นชื่อเรื่องการเย็บปักเป็นอันดับหนึ่ง และนอกจากเสื้อผ้านางยังคงสวมใส่เครื่องประดับมุกเนื้อเนียนบริสุทธิ์ที่มีราคาเกินกว่าจะตีมูลค่าได้

ทว่าแม้จะแต่งตัวด้วยสีโทนอ่อนดูสบายตา แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับแต่งหน้าด้วยโทนสีแดง เริ่มด้วยกรีดตายาวเฉียวคมลงแป้งสีแดงดุดันตามทับ และริมฝีปากบางอวบอิ่มก็ใช้ชาดสีแดงสดแต่งแต้ม ให้ความรู้สึกดุดันกลมกลืนไปกับความอ่อนโยน ซึ่งเป็นการรวมเข้าด้วยกันที่ลงตัวอย่างน่าประหลาด

“เจ้าคิดว่าอย่างไร หยาเอ๋อร์” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถามนางกำนัลคนสนิท ขณะที่ชื่นชมใบหน้าของตนเองที่สะท้อนออกมาจากคันฉ่อง

“งดงามมากเพคะ”

แน่นอนว่าหยาตาอิ้งต้องกล่าวชมผู้เป็นนาย

“สีขาวช่างบริสุทธิ์” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวพลางไล้ไปตามเนื้อผ้าสีขาวที่เรียบลื่น “แต่จืดชืดหากไม่มีสีสันมาเติมเต็ม”

เหมือนดั่งเช่นคืนพระจันทร์เต็มดวงที่สงบเงียบ จะหน้าตื่นตาไปได้อย่างไรหากไม่มีข่าวคราวจากวงในหลุดออกไปให้พูดคุย

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคิดถึงแผนที่วางไว้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“ข้าพร้อมแล้ว”

เสวี่ยฮองเฮาลุกขึ้นยืนปล่อยให้นางกำนัลทั้งหลายมาช่วยกันพยุงตนออกไปขึ้นเกี้ยวที่รอรับอยู่หน้าประตูใหญ่ นี่คือความสบายอย่างหนึ่งของการเป็นฮองเฮา นั่นคือนางแทบไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง จะนั่งนอนยืนเดินก็มีคนคอยปรนนิบัติ หากไม่หาเรื่องบันเทิงทำ สักวันนางคงเป็นง่อย

เบื้องหน้าประตูใหญ่มีเกี้ยวสีทองสลักลายหงส์ขนาดสิบหกคนหามรอต้อนรับ ม่านเกี้ยวเป็นสีแดงใช้ดิ้นสีทองปักลายหงส์เช่นเดียวกับตัวโครง บนยอดเกี้ยวเป็นหงส์หยกแกะสลักสีขาวเนียน ส่วนมุมสี่ข้างเป็นพู่สีแดงผสมทองห้อยประดับทั้งสี่ด้านพัดพลิ้วปลิวตามลม แม้จะเป็นยามค่ำคืนมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงรอข้างส่องแสง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความงามของเกี้ยวประจำตำแหน่งฮองเฮาลงได้แม้แต่น้อย

ขณะที่จะก้าวขึ้นเกี้ยว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็นึกอะไรขึ้นได้

“ช้าก่อน... หยาเอ๋อร์ ไปนำกล่องไม้ข้างหัวเตียงมาให้ข้าที”

“เพคะ”

หยาเอ๋อร์รับคำก่อนจะวิ่งเข้าไปเอากล่องไม้สีขาวขอบทองในห้องบรรทมฮองเฮาออกมา เมื่อกลับมาที่หน้าประตูใหญ่เสวี่ยฮองเฮาก็นั่งบนเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังคงรอให้หยาเอ๋อร์ส่งของมาให้

เมื่อกล่องสีขาวมาอยู่ในมือ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เปิดกล่องออกพบกับตุ๊กตาผ้าที่ปักมาได้งดงามวิจิตร ซึ่งจุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความงามแต่อยู่ที่ว่ามันเหมือนใคร

ตุ๊กตาผ้าสองตัวสวมใส่ชุดสีขาวปักด้วยผ้ามุกงดงามนอนแน่นิ่งขณะที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นลูบไล้เนื้อผ้าผืนนั้นในมืออย่างใจลอย

ถ้าหากเหวินซิวหรงพ่ายแพ้ แสดงว่านางแข็งแกร่งไม่พอที่จะอยู่ในวังหลัง หากเป็นเช่นนั้นคงต้องกำจัด

แต่หากซิ่นเสียนเฟยพ่ายแพ้ เช่นนั้นจุดจบของนางก็คงจะเป็นตำหนักเย็น

ไม่ว่าใครก็ตามแต่ที่พ่ายแพ้ หากเห็นเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนี้รอต้อนรับกลับคงจะชอกช้ำใจอยู่ไม่น้อย

“นำกล่องนี้ไปตั้งไว้ที่ห้องบรรทมภายในตำหนักเย็น ที่สำคัญ... อย่าให้ใครพบเจ้าเด็ดขาด” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นสั่งกับนางกำนัลคนหนึ่งที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม

นางกำนัลเมื่อได้รับคำสั่งก็น้อมกายรับเอากล่องสีขาวมากอดไว้ในอกแล้วเดินหายไปในเงามืด

ของในกล่องนอกจากเสวี่ยฮองเฮาก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันคืออะไร แม้จะสงสัยในการกระทำของนาง แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้แต่เงียบแล้วฝังมันเอาไว้ในส่วนลึก ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะนำไปซุบซิบนินทา เพราะจุดจบของคนปากมากในตำหนักฮุ่ยหมิ่นคือตายทั้งหมด

เพียงหนึ่งก้าวเข้าสู่งานเลี้ยง ทุกทุกคนต่างต้องก้มหัวให้กับเสวี่ยฮองเฮา แม้จะไม่ใช่สตรีหนึ่งเดียวที่ฮ่องเต้ครอบครอง แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ฮ่องเต้เอ่ยปากว่ามีสิทธิในการออกคำสั่งทุกอย่างเทียบเท่าตนเอง

แต่เดิมเป็นเพียงองค์หญิงน้อยที่เมืองเกิดส่งตัวมาเป็นเครื่องบรรณาการ ในวันนี้กลับกลายเป็นหงส์ผู้งดงามและสูงศักดิ์เกินกว่าจะอาจเอื้อม เหล่าขุนนางที่เคยดูแคลนเด็กสาวจากแคว้นเป้ย ในวันนี้ต่างต้องก้มหัวให้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

แน่นอนว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรู้เรื่องคำนินทาลับหลังพวกนั้นทุกอย่าง ทั้งคนที่คิดว่านางไม่เหมาะสม ทั้งคนที่คิดว่านางคือไส้ศึก ทั้งคนที่คิดว่าแคว้นของนางเป็นแคว้นคนบาป เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่เคยลืมทุกคำว่าร้ายเหล่านั้น แม้ทุกวันนี้นางจะไม่เก็บมาใส่ใจแล้วก็ตาม

ในเมื่อวันที่นางจะเหยียบย่ำคนเหล่านั้นมันง่ายดายเพียงแค่กะพริบตาเท่านั้น

“ถวายบังคมฮองเฮา ขอให้ฮองเฮาทรงเจริญพันปีพันพันปี”

เสียงกล่าวสรรเสริญดังขึ้นกึกก้องขณะที่ฮองเฮาเดินประประทับ ณ พระที่นั่งของตนเอง รอคอยการมาของฮ่องเต้อย่างใจเย็น ดวงตาหงส์คู่งามของนางในยามนี้กวาดไปทั่วลานกว้างริมทะเลสาบ ก่อนจะบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย เมื่อนั้นเสียงดนตรีอันไพเราะราวกับเสียงมนต์ขับกล่อม พลันเริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง

น้อยคนนักที่จะกล้าเงยขึ้นมองพระพักตร์ฮองเฮาตรง ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ซึ่งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแต่เดิมก็ไม่สนใจว่าใครจะบังอาจมิบังอาจ นางทำเสมือนตนเองอยู่คนเดียวในห้องส่วนตัว ขณะที่เริ่มมองสังเกตการณ์ไปทั่วเพื่อหาเป้าหมายที่ตนวางหมากทิ้งเอาไว้

ซิ่นเสียนเฟยในค่ำคืนนี้นางสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อน ปักลายด้วยดิ้นสีเขียวเข้มลวดลายบุปผาตระการตา ใบหน้าสวยคมของนางแต่งแต้มมาได้วิจิตรงดงาม ให้ความรู้สึกเหมือนกับใบไม้ที่สมบูรณ์แบบและเฉียบคมดุจดั่งใบมีด

ขณะเดียวกันเหวินซิวหรงก็สวมใส่ผ้ามุกที่ฮองเฮาได้มอบให้ ผ้าสีขาวนั้นเข้ากับผิวนางได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นจริงดังที่ฮองเฮาตรัสทุกคำว่านางช่างเหมาะสมกับผ้านี้ไม่มีใครเทียบ ความงามของนางช่างงดงามและบริสุทธิ์ราวกับไข่มุกแท้จากท้องทะเลลึก

คนหนึ่งแม้ไม่ได้งดงามที่สุดแต่มีตำแหน่งสูงกว่า ส่วนอีกคนแม้ตำแหน่งจะด้อยกว่าไปเพียงนิด แต่กลับงดงามดึงดูดสายตาผู้คน

ทว่าสิ่งหนึ่งที่เหวินซิวหรงทำพลาด แท้จริงแล้วผ้ามุกนี้เป็นผ้าที่ฮ่องเต้ประสงค์ที่จะให้ฮองเฮาสวมใส่ในคืนงานเลี้ยงทะเลจันทร์ หากบุรุษผู้นั้นมาเห็นเข้า ต่อให้เขาทำตัวนิ่งเฉยเรื่องที่ฮองเฮามอบผ้ามุกให้แก่ซิวหรง แต่เรื่องที่อีกฝ่ายนำมาใส่เหมือนกับเยาะเย้ยฮองเฮา บางทีบุรุษผู้นี้อาจไม่พอใจขึ้นมา...

งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ เป็นงานเลี้ยงที่จะจัดเพียงหนึ่งครั้งต่อปี มีขึ้นเฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวงสุกสกาวสว่างไสวมากที่สุด จุดประสงค์เพื่อให้เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ได้ผ่อนคลายชื่นชมแสงจันทร์ริมทะเลสาบ ตามหลักแล้วนี่คือความหมายของงาน แต่หากให้พูดกันตามตรง งานเลี้ยงนี้ไม่ต่างอะไรจากการถลุงเงินในท้องพระคลัง ทว่าเป็นการถลุงเงินอย่างมีประโยชน์โดยการใช้มันมาเป็นเครื่องซื้อใจขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก

อันที่จริงสตรีในงานล้วนแล้วแต่เป็นแค่ตัวประกอบ ที่มีมาเพื่อเป็นเครื่องประดับงานเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมาทั้งก่อนและหลังได้รับตำแหน่งฮองเฮา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอยู่อย่างเงียบสงบมาโดยตลอด นางมองดูสตรีรูปงามมากมายเป็นได้แค่ดอกไม้ประดับ แต่ในวันนี้สตรีเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้คุมหมากเอง

เริ่มจากฝั่งซิ่นเสียนเฟย คุณหนูใหญ่ของหัวหน้าราชทูตจากแคว้นเพ่ยที่ขึ้นชื่อเรื่องเหมืองแร่ เป็นเมืองขึ้นแคว้นช่างที่สำคัญแห่งหนึ่ง ด้วยความที่เสียนเฟยถือไพ่เหนือกว่าทางด้านการทูต นางจึงได้รับตำแหน่งที่สูงศักดิ์เหมาะสมแก่ฐานะ นางเป็นคนฉลาด แต่บางครั้งก็ใจร้อน และยังมีนิสัยเย่อหยิ่งติดตัวมาจากการเลี้ยงดู

จะให้อยู่ใต้หัวใครนาน ๆ ซิ่นเสียนเฟยมิอาจทนได้ เมื่อถึงปีสำคัญของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนางจึงเริ่มแข็งข้อ ทำตัวเหนือกว่านางสนมผู้อื่น ข้ามหน้าข้ามตาทั้งกุ้ยเฟยและเต๋อเฟย ประกอบกับมีฮ่องเต้คอยตามใจ จึงหลงระเริงไปชั่วขณะ ทว่าความภาคภูมิใจของนางกลับต้องมาสั่นคลอนเพราะนางสนมที่ยศต่ำกว่า

เมื่อได้โอกาสเล่นงานเหวินซิวหรง นางก็พลันคว้าเอาไว้ในทันที

ลี่กุนจวิ้นเฉินมาถึงภายในงานเลี้ยง หลังจากที่กล่าวทักทายเหล่าขุนนางและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ก็ถึงช่วงเวลาส่วนตัวที่เขาจะได้ใช้กับเหล่านางสนมผู้โชคดี ช่วงเวลาสี่ปีที่ขึ้นครองราชย์ ลี่กุนจวิ้นเฉินปล่อยให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางอย่างของงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ นั่นคือจากการที่เขาต้องเสวนากับนางสนมทั้งวังหลัง กลายเป็นว่าขันทีต้องสุ่มเพียงแค่สามคนเท่านั้น

“มเหสีที่รัก เจ้าคิดว่าการแสดงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ลี่กุนจวิ้นเฉินยกมือของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบาที่หลังมือเพื่อแสดงความรักใคร่ระหว่างฮองเฮาและฮ่องเต้ ดวงตาสีดำประกายแววตาลึกซึ้งขณะจดจ้องอยู่ที่สตรีชุดขาวข้างกาย

วันนี้เหมือนลี่กุนจวิ้นเฉินจะใจตรงกับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น เพราะตนเองก็สวมใส่ชุดสีขาวขอบทอง ลวดลายมังกรดั้นเมฆประกายอำนาจและเรียบง่าย งดงามเฉิดฉายแข่งกับดวงจันทรา

“ก็ดี” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบขณะที่สายตายังจดจ่ออยู่ที่ระบำผ้าที่พลิ้วไหวสะบัดไปมาราวกับคลื่นน้ำ

“งดงามใช่หรือไม่” ลี่กุนจวิ้นเฉินโดยที่สายตาจ้องมองอยู่ที่ใบหน้างามล้ำค่าของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น

“ศิลปะย่อมงดงาม แล้วท่านละ คิดว่าอย่างไร”

“เราก็ว่างดงามเช่นกัน” เขากล่าวเช่นนั้นขณะที่สายตายังอยู่ที่นาง

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรับรู้สึกถึงสายตาอันแรงกล้าที่มองมาจนใบหน้าเริ่มรู้สึกร้อนผ่าว จิตใจของนางเริ่มจะหลุดจากการแสดงเบื้องหน้ามาสนใจคนข้างกาย แต่ด้วยความสัมพันธ์ของคำว่าสหาย นางกลับเลือกที่จะเมินสายตาอันหนักแน่น แสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้สึก และผลักดันมันออกไปให้ไกลตัว

ทว่าลี่กุนจวิ้นเฉินเป็นชายหนุ่มไฟแรงผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ง่าย ๆ เขายังคงมองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นในด้วยแววตารักใคร่ จนนางมือไม้เริ่มไม่อยู่สุข

“มีอะไรติดหน้าหม่อมฉันหรือเพคะ” ในที่สุดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็หันมาเผชิญหน้ากับฮ่องเต้หนุ่ม

“เราแค่ชื่นชมความงามของมเหสีรักไม่ได้หรือ”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถลึงตา ราวกับนางกำลังตะโกนถามเขาว่า ‘ท่านเสียสติไปแล้วหรือไร’

“หม่อมฉันจะเห็นแก่ตัวเก็บสายตาอันสูงส่งของฝ่าบาทไว้แต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไรเพคะ ลานกว้างแห่งนี้ล้วนแล้วแต่มีสตรีโฉมงามเลิศล้ำกว่าหม่อมฉันยิ่ง หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทควรจะถนอมพวกนางให้มากกว่านี้นะเพคะ” หรือแปลอีกอย่างคือ ‘ท่าเลิกยุ่งกับข้าได้แล้ว’

“เราเป็นถึงฮ่องเต้ เจ้าเป็นฮองเฮา คิดว่าความเห็นของใครที่มีน้ำหนักมากกว่ากัน”

จบคำพูดไม่คิดของลี่กุนจวิ้นเฉิน ร่างทั้งร่างของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพลันแสดงท่าทีเย็นชาออกมา

“ย่อมเป็นความเห็นของฝ่าบาท” เสียงของนางแข็งกระด้างก่อนหันไปสนใจการแสดงตรงหน้าต่อ

หลังจากนั้นเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ทำเหมือนลี่กุนจวิ้นเฉินเป็นอากาศธาตุจนกระทั่งการแสดงจบลง

บุรุษผู้นั้นกล้าดีอย่างไรมาถือยศกับนางกัน หากเขาคิดว่าตนเองจะควบคุมนางได้ เขาคิดผิด!

ใบหน้างามล้ำของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปราศจากรอยยิ้มอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งลี่กุนจวิ้นเฉินเริ่มรู้ตัวว่าตนเองพูดผิดไป จึงคิดหาวิธีง้อนางอยู่เงียบ ๆ

เรื่องทุกอย่างต้องโทษชงซานผู้ที่บอกให้ฮ่องเต้แสดงความเป็นบุรุษ ซึ่งความหมายของเจ้าที่ปรึกษาผู้นั้นหมายถึงการแสดงความเป็นฝ่ายควบคุม ให้สตรีมองเห็นว่าเขามีความเป็นผู้นำ ทว่าจากที่ลี่กุนจวิ้นเฉินรู้จักเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมา นางไม่เหมือนสตรีผู้อื่น ที่ถึงแม้จะอยู่ในขนบธรรมเนียม แต่ก็ใช่ว่านางจะชมชอบหลักการที่บุรุษเป็นใหญ่กว่าสตรี ด้วยเหตุนี้เจ้าตัวถึงยื่นคำขาดเรื่องดูแลทุกอย่างในวังหลังทั้งหมด เพื่อป้องกันสตรีจะถูกกดขี่ข่มเหง ซึ่งการดูแลนี้ไม่ใช่แค่นางสนม แต่รวมไปถึงเหล่านางกำนัลในวังหลังทุกชีวิต

“ชงซานมันน่าจับไปเฆี่ยนให้ตายจริง ๆ” ลี่กุนจวิ้นเฉินพึมพำก่อนจะยื่นมือออกมากุมมือเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น

“ฝ่าบาททำผิด เหตุใดจึงไปกล่าวโทษผู้อื่น หรือการเป็นฮ่องเต้ทำให้ฝ่าบาทคิดว่าตัวเองถูกทุกอย่าง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวด้วยเสียด้านชา แต่ทุกคำพูดกลับแฝงไปด้วยความประสงค์ดีที่เตือนสติอีกฝ่ายว่าอย่างหลงระเริงในตนเอง เพียงเพราะคำว่าอำนาจ

“เราขอโทษ” ลี่กุนจวิ้นเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจ

กษัตริย์มักจะไม่ก้มหัวให้ใคร นั้นหมายถึงคำขอโทษจะไม่มีวันพูดออกมา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและลี่กุนจวิ้นเฉินเห็นคนประเภทนั้นมาหลายคนนัก และจุดจบของพวกเขาก็คือไร้ซึ่งคนจริงใจข้างกาย

“เช่นนั้นท่านต้องช่วยข้าหนึ่งอย่าง” นางยังคงใช้เสียงแข็งคุยกับเขา

“อะไรก็ตามแต่ที่ฮองเฮาทรงปรารถนา”

เมื่อได้รับคำมั่น เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็กลับมายิ้มร่าอีกครั้ง ก่อนจะกระซิบบอกลี่กุนจวิ้นเฉินถึงแผนการของตนเอง

ลี่กุนจวิ้นเฉินได้ฟังก็เบิกตากว้าง ก่อนจะหันมาพูดเสียงสูงกับมเหสีข้างกาย “เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ตอบอะไรนอกจากเสียงหัวเราะสดใสที่ดังไปทั่วลานงานเลี้ยง

“ฝ่าบาทก็ทรงคิดเหมือนหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ ซิวหรงสวมใส่ผ้ามุกแล้ว ผิวของนางช่างประกายงดงามเสียยิ่งกว่าแสงของดวงจันทราในค่ำคืนนี้เสียอีก”

ในตอนนั้นเอง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มกล่าวเสียงดัง ดังพอที่จะเรียกความสนใจจากเหล่าขุนนางและนางสนมให้หันขึ้นมามอง ณ แท่นบัลลังก์

“เราก็คิดเห็นอย่างที่เจ้ากล่าวทั้งสิ้น” ฮ่องเต้ก็เอ่ยชมซิวหรงออกมาเสียงดังเช่นกัน

“หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท ฮองเฮา” เหวินซิวหรงน้อมรับคำชมด้วยสีหน้าชื่นบานไปด้วยความสุข การที่คนสองคนที่นางเคารพรักเห็นนางอยู่ในสายตา จะมีสิ่งอื่นใดดีไปกว่านี้อีก

ซิ่นเสียนเฟยกำหมัดแน่น เมื่อข้างหูเริ่มได้ยินเสียงซุบซิบว่านางกำลังจะหลุดออกจากตำแหน่งสนมโปรดและอีกไม่นาน ซิวหรงอาจได้เลื่อนขั้นมาเป็นซูเฟย ผู้ที่มีศักดิ์เหนือกว่านาง

“ฝ่าบาท... ที่ซิวหรงสวมใส่อยู่คือผ้ามุกจากแคว้นเหยาเว่ย ที่ฝ่าบาทประสงค์จะให้ฮองเฮาตัดชุดสวมใส่ในคืนนี้มิใช่หรือเพคะ”

ไวกว่าความคิด ซิ่นเสียนเฟยพลันเอ่ยถามเรื่องผ้ามุกขึ้นมาเสียงดัง ความแค้นที่นางเสียหน้าในวันวานยังคงฝังแน่น เมื่อได้โอกาสเล่นงานศัตรูจึงหยิบขึ้นมาใช้ในทันที

เอาล่ะ ซิวหรง... นางคิดว่าตนเองจะได้ดีแค่เพราะมีฮองเฮาหนุนหลัง เช่นนั้นก็หาทางรอดจากข้อกล่าวหา ที่ประพฤติตนข้ามหน้าฮองเฮาให้ได้เสียก่อนเถอะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด