คาถาที่ 29 : สิ่งที่อยู่ในตัว
กรี๊ด !
เสียงร้องของใยไหมร้องดังออกมาอย่างตกใจกลัว พร้อม ๆ กับเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นมาพร้อมกัน เจ้าตัวมือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก หลังจากร่างที่จับตัวไว้เมื่อไม่นานล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ในสภาพที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนเห็นแล้วจะทนไม่ส่งเสียงร้องออกมาได้ สภาพศพของซิลเวียช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองร่างของแฟนหนุ่มตัวเองที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างหวาดกลัว ก่อนจะได้สติ รีบเดินขากระเผลกเพราะถูกยิงไปหากลุ่มเพื่อนที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ใยไหมได้แต่คิดในใจว่า คนตรงหน้าไม่ใช่ชาบู ... ไม่ใช่ ...
ทุกคนต่างอึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลงานของชาบู สภาพรอบกายตอนนี้เต็มไปด้วยศพหลายศพที่ตายอย่างสยดสยองโดยเฉพาะซิลเวีย เลือดไหลนองไปทั่วพื้น ปนอยู่กับสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำมาชำระล้างพื้นที่บริเวณนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แม้กระทั่งคีย์บอร์ดที่ดูมีสติมากที่สุดก็ถึงกับยืนนิ่ง เขาเป็นยมทูตก็จริง เคยเห็นวิญญาณและศพในสภาพเละเทะมาแล้วก็มาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่มันดูเลวร้ายผิดธรรมชาติขนาดนี้มาก่อน
เปรี้ยง !
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมา สร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัวเข้าไปอีก แสงที่เกิดจากฟ้าผ่าสะท้อนเสี้ยวหน้าของชาบูที่ค่อย ๆ หันหลังกลับมามองกลุ่มเพื่อนของตัวเองอย่างช้า ๆ ดวงตาสีดำสนิทที่ไม่มีตาขาวไล่มองใบหน้าของแต่ละคนแล้วแสยะยิ้ม
“ไหม ! ไอ้อิฐ ! ไอ้แมท !” คีย์บอร์ดร้องขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อหันไปมองใบหน้าของเพื่อนข้างตัวแต่ละคน
ภาพที่เห็นคือใบหน้าของแต่ละคนมีเลือดกำเดาไหลออกมาจากทางจมูก และมันไม่ได้มีแค่เลือดกำเดาที่ไหลออกมา เลือดไหลออกมาจากทั้งทางตาและหูของทั้งสามคนเป็นทางยาว แต่ละคนต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองพลางยกมือขึ้นมาแตะเลือดที่ไหลย้อยออกมา มีเพียงคีย์บอร์ดที่ไม่ได้รับผลกระทบ เขามองร่างฟองนมที่นอนสลบอยู่ห่างออกไป ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเช่นกัน แต่ชาบูกำลังจะทำอะไร นี่พวกเขาเป็นเพื่อนมันนะ
สิ่งที่ชาบูทำเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ไม่ใช่เขาไม่คิดจะเข้าไปห้าม แต่เขาทำอะไรไม่ได้ต่างหาก เขาเคยเห็นมันเกือบจะฆ่าคนครั้งหนึ่งตอนที่ใยไหมถูกจับตัวไป แต่ครั้งนั้นกับครั้งนี้มันต่างกัน ครั้งนี้มันเหมือนมีความกดดันมหาศาลจนเขาแทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย
“ไอ้ชา นี่พวกกู ! มึงทำอะไร หยุดได้แล้ว !” คีย์บอร์ดตะโกนแข่งกับสายฝนร้องเรียกเพื่อนของตัวเองที่กำลังลอยเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว ชาบูดูไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของเขา
ชาบูเพื่อนที่เขารู้จัก ... ไม่มีทางที่จะฆ่าคนโดยไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นได้
“ไอ้ชา มึงได้ยินกูไหม ! มีสติดิวะ”
“ไอ้ชา !”
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต้องแย่แน่ เพื่อนทั้งสามคนของเขาล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้วในตอนนี้ ทั้งใยไหม แมทธิว และอิฐ คีย์บอร์ดเรียกเคียวยมทูตของตัวเองออกมา เขาไม่ได้ต้องการจะทำแบบนี้ ไม่ได้อยากจะทำร้ายมันเลย แต่เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคือตัวอะไร ที่แน่ ๆ มันไม่ใช่เพื่อนของเขาอีกแล้ว คีย์บอร์ดใช้พลังทำให้ร่างของฟองนมลอยมารวมอยู่ในกลุ่มแล้วสร้างบาเรียครอบเอาไว้ เพื่อป้องกันทุกคนจากชาบู
ปลายเคียวของคีย์บอร์ดสะบัดออกไปตรงหน้า เกิดลำแสงสีแดงพุ่งเข้าไปหาร่างของชาบู แต่ร่างของชาบูหลบทัน ร่างนั้นพุ่งเข้ามาหาเขาอีกทางอย่างรวดเร็วเหมือนกับหายตัวมา มือของชาบูบีบเข้าที่ลำคอของคีย์บอร์ดแบบไม่ทันตั้งตัวจนร่างของเจ้าตัวทั้งร่างลอยตามขึ้นมา ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมามากมาย
นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมาที่เขา คีย์บอร์ดมองกลับไปยังดวงตาคู่นั้น มันทำให้เขารู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก มันผิดหวัง ท้อแท้ เหมือนอยากจะตาย มือที่ถือเคียวอยู่ค่อย ๆ ปล่อยมันลงไปกับพื้นจนได้ยินเสียงเคล้งดังขึ้นมา
ของเหลวสีแดงค่อย ๆ ไหลออกมาจากจมูกของคีย์บอร์ด ตามมาด้วยทางตาและหู เขากำลังจะเป็นเหมือนพวกเพื่อน ๆ ที่นอนอยู่ คีย์บอร์ดตั้งสติ รวบรวมกำลังก่อนเปล่งเสียงออกไปเพื่อเรียกสติคนตรงหน้า
“อะ ไอ้ชา ! กู เป็น เพื่อน มึง นะ !”
แวบหนึ่ง เขาเห็นแววตาของชาบูเปลี่ยนไป ดวงตาดำสนิททั้งสองข้างเริ่มมีสีขาวแทรกเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่คีย์บอร์ดจะได้พูดอะไรเรียกสติต่อ มือที่บีบคอเขาอยู่ก็เหวี่ยงร่างของเขาทั้งร่างจนกระเด็นออกไป
ตู้ม !
เสียงแหบพร่าตะโกนร้องอย่างเดือดดาลดังออกมาจากปากของชาบู เสียงนั้นลากยาวเหมือนไม่ได้ดั่งใจ
“ไม่ !”
ร่างของคีย์บอร์ดกระเด็นออกมากระแทกพื้นบนดาดฟ้าอย่างแรงจนเจ้าตัวกระอักเลือดออกมา แต่สายตาของเขายังคงมองร่างของชาบูที่ลอยลงมาที่พื้น ร่างของชาบูเอามือกุมที่หัวของตัวเองแล้วร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ไม่นานร่างที่เขาเห็นก็ค่อย ๆ ล้มตัวลงไปนอนกับพื้นเหมือนคนหมดสติ
สายฝนที่กระหน่ำเทลงมาจากฟากฟ้าค่อย ๆ เบาบางลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หยุดตก ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆมืดครื้มเริ่มจางหายไป แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาแทนที่ คีย์บอร์ดค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา เขามองร่างของชาบูที่ตอนนี้นอนกองอยู่กับพื้นในสภาพที่สลบไสล มันคงจบแล้ว แค่ ณ ตอนนี้
แต่สิ่งที่อยู่ในตัวชาบูน่ะซิ ไม่รู้ว่ามันจะออกมาอีกเมื่อไร ...
วงแหวนสีแดงสว่างวาบขึ้นมา ณ บริเวณหนึ่งบนชั้นดาดฟ้า ร่างของสิงหเดช สุวานประจำนรกของประเทศไทยก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมเดินเข้ามาหาคีย์บอร์ด เจ้าตัวมองสภาพรอบ ๆ ก่อนถอนหายใจออกมา
“พี่สิงห์” คีย์บอร์ดมองร่างที่เดินตรงเข้ามาหาแล้วเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะขึ้นมาหา
“ท่านพญายมราชให้พี่ขึ้นมาช่วยพาพวกเราออกไปจากที่นี่ คงจะไม่ดีแน่ถ้ามีคนอื่นเข้ามาพบพวกเราในสถานการณ์แบบนี้ ขอโทษด้วยที่พี่เข้ามายุ่งเรื่องของคนเป็นไม่ได้มากไปกว่านี้” สิงหเดชพูด
เกิดวงแหวนขนาดใหญ่รอบ ๆ กลุ่มเพื่อนของคีย์บอร์ดรวมถึงร่างของชาบูก็ลอยมารวมในกลุ่ม ไม่ช้าร่างของพวกเขาทั้งหมดก็หายไปจากบริเวณตรงนั้น พร้อม ๆ กับกลุ่มตำรวจหลายสิบคนที่พุ่งออกมาจู่โจมจากทางประตูดาดฟ้าที่เปิดออกมาพอดี
อีกมุมหนึ่งของดาดฟ้าตึกตรงกันข้าม ร่างของแม่มดดำยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพึงพอใจ ศัตรูที่เคยตามล่าพวกแม่มดมานานหลายสิบปีถูกกำจัดไปอย่างที่เธอไม่ต้องลงมือแม้แต่น้อย แม้จะไม่ใช่พวกมันทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคงจะแพร่สะพัดข่าวไปทั่วโลกในอีกไม่ช้า น่าจะทำให้พวกองค์กรที่ต่อต้านได้รู้ว่าอะไรที่ควรจะต่อสู้ด้วย และอะไรที่ไม่ควรจะต่อสู้ด้วย
ไอ้พวกมนุษย์น่าโง่ ...
“ถึงวันจันทรุปราคาเมื่อไร ท่านจะได้ครอบร่างนั้นอย่างสมบูรณ์ และกลายมาเป็นผู้นำของพวกเราเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้”
ร่างของคีย์บอร์ดและกลุ่มเพื่อนมาปรากฏตัวอีกทีที่คอนโดของแมทธิว คีย์บอร์ดเอ่ยขอบคุณสิงหเดชที่เข้ามาช่วยไว้ได้ทันเวลาพอดี ยมทูตอย่างเขาไม่มีพลังในการหายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งพร้อมกับคนอีกหลายคนได้ ถ้าเกิดมีใครเห็นขึ้นมาว่าพวกเขาอยู่กับศพที่ตายเกลื่อนแบบนั้นมันคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ เจ้าตัวหันไปมองกลุ่มเพื่อนแต่ละคนที่ตอนนี้สลบไม่รู้เรื่องอย่างเป็นห่วง
“ท่านพญายมราชฝากมาเตือน พวกเราไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนที่ยังไม่ตาย สิ่งที่อยู่ในตัวของชาบูไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นพลังความชั่วร้ายที่ถูกถ่ายทอดออกมา มันไม่มีวันสูญหาย และเราก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องของยมทูตคีย์ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา”
“แต่ชาเป็นเพื่อนผมนะครับ แล้วผมต้องทำยังไงให้ไอ้ชาเป็นเหมือนเดิม ผมอยากจะช่วยเพื่อนนะครับพี่สิงห์ ไม่รู้เวรกรรมอะไรของมัน ทำให้ต้องมาเจอะเจอเรื่องอะไรแบบนี้” คีย์บอร์ดถามกลับ ตัวเขาเองก็จนปัญญาแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในตัวเพื่อนของเขามีอะไรอยู่ แม้จะรู้สึกตงิดใจมาสักพักตอนที่ตามไปช่วยใยไหมที่ถูกจับตัวไปครั้งนั้น พลังของซาตานงั้นเหรอ มันมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง
“เรื่องบางเรื่องพี่ก็ตอบเราไม่ได้ ท่านพญายมราชก็ตอบไม่ได้ มันเป็นเรื่องของอจินไตยคีย์”
คีย์บอร์ดพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ตัวเขาเองก็คงจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ อะไรที่มันจะเกิดในอนาคตก็ต้องปล่อยให้มันเกิดไป แต่ตอนนี้เขาคงต้องเข้าไปจัดการช่วยแบกแต่ละคนไปนอนดี ๆ ได้แล้ว มีใยไหมคนเดียวที่เขาคงต้องพาไปโรงพยาบาลเพราะถูกยิงเข้าที่ขา ถึงแม้จะดูไม่เป็นอะไรมากก็เถอะ ส่วนฟองที่โดนยาสลบไปหลายเข็มก็น่าจะฟื้นในไม่ช้าเพราะพลังยมทูตของตัวเอง ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงต้องปล่อยให้นอนแบบนี้ไปก่อน ดูเหมือนเลือดแต่ละคนจะหยุดไหลแล้ว
“พี่ไปก่อนนะ” สิงหเดชพูด
“ขอบคุณอีกครั้งครับพี่สิงห์” คีย์บอร์ดกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนมองร่างนั้นหายตัวไป
ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความอ่อนล้าไปทั้งตัว สมองเริ่มประมวลผลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะไม่มีสติ เท่าที่จำได้คือผม ไอ้คีย์ ไอ้อิฐ และไอ้แมท พากันขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อช่วยพี่ฟองกับใยไหม
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทักขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของผม ทำให้ผมหันไปมอง เป็นไอ้คีย์นั่นเองที่เรียกผม
“ไอ้คีย์ ไหมล่ะ !” ผมร้องออกมา ถามถึงไหม จำได้ว่าผมโกรธมากตอนที่ไหมโดนยิง หลังจากนั้นสติผมก็ดับวูบไปเลย รู้ตัวอีกทีก็ตื่นมาที่นี่ บนโซฟาในคอนโดไอ้แมท
“มึงใจเย็นก่อน ทุกอย่างโอเคแล้ว ไหมปลอดภัย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล” ไอ้คีย์พูด
“เกิดอะไรขึ้นวะ แล้วคนอื่นล่ะ เป็นไงกันบ้าง” ผมถามมัน
“มึงจำอะไรไม่ได้เลยใช่ไหม คนอื่นก็ปลอดภัยดี ฟื้นก่อนมึงเมื่อไม่นาน พวกมันออกไปซื้ออะไรกินกัน ส่วนพี่ยูตะกับพี่พิมพ์เพิ่งโทรมาบอกว่าหนีออกจากที่เกิดเหตุได้ทันหวุดหวิด พร้อมกับทำลายข้อมูลกล้องวงจรปิดที่ถ่ายติดพวกเราไว้หมดแล้ว”
“กูจำได้แค่ว่า พวกเราอยู่บนดาดฟ้า ไหมโดนยิง แล้วก็กูจำอะไรไม่ได้อีกเลย มันเกิดอะไรขึ้นต่อวะ พวกเรารอดมาได้ยังไง”
“มึงฆ่าคน ฆ่าพวกนั้นไปทั้งหมด”
สิ่งที่ไอ้คีย์พูดออกมาทำเอาผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ผมเนี่ยนะ ... ฆ่าคน
“กูพูดผิด สิ่งที่อยู่ในตัวมึงต่างหากที่ฆ่า ไม่ใช่มึง” ไอ้คีย์พูดต่อ
“สมมติฐานที่ว่าจิตวิญญาณซาตานอะไรนั่นหลังจากมึงเผาหนังสือแล้วมันกลับไปหาพวกแม่มดดำเหมือนจะผิด มันไม่ได้ไปไหนเลย มันอยู่ในตัวมึง อยู่มาตลอด แต่เพิ่งมาแสดงออก เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมซิลเวียถึงอยากจะฆ่ามึงและจับมึงไปทดลองแบบนั้น”
ผมถึงกับกลืนน้ำลายลงคอหลังจากฟังสิ่งที่ไอ้คีย์พูดจนจบ เสียงที่มันอยู่ในหัวผม ภาพตัวผมอีกคนที่ดูเหมือนตัวผมทุกประการที่สะท้อนออกมาจากในกระจกแล้วแสยะยิ้ม ทุกอย่างมันคือความจริงสินะ
“มึงพักผ่อนเยอะ ๆ เดี๋ยวค่อยคิดกันว่าจะทำไงต่อ แผลมึงหายเร็วมาก ตอนนี้ดูเป็นเหมือนแค่รอยขีดข่วนเท่านั้น คงไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะ”
ผมก้มลงมามองที่ช่วงบนของลำตัวตัวเองที่ซิลเวียเคยใช้มีดผ่าตัดกรีดทรมาน เป็นจริงอย่างที่ไอ้คีย์ว่า แผลมันหายไปจนหมด เหลือเพียงแต่รอยขีดข่วนเท่านั้น
“กูจะไปเยี่ยมไหมที่โรงพยาบาล” ผมพูดออกไป ถึงแม้ไอ้คีย์จะบอกว่าไหมปลอดภัยแล้ว แต่ผมก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาของตัวเองอยู่ดี