ตอนที่ 9 นี่มันขอบคันหินจริงๆเหรอ?
ตอนที่ 9 นี่มันขอบคันหินจริงๆเหรอ?
หลิวเฟิ่งจิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมการบริหารเทศบาลที่เพิ่งดุด่าหานโหย่วเผิงได้รับโทรศัพท์จากเขาว่ามีข่าวสำคัญมารายงาน
ในเวลานั้นผู้อำนวยการหลิวกำลังประชุมอยู่ชั้นบนกับผู้อำนวยการและหัวหน้าสำนักงานคนอื่นๆของเมือง พวกเขาหารือเกี่ยวกับการตรวจสอบในอีก 3 เดือนหน้านี้และวิธีที่พวกเขาจะใช้เปลี่ยนโฉมหน้าของเมือง
หากเพียงแค่ทำความสะอาดเมือง นั่นเป็นไอเดียที่ไม่ผ่าน ไม่ได้เรื่องและโง่เง่า
ในประเทศนี้มีเมืองกว่า 700 เมืองและมีเขตเทศบาลเกิน 1600 เขต
เหตุใดจึงมีเพียง 31 เมืองที่ได้ขึ้นว่าเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมมากที่สุดในประเทศ
การฝึกปฏิบัติด้านสุขอนามัยแม้แต่เด็กอนุบาลก็ทำได้ พวกเขาทำได้ดีมากทีเดียว เด็กๆสามารถทำความสะอาดลานโรงเรียนให้เป็นระเบียบและสะอาด
ดังนั้นหากชื่อเสียงของเมืองมาจากการฝึกปฏิบัติด้านสุขาภิบาลเท่านั้น นั่นเป็นเกียรติยศสูงสุดและยากที่สุดที่จะบรรลุได้ แล้วก็ยังเป็นเรื่องไร้สาระเพราะเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ
การตรวจสอบเป็นเวลาสามปีเป็นการตรวจสอบตามเป้าหมายที่ครอบคลุม เช่น ความปลอดภัยสาธารณะ อัตราการเกิดอาชญากรรม อัตราการจ้างงาน คุณภาพอากาศและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกตรวจสอบในภาพรวมไปแล้วในสองปีแรกการตรวจสอบ
ในปีที่สามเป็นการประเมินแบบครอบคลุมซึ่งทีมงานตรวจสอบจะเข้ามาทำการประเมินผลในพื้นที่
หลังจากที่ล้มเหลวในการตรวจสอบในพื้นที่มาครั้งที่เท่าใดไม่ทราบ เขตเทศบาลนครจงหยุนใช้ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะจากความล้มเหลวก่อนหน้านี้และการวิจัยระยะยาวเกี่ยวกับเมืองที่ผ่านการตรวจสอบมากำหนดเกณฑ์การพิจารณา
มีจุดสำคัญสามจุดที่ต้องคำนึงถึง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเมือง
ด้านวัฒนธรรมของเมือง
ลักษณะพิเศษของเมือง
สำหรับความสะอาดของเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก็เหมือนที่ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็น Miss World ได้ หากเมืองเต็มไปด้วยขยะหรือรอยแตกไปทั่วก็จะไม่ผ่านเงื่อนไขด้วยซ้ำ
สำนักงานการก่อสร้างเมืองเป็นผู้ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานและแผนการก่อสร้างถนนของเมืองจงหยุนทั้งหมด ดังนั้นความกดดันของการทดสอบครั้งใหญ่นี้จึงขึ้นอยู่กับสำนักงานการก่อสร้างของเมืองเป็นหลัก
ภายใต้อิทธิพลของแรงกดดันนี้หัวหน้าทุกแผนก หัวหน้าทุกสำนักงานและรองหัวหน้าทุกคนล้วนทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เพื่อระดมความคิดที่จะทำให้เมืองสวยงามขึ้น
การอภิปรายในห้องประชุมทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทรุนแรง บางคนเชื่อว่าจงหยุนควรจะชูโรงด้านวัฒนธรรมให้เป็นลักษณะพิเศษ ต้องส่งเสริมและแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานต่อสาธารณชน คนอื่นๆเชื่อว่าการพึ่งพาเพียงวัฒนธรรมนั้นไม่เพียงพอ แม้แต่เมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีก็ถูกตัดออกจากรายการ ดังนั้นจึงชัดเจนว่าความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมไม่สามารถใช้เป็นตัวชูโรงได้ เหลือเพียงด้านเทคโนโลยีเท่านั้น
ปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีพัฒนาการใหม่ทุกวัน หากมีสามารถนำเครื่องมือไฮเทคทั้งหลายมาใช้อำนวยความสะดวกในเมืองก็อาจจะได้รับการชื่นชมจากทีมตรวจสอบ
คนที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาคือหัวหน้าแผนกคนหนึ่งที่เคยไปเยี่ยมชมเมืองในต่างประเทศที่มีจุดเด่นคือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไฮเทค
“เราต้องการทั้งเทคโนโลยีและวัฒนธรรม”
หัวหน้าสำนักงานการก่อสร้างเมือง เล่อเจิ้งตง กล่าวว่า “เมื่อวานนี้ในระหว่างการประชุมระดับผู้นำเมือง เราทุกคนต่างตกลงกันว่าเราไม่เพียงแต่ต้องรักษามรดกทางวัฒนธรรมของเมืองเท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมโครงการที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชน”
“ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากเหล่าผู้นำของเมืองนั้นชัดเจนมาก เราจำเป็นต้องมุ่งเน้นทั้งด้านวัฒนธรรมและด้านเทคนิคของเมือง ในอีก 3 เดือนข้างหน้างานทั้งหมดของเราจะต้องเน้นไปที่สองประเด็นนี้”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการพูดของหัวหน้า แม้ว่าเสียงเรียกเข้าจะไม่หนวกหูและมีเพียงบรรดาผู้อำนวยการและหัวหน้าสำนักในการประชุมเล็กๆนี้ จึงไม่มีใครปิดโทรศัพท์มือถือเลย หัวหน้าหยุดพูดและมองที่หลิวเฟิ่งจิน ผู้อำนวยการด้านวิศวกรรมบริหารเทศบาลราวกับกำลังบอกให้เขารีบรับสาย
ห้องประชุมเงียบสงัดเมื่อหลิวเฟิ่งจินมองดูเบอร์ที่โทรมาและถามออกไปด้วยความโกรธ “ฉันไม่ได้บอกเหรอว่าตอนนี้กำลังประชุมอยู่ มีอะไรก็รีบพูดมาเร็วๆ”
“ผู้อำนวยการหลิว เรื่องใหญ่มากครับ ใหญ่มากๆ!” หานโหย่วเผิงตะโกน ในห้องประชุมที่เงียบสงัดแม้แต่หัวหน้าเล่อเจิ้งตงผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะก็ยังได้ยินชัดเจน
“รอฉันประชุมเสร็จแล้วกัน” หลิวเฟิ่งจินกดปิดโทรศัพท์อย่างแรง
“อาจเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับคุณนะ” หัวหน้าเล่อเจิ้งตงดูเวลา “เอาล่ะ การประชุมของเราวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนกลับไปพักแล้วมาเสนอแผนใหม่กันในวันพรุ่งนี้นะ”
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ผู้อำนวยการคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับประตูก็เปิดมันออก หานโหย่วเผิงที่รออยู่ข้างนอกก็พุ่งเข้ามาในห้องทันที
หานโหย่วเผิงที่มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ อีกข้างถือรูปภาพสองสามรูปหน้าแดงก่ำเหมือนกุ้งย่าง “แค่ 60 เองครับ ผู้อำนวยการ!”
หลิวเฟิ่งจินโกรธจนหน้าแดง หานโหย่วเผิงเป็นคนในแผนกของเขา ตอนนี้ผู้นำในสำนักงานการก่อสร้างเมืองอยู่ที่นี่ทั้งหมด นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของเขาหรือ?
หลิวเฟิ่งจินตัดสินใจแล้วว่าเมื่อกลับไปที่แผนก เจ้าเด็กนี่ต้องได้รับบทเรียนแน่ๆ
หัวหน้าสำนักงานการก่อสร้างเมือง เล่อเจิ้งตงยืนอยู่และดูไม่ชอบใจ “เสี่ยวหาน เธอกังวลเรื่องอะไร ไม่รู้จักเก็บอารมณ์เลย”
“เอ่อ ~ หัวหน้าให้ผมอธิบายเถอะครับ” ทันใดนั้นหน้าของหานโหย่วเผิงก็เปลี่ยนจากแดงเป็นซีด เขารู้ตัวว่าตนเองตกอยู่ในปัญหาแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มและไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้เมื่อเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปจากความคิด
คนที่เป็นข้าราชการก็ไม่ได้เป็นบ้าเสียหน่อย หัวหน้าและผู้อำนวยการทุกคนเข้าใจ หานโหย่วเผิงคงเผชิญหน้ากับเรื่องที่ใหญ่มากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ทำผิดพลาดแบบนี้
หัวหน้าโกรธแต่ก็ยังอนุญาตให้เวลาหานโหย่วเผิงได้อธิบาย
หานโหย่วเผิงรู้สึกกลัวจนลืมความลิงโลด เขาเข้าใจว่าหากเขาไม่อธิบายอย่างชัดเจนคงจะต้องถูกพิพากษาไปตลอดชีวิตที่เหลือแน่
ดังนั้นเขาจึงพยายามเค้าความพยายามออกมา 200% เพื่ออธิบาย
“รูปนี้ครับ หัวหน้ารับไปดูสิครับ” หานโหย่วเผิงที่ตัวสั่นส่งรูปในมือให้กับหัวหน้าและผู้อำนวยในห้อง
ในรูปคือหินอ่อนชิ้นหนึ่ง บนหินอ่อนมีรูปสลักอยู่
ในฐานะหัวหน้า เล่อเจิ้งตงอยากจะตำหนิว่าทำไมถึงเอะอะโวยวายเพราะรูปนี้รูปเดียว แต่ไม่มีคำด่าออกมาจากปากของเขาเพราะเขาลืมเรื่องนั้นไปอย่างชัดเจน
เขาถูกดึงดูดโดยหญิงสาวในราชสำนักผู้สง่างามในภาพไปอย่างสิ้นเชิง
สวย!
นี่คือความคิดครั้งแรกของเขา
งานศิลปะ!
นี่คือความคิดที่สอง
แขนเสื้อที่พลิ้วไหวและ coiled legs เหล่านางฟ้าที่เพรียวบางและอ่อนโยนถูกแกะสลักลงบนแผ่นหินอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังดึงเอาคุณค่าทางศิลปะที่ไม่มีอยู่ในแผ่นหินออกมา
ดวงตาที่ดูเกียจคร้านแต่มีเสน่ห์ ท่ารำแบบดั้งเดิมเหล่านั้น ราวกับว่าภาพนี้มีชีวิต ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเคลิบเคลิ้ม อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
ผู้อำนวยการคนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนกัน บางคนก็หรี่ตาลงจนเหลือเพียงขีดเล็กๆ
ผู้ชายน่ะ ต่อหน้าสิ่งที่สวยงามแล้วก็ทำแบบเดียวกันทั้งนั้น หานโหย่วเผิงหัวเราะ หัวเราะเพราะตอนนี้เขามั่นใจแล้ว
พวกเขาทุกคนต่างก็หลงเสน่ห์หญิงสาวในราชสำนักบนแผ่นหินนี้ และคงจะไม่ได้สังเกตอย่างแน่นอนว่าจริงๆแล้วแผ่นหินนั้นเป็นตัวเด่น
หานโหย่วเผิงจึงต้องเตือนทุกคนถึงเหตุผลที่เขาโผล่พรวดเข้ามาในห้องประชุม
“หัวหน้าครับ ถ้าหญิงสาวในราชสำนักเหล่านี้ถูกแกะสลักลงบนขอบถนนบนถนนสายหลักๆของจงหยุนแล้วจะเป็นอย่างไรครับ?” หานโหย่วเผิงกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“อะไรนะ?” หัวหน้าเล่อเจิ้งตงและผู้อำนวยการคนอื่นๆต่างก็ลุกพรวดจากเก้าอี้
หัวหน้าเล่อเจิ้งตงจับภาพด้วยมือที่สั่นเทาเมื่อเทียบกับตอนที่หานโหย่วเผิงโผล่พรวดเข้ามาในห้องประชุมแล้วเขาดูตื่นเต้นมากกว่าด้วยซ้ำ
เขาคว้าไหล่ของหานโหย่วเผิง ตัวสั่นและพูดไม่ปะติดปะต่ออย่างเห็นได้ชัด “เธอพูดว่าอะไรนะ? นี่เป็นขอบถนนเหรอ?”
จากนั้นหัวหน้าเล่อเจิ้งตงก็จำได้ว่าหานโหย่วเผิงตะโกนอะไรบางอย่างตอนที่เขาโผล่เข้ามาว่า 60 60
อย่าบอกนะว่า ......
เขากำลังพูดถึงราคาของขอบคันหินนี่?