บทที่ 3 - คำพูดคืออาวุธ
‘...เป็นเจ้าที่อยู่ข้างกายข้า’
เสียงทุ้มยังคงก้องอยู่ในหูแม้เวลาจะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตาม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนอนดิ้นอยู่บนที่นอนยามฟ้าสร่าง ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ไม่อาจสลัดน้ำเสียงและแววตาอันแสนล้ำลึกของลี่กุนจวิ้นเฉินออกไปจากใจได้ ในได้แต่นึกโกรธชงซานที่อยู่เบื้องหลังท่าทีแปลกไปของฮ่องเต้หนุ่ม อีกใจก็โกรธคนผู้นั้นที่ฟังคำของเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางจะไม่ยอมให้ลี่กุนจวิ้นเฉินมาทำลายความสนุกของนางอย่างเด็ดขาด!
แทนที่จะสนใจเจ้าบุรุษความคิดประหลาด นางควรไปสนใจกับสตรีรูปงามข้างกายยังจะดีกว่า
“หยาเอ๋อร์” เสียงหวานร้องเรียกนางกำนัลข้างกาย
หยาเอ๋อร์รีบเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ราวกับว่ารออยู่นอกห้องมานานแล้ว
“เพคะ ฮองเฮา”
“เมื่อไรซิ่นเสียนเฟยกับเหวินซิวหรงจะทะเลาะกัน”
“อะ... อะไรนะเพคะ” หยาเอ๋อร์ทวนถามด้วยความไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“เฮ้อ... เมื่อไรเจ้าจะเข้าใจข้านะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถอนหายใจ
อยู่มาด้วยกันก็เนิ่นนาน แต่หยาเอ๋อร์ก็ยังมองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นฮองเฮาผู้ดีเลิศไม่เปลี่ยนแปลง ถูกมองเช่นนั้นบ่อย ๆ เข้า นางก็อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้
“หม่อมฉันขออภัยเพคะ ฮองเฮา”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ตอบอะไรขณะที่จมอยู่ในความคิด
ลี่กุนจวิ้นเฉินมีคนข้างกายที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องอย่างชงซาน แต่มองมาที่ตัวนางเองกลับไม่มีใครนอกจากเขา บางที
หยาเอ๋อร์ที่คอยติดตามนางมานานถึงสิบปีสมควรที่จะรู้ความลับนี้ และคอยทำหน้าที่ในฐานะมือขวาให้นางอย่างเต็มตัว
“เจ้าคิดว่าข้าดูเป็นคนอย่างไร” เสวี่ยฮองเฮาเอ่ยถามนางกำนัลคนสนิท
หยาตาอิ้งเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นนายช้า ๆ ด้วยแววตางุนงง แต่ก็ตอบด้วยเสียงฉะฉาน
“ฮองเฮาเป็นที่เปี่ยมด้วยเมตตามากเลยเพคะ”
“เมตตาหรือ...” เสวี่ยฮองเฮาพึมพำ ขณะที่มือและสายตาลูบไล้อยู่ที่ผ้าม่านมุกข้างเตียง “พวกเจ้าคงคิดว่าข้านั้นน่าสงสาร”
“หม่อมฉันมิบังอาจ” หยาตาอิ้งรีบลนลานตอบ
“หยาเอ๋อร์ ข้าไม่ว่าเจ้าเพียงแค่เพราะเจ้ามีความคิด แต่ข้าจะว่าเจ้าที่เจ้าตาทึบมองไม่เห็นความจริงเสียที”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบเอาสมุดภาพเหล่าโฉมงามในวังหลังออกมา แล้วเปิดไปที่หน้าหนึ่งก่อนจะยื่นมันให้หยาตาอิ้ง
“นี่มัน...”
หยาตาอิ้งจนคำพูด นางมองภาพในสมุดด้วยใบหน้าซีดขาว ซึ่งคนในรูปนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนไกลแต่คือนางเอง
“เจ้าเป็นสตรีที่รูปงามคนหนึ่ง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเดินวนรอบตัวหยาตาอิ้ง “ข้าเคยคิดที่จะให้เจ้ารับใช้ฝ่าบาท เพียงแต่... จิตใจเจ้าดีเกินไป”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจ...” หยาตาอิ้งเผลอทำสมุดภาพตกจนมันเปิดพลิกไปหน้าอื่นที่มีรูปสนมภายในวังหลังวาดเอาไว้
“สตรีที่มีจิตใจดีงามไม่เหมาะกับวังหลัง”
“ไม่มีผู้ใดดีงามเทียบเท่าฮองเฮาได้อีกแล้วนะเพคะ”
“ข้าน่ะหรือ” เสวี่ยฮองเฮาหัวเราะออกมา “โถ่ หยาเอ๋อร์... ข้าน่ะปีศาจร้ายแห่งวังหลังเลยล่ะ”
งานแรกของหยาตาอิ้งในการเป็นมือขวาของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือการสร้างข่าวลือ
แม้นางกำนัลตัวน้อยยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮองเฮาผู้แสนดีจึงเรียกตัวเองว่าปีศาจร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่นางเข้าใจในยามนี้คือ เสวี่ยฮองเฮาต้องการให้ซิ่นเสียนเฟยกับเหวินซิวหรงทะเลาะกัน และตัวนางเองคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้สองคนนั้นแตกคอ
“ข้าได้ข่าวลือมาว่าซิวหรงจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวคืนนี้” หยาตาอิ้งพูดคุยกับสหายนางกำนัลที่โรงครัว
“จริงหรือ ฝ่าบาทไม่เคยให้นางสนมคนไหนเข้าเฝ้าที่ตำหนักเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลยนะ”
“จริงสิ ข้าได้ยินฮองเฮาคุยกับฝ่าบาทมา”
“แต่ข้าได้ยินว่าเสียนเฟยมิใช่หรือที่กำลังเป็นคนโปรด” นางกำนัลอีกคนตะโกนถามเสียงดัง เรียกสายตาจากเหล่านางกำนัลทั้งหลายให้หันมาสนใจ
“เจ้าไม่ได้ข่าวหรือ ฮองเฮามอบผ้ามุกจากแคว้นเหยาเว่ยให้ซิวหรงด้วยตัวเองเลยนะ แต่กับเสียนเฟยทรงมอบให้นางกำนัลข้างกายเป็นผู้ดูแลแทน เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าใครกันแน่เป็นคนโปรด”
“อะไรนะ!” เหล่านางกำนัลในโรงครัวต่างร้องเสียงตกใจ
ไม่นานนักการนินทาใส่สีตีไข่ระหว่างเสียนเฟยและซิวหรงก็ดำเนินต่อไป ลุกลามเร็วไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ดังไปไกลจนถึงหูของเจ้าของเรื่องทั้งสอง
“หยาเอ๋อร์ ตามซิวหรงมาพบข้าหน่อย อ้อ... อย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องละ”
“เพคะ ฮองเฮา”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นวันนี้มีใบหน้าสดใสชื่นบานจากการได้ยินข่าวลือที่ดังกระฉ่อนไปทั่ววังหลัง นางได้กลิ่นสงครามลาง ๆ ภายใต้คำพูดนินทาในยามนี้
ซิ่นเสียนเฟยบุตรสาวของหัวหน้าอัครราชทูตจากแคว้นเพ่ย มีนิสัยของการเป็นคุณหนูใหญ่ผู้ถูกตามใจ ไม่รู้จักคำว่ายอมคนโดยเฉพาะกับผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่า ซึ่งคนที่นางเกลียดคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหวินซิวหรง สตรีบ้าน ๆ ติดดิน ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร
ทว่าคนบ้าน ๆ เช่นนั้น เหตุใดเสวี่ยฮองเฮาถึงเสนอให้เข้าวัง?
คำตอบก็คือเพื่อไว้ใช้ขัดขาเหล่านางสนมยศสูงนี่แหละ หากวันใดใครคิดที่จะโค่นนางลงจากบัลลังก์ คนคนนั้นก็ต้องผ่านบททดสอบให้ได้เสียก่อน จะเป็นฮองเฮาได้ไม่ใช่มีดีแค่หน้าตาหรือความสามารถ แต่ต้องเลือดเย็นเป็นสำคัญ จะมาอ่อนแอหลุดการควบคุมอารมณ์แค่เพราะข่าวลือไม่ได้
ใช่ว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่โปรดปรานซิ่นเสียนเฟย หากนางไม่ชอบก็คงไม่เสนอให้รับตำแหน่งเสียนเฟยทั้งที่เข้าวังมาได้แค่ปีเดียวหรอก แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบสตรีด้วยกันเองทั้งนั้น
ผ่านไปไม่นานนัก ซิวหรงพร้อมด้วยนางกำนัลคนสนิทก็มาถึงตำหนักฮุ่ยหมิ่นโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ตามความต้องการของฮองเฮา
เสวี่ยฮองเฮาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยเมตตา พร้อมทั้งสั่งให้นางกำนัลนำน้ำชาล้ำค่าจากต่างแดนมาต้อนรับโดยไม่คิดเสียดาย การกระทำอันแสนใจดีของนางในยามนี้ มีแต่จะทำให้เหวินซิวหรงรู้สึกระแวงเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“ถวายบังคมเพคะ ฮองเฮา”
เหวินซิวหรงย่อคำนับเสวี่ยฮองเฮาด้วยท่าทีนอบน้อม แม้จะถูกอีกฝ่ายมอบของร้อนให้กับมือ แต่เหวินซิวหรงก็มิอาจกล่าวโทษเสวี่ยฮองเฮาได้เต็มปาก ในเมื่อทุกคนต่างรู้ดีว่าฮองเฮาผู้นี้มีจิตใจดีงามมากเพียงใด ไม่เคยสักครั้งที่จะแสดงท่าทีอิจฉาริษยาใส่นางสนมของสามีตนเอง มีแต่ใจกว้างมอบของล้ำค่าให้อย่างไม่นึกเสียดาย อีกทั้งยังดูแลดีจนเหมือนเป็นพี่สาวแท้ ๆ เสียด้วยซ้า
“โถ่ ซิวหรง”
เสวี่ยฮองเฮาเมื่อพบหน้าเหวินซิวหรง นางก็พุ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น
“เอ่อ... ฮองเฮาเพคะ”
เหวินซิวหรงทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนเองควรจะกอดกลับหรือขยับหนีดี แต่สุดท้ายนางก็ทำได้แค่ยืนตัวแข็งทื่อจนกระทั่งเสวี่ยฮองเฮาเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็พบว่ายามนี้เสวี่ยฮองเฮามองมาที่ตนเองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” เสวี่ยฮองเฮาเอ่ยขึ้นโดยที่มือทั้งสองข้างยังกุมมือของเหวินซิวหรงเอาไว้
“เรื่องอะไรเพคะ” เหวินซิวหรงมีสีหน้าสับสน ต้องบอกว่ายามนี้ไม่มีสิ่งใดที่นางเข้าใจแม้แต่อย่างเดียว
“เรื่องของเจ้ากับซิ่นเสียนเฟยอย่างไรเล่า”
เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถอนหายใจพลางพาเหวินซิวหรงไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง จากนั้นก็สั่งให้นางกำนัลไปนำชาผู่เอ๋อร์มาต้อนรับ
ชาผู่เอ๋อเป็นชาหายากและราคาแพง ตัวน้ำชาเป็นสีดำ ดื่มครั้งแรกจะรู้สึกถึงกลิ่นแรงและรสชาติเข้มข้น แต่เมื่อดื่มครั้งต่อ ๆ ไป จะมีรสชาติที่ชวนให้ติดใจจนลืมไม่ลง แน่นอนว่าในวังมีชาชนิดนี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มีใครนำมาดื่มหรือแจกจ่ายโดยไม่สนใจมูลค่าอย่างเช่นเสวี่ยฮองเฮาแม้แต่คนเดียว
“ฮองเฮาคิดว่าหม่อมฉันควรทำอย่างไรดีเพคะ”
เมื่อได้ดื่มชาและได้รับความห่วงใยจากเสวี่ยฮองเฮา เหวินซิวหรงก็รู้สึกผ่อนคลาย และเริ่มเปิดใจปรึกษาปัญหากับสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า เพราะถึงแม้จะมีสามีเป็นบุรุษคนเดียวกัน แต่ในสายตาเหวินซิวหรง เสวี่ยฮองเฮามิใช่หนามยอกอก แต่เป็นเหมือนพี่สาวที่คอยช่วยเหลือทุกปัญหามากกว่า
“ข้ารู้ว่าข่าวลือทำให้เจ้าลำบากใจ แต่เดิมเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ชอบเป็นจุดสนใจแล้วแก่นแย่งชิงดีกับผู้ใด” เสวี่ยฮองเฮาพูดเปรยก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ “แต่เจ้าลืมไปหรือเปล่า สตรีทุกคนไม่ใช่มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเจ้าหรือข้า พวกนางย่อมมีความต้องการที่จะเอาชนะ นำไปสู่ความเกลียดชัง ซึ่งบางครั้ง คนเราก็มักจะเกลียดกันโดยที่ไม่มีเหตุผล”
“หม่อมฉันก็อยู่แต่ในที่ของหม่อมฉัน ไม่เคยไปก้าวก่ายหรือล่วงเกินผู้ใด แม้แต่ความโปรดปรานจากฝ่าบาท หม่อมฉันก็ไม่เคยคิดหวัง ซิ่นเสียนเฟยดีกว่าหม่อมฉันตั้งเพียงใด ผู้อื่นต่างก็รู้ดี ทำไมถึงได้เอาหม่อมฉันไปเทียบกับนาง”
“บางทีนี่อาจถึงเวลาที่เจ้าต้องลุกขึ้นสู้”
“สู้เพื่ออะไรเพคะ?”
“เพื่อมีชีวิต”
เสวี่ยฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมื่อพูดถึงชีวิต... สายตาของนางล่องลอยไปไกลเป็นเวลาเนิ่นนาน ไกลเกินกว่ากำแพงของวังหลวง ความทรงจำที่ถูกทอดทิ้งหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ในวัยเยาว์นางต้องจากบ้านเกิด ไร้ซึ่งบิดามารดาเลี้ยงดู มาอยู่ในดินแดนที่แปลกตา
ความโดดเดี่ยวในตอนนั้น เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบไม่มีวันลืม
“แต่หม่อมฉันไม่เคยอยากได้สิ่งใดนอกจากที่มีอยู่ในตอนนี้” เหวินซิวหรงส่ายหน้า ใบหน้าของนางเหมือนคนที่ไม่ต้องการต่อสู้กับใครจริง ๆ
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะสูญเสียทุกอย่าง ความสะดวกสบายในวันนี้ก็จะไม่เหลืออะไร วังหลังไม่ใช่บ้านหากแต่เป็นสนามรบสำหรับสตรี และคนอย่างซิ่นเสียนเฟยไม่ใช่สตรีที่ยอมรับกับคำว่าพ่ายแพ้ได้ง่าย แต่เจ้ามีสิ่งหนึ่งที่นางไม่มี”
“อะไรหรือเพคะ”
“ที่ที่เจ้าจากมา เจ้าทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ซิ่นเสียนเฟยมีคนคอยปรนนิบัติข้างกายตลอดเวลา ในวันงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ หากเจ้าแสดงความสามารถของสตรีที่พึ่งพาตนเองได้ต่อหน้าฝ่าบาท ข้าเชื่อว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากแน่ ๆ”
เสวี่ยฮองเฮาปล่อยให้เหวินซิวหรงจมอยู่กับความคิดของตนเอง
งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ เป็นงานเลี้ยงส่วนตัวในวังหลวงที่มีเพียงครอบครัวขุนนางยศสูงเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วม งานเลี้ยงจะจัดอยู่ที่ริมทะเลสาบจันทราในคืนพระจันทร์เต็มดวง นอกจากดนตรี การแสดง และอาหาร สิ่งที่พิเศษสำหรับนางสนมคือการได้ใช้เวลาส่วนตัวร่วมกับฝ่าบาท
แต่ละคนจะมีเวลาของตัวเอง ลำดับการเข้าพบจะเป็นการสุ่มจากป้ายชื่อ ใครที่โชคดีได้เข้าพบก่อนแล้วทำให้ฝ่าบาทถูกใจก็จะได้ใช้เวลาทั้งคืนชมจันทร์ด้วยกันสองต่อสอง ส่วนนางสนมคนอื่นที่โชคร้ายต้องกลับตำหนักไปอย่างเดียวดาย
ซึ่งเรื่องการสุ่มป้ายชื่อ เสวี่ยฮองเฮามีอำนาจมากพอที่จะสั่งให้คนสุ่มหยิบได้ชื่อคนที่นางต้องการ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง ล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือนางทั้งสิ้น
“นางพูดเช่นนั้นเลยหรือ”
ซิ่นเสียนเฟยสตรีผู้มีใบหน้าสวยคมราวกับใบมีดหันมาเผชิญหน้ากับเสวี่ยฮองเฮาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด หลังจากที่ได้ยินประโยคที่สตรีผู้สูงศักดิ์เพิ่งกล่าว
“ข้าได้ยินเช่นนั้นมาจริง ๆ นางกล่าวว่าเหตุใดข่าวลือถึงต้องเอานางไปเทียบกับเจ้า” เสวี่ยฮองเฮาแสดงสีหน้าใจหายเมื่อทวนคำพูดออกมาอีกครั้ง
“นางคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ก็แค่สตรีจากหุบเขาบ้านนอก ต้องเป็นข้าต่างหากที่ต้องกล่าวเช่นนั้น” ซิ่นเสียนเฟยขึ้นเสียงสูง
การถูกย่ำยีโดยสตรีที่ต้อยต่ำกว่าเป็นสิ่งที่ซิ่นเสียนเฟยมิอาจยอม เรื่องข่าวลือในตอนแรก นางก็ไม่คิดจะใส่ใจเพราะแต่เดิมนางก็เผชิญกับเรื่องเช่นนั้นมาเกินกว่าจะนับครั้งได้ แต่เรื่องที่ฮองเฮานำมาบอกด้วยตนเอง เรื่องนี้นางคงแสร้งทำเป็นไม่เห็นมิได้
“เจ้ามีตำแหน่งที่สูงกว่านาง พื้นฐานชาติกำเนิดก็ดีกว่านาง เจ้าจะปล่อยให้ชื่อเสียงของตนเองแปดเปื้อนต่อไปเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่เห็นแก่หน้าตนเอง ก็เห็นแก่หน้าข้าที่เป็นคนดูแลเจ้าด้วย”
“หม่อมฉันสำนึกในบุญคุณของฮองเฮาอยู่เสมอเพคะ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการวางแผน” ซิ่นเสียนเฟยเม้มริมฝีปากแน่น ขณะพยายามข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้
“เจ้าคงต้องรีบเสียหน่อยนะ งานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์จะมาถึงในไม่ช้า ข้ายังได้ยินข่าวลือมาอีกว่าเหวินซิวหรงติดสินบนขันทีผู้ดูแลเรื่องการสุ่มป้ายชื่อด้วยนะ”
“นางกล้าถึงเพียงนั้นเลยหรือเพคะ”
ซิ่นเสียนเฟยไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่ความสัมพันธ์ของนางกับฮองเฮาไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน และเท่าที่นางจำความมาได้ เสวี่ยฮองเฮาก็มักจะช่วยเหลือนางเสมอไม่ว่าเป็นเรื่องใด บางครั้งยังมีน้ำใจมอบสิ่งของล้ำค่างดงามมาให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเสียด้วยซ้ำ
หากเป็นคนอื่น ซิ่นเสียนเฟยอาจจะไม่เชื่อ แต่เมื่อเป็นเสวี่ยฮองเฮา นางย่อมไร้ความคิดเคลือบแคลง
“ข้าทำได้เพียงแค่เตือนเจ้าเท่านั้น ข้าเป็นผู้ดูแลเจ้ามาตั้งแต่เจ้าเข้าวังมา ย่อมไม่อยากเห็นเจ้าไม่สบายใจ” เสวี่ยฮองเฮากุมมือซิ่นเสียนเฟยอย่างอ่อนโยน นางสบตาไปที่ดวงตาคมเฉียวของอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ
หากบอกว่าสตรีผู้ใดที่แสดงละครได้แนบเนียนที่สุดในวังหลังก็คงไม่พ้นนางเองนี่แหละ
ปิดบังตัวตนอันร้ายกาจไว้ด้วยใบหน้าของแม่พระผู้มีเมตตา ต้องขอบคุณประสบการณ์ในวังหลวงนานนับสิบเจ็ดปีที่สั่งสม ทำให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นเสวี่ยฮองเฮาได้อย่างในทุกวันนี้
หลายเดือนมานี้นางแสนจะเบื่อหน่ายกับความสงบสุขในวังหลัง คราวนี้แหละ...นางจะทั้งปั่นหัว สร้างแผนการ ทำทุกอย่างให้สตรีในกรงทองแห่งนี้หันมาตีกันเองให้หมด
เริ่มด้วยคู่แรก... ซิ่นเสียนเฟยและเหวินซิวหรง