SB:ตอนที่17 ผู้จารึก
SB:ตอนที่17 ผู้จารึก
ราคาที่ร้านค้ารับซื้อย่อมต่ำกว่าราคาขายของสินค้าเป็นธรรมดา นี่เป็นกฎที่รับรู้กันทั่วไป มันเป็นช่องทางของร้านค้าในการทำกำไร ทว่าการเสียยี่สิบตำลึงทองในรวดเดียวทำให้ใจลู่หยางถึงกับเจ็บปวด นั่นเทียบเท่าสองร้อยตำลึงเงินเชียวนะ นั่นมันสามสี่ปีของค่าใช้จ่ายสามัญชนปกติเชียว
“แน่นอนหากวิชาควบคุมอสูรนั้นเป็นสิ่งที่ตำหนักเมฆาม่วงเราไม่มี เราสามารถซื้อในราคาห้าเท่าจากเดิมได้”ผู้ดูแลร้านกล่าว
สินค้าที่ร้านค้ายังขาดแคลนย่อมทำให้ได้ราคาขายที่มากกว่าเดิม นี่เป็นช่องทางที่ร้านค้าจะหาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้า
ลู่หยางกรอกตา อะไรกัน ที่นี่ยังขาดวิชาดาราสูงๆเช่น เก้าหรือสิบดารา แต่แม้พวกมันซื้อด้วยราคาห้าเท่าจากเดิมพวกมันก็ยังสามารถทำกำไรได้ การสร้างวิชาควบคุมอสูรนั้นไม่ง่าย มันต้องการวิธีจำเพาะที่เรียกว่าวิชาจารึกขั้นตอนการทำใช้พลังสมาธิอย่างสูง ผู้สร้างนี้ถูกเรียกว่าผู้จารึกซึ่งโอกาสในการพบคือหนึ่งในล้าน มันหมายความว่าในผู้ฝึกอสูรหมื่นคน มีเพียงหนึ่งคนที่จะมีพรสวรรค์ที่จะเป็นผู้จารึก ระดับขั้นของผู้จารึกเป็นเช่นเดียวกับผู้ฝึกอสูร แต่ทว่า แต่ละขั้นจะแบ่งเป็นสิบดาราซึ่งแปรผันกับระดับดาราของวิชาควบคุมอสูร ผู้จารึกชั้นต้นระดับสามดาราสามารถจารึกวิชาควบคุมอสูรไม่เกินสามดารา เนื่องจากมันต้องมีรอยประทับทางจิตวิญญาณเพื่อให้สามารถเรียนรู้วิชาควบคุมอสูรได้ หากปราศจากรอยประทับจิตวิญญาณ ผู้ฝึกอสูรมิอาจเรียนรู้ได้โดยง่าย
พูดโดยง่ายคู่มือวิชาฝึกอสูรนั้นสามารถเรียนรู้ได้แต่มิสามารถละเมิดทำซ้ำได้โดยปราศจากความสามารถของผู้จารึก
ยิ่งกว่านั้น วิชาจารึกมิใช่วิชาที่เรียนรู้กันได้ทั่วไปเฉกเช่นวิชาฝึกอสูร ทว่ามันเป็นวิชาที่เรียนรู้กันเพียงหยิบมือคนและถูกมองเสมือนเป็นสายเลือดแห่งชีวิตของตระกูลใหญ่ เพราะนั่นเป็นหนทางสำคัญที่พวกมันจะทำเงินได้
ยิ่งกว่านั้นวัสดุในการจารึกมิใช่วัสดุธรรมดาแต่เป็นไม้ม่วงที่ล้ำค่า มันสามารถรับรอยประทับจิตวิญญาณได้ วัสดุเช่นนี้มักจะถูกควบคุมและเป็นเจ้าของโดยตระกูลใหญ่ ดังนั้นหากแม้ตำหนักเมฆาม่วงสามารถซื้อวิชาควบคุมอสูรดาราเก้าหรือสิบมาครอบครองแม้จะราคาสูงกว่าเดิมห้าเท่า ตราบเท่าที่ผู้จารึกของตำหนักเมฆาม่วงมีวิชาสูงพอมันสามารถสร้างวิชาควบคุมอสูรระดับสูงได้มากเท่าที่ต้องการหากมีต้นแบบ
ราคาห้าเท่าจากเดิมเทียบกับประโยชน์ระยะยาวแล้วเปรียบดังหยดน้ำในมหาสมุทร
“ระบบ ข้าสามารถเป็นผู้จารึกได้หรือไม่?” ลู่หยางเมื่อคิดว่ามันสามารถทำเงินได้มหาศาลหากเป็นผู้จารึกกล่าวถาม
“ท่านเป็นได้” ทว่าคำพูดต่อมาเหมือนสาดน้ำเย็นลงหัวลู่หยาง “ท่านต้องมีผลึกชั้นต้นร้อยผลึกเพื่อที่จะเปิดใช้งานความถนัดเสริม ผู้จารึก จากนั้นท่านสามารถเป็นผู้จารึกได้ทันที”
“ท่านต้องการเปิดใช้งานความถนัดเสริมผู้จารึกหรือไม่?”
“บัดซบบ” ลู่หยางอดด่าในใจมิได้ ความต้องการของระบบฝึกอสูรมันช่างใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ มาคราวนี้มันต้องการผลึกชั้นต้นร้อยผลึกรึ วิชาฝึกอสูรชั้นกลางเป็นสิ่งที่เขามิอาจได้ในตอนนี้ สุดท้ายลู่หยางขายวิชาควบคุมอสูรแก่ตำหนักเมฆาม่วงและรับหกสิบตำลึงทองมา ขั้นต่อไปคือใช้เตาหลอมหมื่นอสูรพัฒนาสายเลือดของต้าเฮยให้ถึงชั้นสุดยอดและซื้อบ้านพักที่นี่ เขาจะได้นำแม่และน้องชายเขามาในแคว้นนี้ให้เร็วที่สุด
“ติ้ง” บริโภค 1สุนัขพันธ์ยักษ์ 10ศิลาผลึกชั้นต้น อัตราผสาน 10%”
“ติ้ง” บริโภค 1สุนัขพันธ์ยักษ์ 10ศิลาผลึกชั้นต้น อัตราผสาน 20%”
“ติ้ง” บริโภค 1สุนัขพันธ์ยักษ์ 10ศิลาผลึกชั้นต้น อัตราผสาน 100%”
“ติ้ง” สัตว์อสูรสงคราม สุนัขทมิฬ ได้พัฒนาสายเลือดถึงชั้นยอด
บัดนี้ ข้อมูลต้าเฮยแสดงขึ้นมา
“สัตว์อสูรสงคราม สุนัขล่าเนื้อแห่งอเวจี”
“ธาตุ ความมืด”
“ระดับ สัตว์อสูรดุร้ายชั้นต้น”
“สายเลือด ชั้นยอด(มีเสี้ยวสายเลือดปราชญ์)”
“ทักษะเฉพาะตัว การกลืนกินสีดำ (พลังแห่งความมืดสามารถกลืนกินทุกสิ่งและเสริมความแข็งแกร่งให้เจ้าของ)
“อัตราเติบโต 2/100”
“ไม่คาดว่าต้าเฮยจะมีธาตุความมืด นี่มันหายากมาก กระทั่งชื่อถึงกับเปลี่ยนไป สุนัขล่าเนื้อแห่งอเวจีนี่มันเป็นยังไงกัน หรือเสี้ยวสายเลือดปราชญ์ในตัวต้าเฮยจะมาจากสุนัขอเวจี? ลู่หยางทั้งยินดีและมึนงง
ก่อนหน้านี้ต้าเฮยมีสายเลือดระดับเพียงธรรมดา และมันเป็นอสูรชั้นต้น บัดนี้สายเลือดมันพัฒนาสู่ชั้นยอด ปลุกคุณสมบัติธาตุมืดออกมา
เมื่อสายเลือดมันพัฒนาถึงชั้นยอด มันเริ่มปลุกความสามารถของสายเลือดปราชญ์มันออกมา
“การกลืนกินสีดำ กลืนกินเป้าหมาย เสริมความแข็งแกร่ง สุดยอดจริงๆ นี่มันดีเหลือเกิน” ยิ่งกว่านั้นทักษะเฉพาะตัวของต้าเฮยยิ่งทำให้ลู่หยางตื่นเต้น
น่าเสียดายที่ความสามารถที่แข็งแกร่งเยี่ยงนั้น ลู่หยางทำได้แค่ชื่นชมมัน เขาต้องใช้ผลึกชั้นต้นร้อยหน่วยในการสกัด แม้เขาสามารถสกัดออกมาได้หนึ่งครั้ง เขายังต้องจ่ายค่าบ้านเขาในแคว้นเซียงหยาง
ลู่หยางได้สอบถามแล้วว่าหากผู้ฝึกอสูรต้องการซื้อบ้านเขาสามารถกู้เงินได้ แต่เขายังต้องจ่าย20%ของมูลค่าทั้งหมด แม้บ้านที่เล็กที่สุดยังต้องจ่ายพันตำลึงเงิน
“ข้าไม่ต้องรีบใช้ทักษะนี้” การซื้อบ้านนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่าเพื่อที่ข้าจะพาน้องและแม่มาอยู่ที่นี่ลู่หยางวางแผนในใจ
เขาต้องการให้ครอบครัวเขามาแคว้นเซียงหยางให้เร็วที่สุด เขาไม่รู้ฝูงอสูรจะบุกตอนไหน บัดนี้ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นตามการพัฒนาของต้าเฮย สถานะของลู่หยางปัจจุบัน
“เจ้าของ ลู่หยาง”
“สถานะ ผู้ฝึกอสูร”
“ระดับ ชั้นต้น”
“ความแข็งแรงกายภาพ สามพันจิน”
“อายุขัย 16/100”
ความแข็งแรงทางกายภาพเขาเพิ่มถึงแปดร้อยห้าสิบจินทำให้เขามีกำลังถึงสามพันจิน ลู่หยางสามารถเทียบได้กับอสูรชั้นต้นบางตนที่สายเลือดชั้นยอดได้แล้ว เขาสามารถฆ่าอสูรชั้นต้นได้ด้วยสองหมัด
“…”
เหล่าสหายจากเมืองชิงหยางได้ขายสินค้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากการได้รับเงินก้อนโต ลู่หยางได้เยอะที่สุด เขาจึงอาสาเลี้ยงเหล่าสหายมาร่วมดื่มกิน หลังจากกินเสร็จเหล่านักล่ารีบกลับเนื่องจากพักที่นี่คืนเดียวต้องจ่ายถึงสิบตำลึงเงิน พวกมันไม่ต้องการเสียเงินเช่นนี้ ลู่หยางมิต้องการกลับไปเขาวางแผนจะอยู่นี่เพื่อจัดการเรื่องซื้อบ้านก่อนกลับในวันพรุ่งนี้
“นี่เจ้าได้ยินไหม มีอสูรสายเลือดจักรพรรดิ์ปรากฎในป่าหมื่นอสูรไม่นานนี้เอง”
“ห๊ะ เป็นความจริงรึ มันระดับไหน”
“ข้าได้ยินว่ามันเป็นอสูรชั้นต้น แต่ข้าไม่แน่ใจมันธาตุใด”
“มิแปลกใจ มีคนแปลกหน้ามากมายมาที่แคว้นเซียงหยางช่วงนี้ เกรงใจพวกเขาจะมาเพราะอสูรสายเลือดจักรพรรดิ์นี้ ข้าอยากรู้นักใครจะเป็นผู้ได้มันไปครอบครอง ผู้ชนะคนก่อนเหมือนจะเป็นนายหญิงอู๋ฮวงนะ”
“ยังต้องถามหรือ คนที่จะปราบอสูรเช่นนั้นได้ต้องมีรากฐานจิตวิญญาณชั้นสูง อัจฉริยะเช่นนี้แม้ในแคว้นเรายังหายาก”
“..”
เมื่อเข้ามา ลู่หยางได้ยินเสียงถกเถียง ที่แห่งนี้ช่างเต็มไปด้วยผู้คนจริงๆ
“สายเลือดจักรพรรดิ์?” ลู่หยางตะลึง ที่นี่ช่างมีสายเลือดชั้นสูงจริงๆ
เขาพอจะรู้จักป่าหมื่นอสูรมันเป็นที่ที่คุมขังอสูรและเลี้ยงอสูร ลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่มีเงินมักจะมาเลือกซื้ออสูร
“นายหญิงอู๋ฮวงนั่นคงจะเป็นคนที่ข้าต้องส่งสารลับ ข้าไม่คิดว่านางจะเป็นอัจฉริยะรากฐานจิตวิญญาณชั้นสูง ข้าจะพบนางได้อย่างไรนะ” ภารกิจนั่นกวนใจเขามาตลอด เขาสงสัยมาตลอดว่ามันมีความลับใหญ่หลวงซ่อนอยู่ในสารลับ เขาต้องการส่งสารให้เร็วที่สุด
“ลูกค้า ห้องของท่านอยู่ชั้นสอง นี่เป็นเลขที่ห้องของท่าน” ลู่หยางรับแผ่นป้ายมา และตรงไปที่ห้อง
ทว่าขณะที่เขากำลังผ่าน เขาได้ยินเสียงคู่รักกำลังพลอดรักกัน
“บ้าชิบบ ข้าจะไม่สนใจพวกมัน” ลู่หยางรีบเดินเข้าห้อง คิดดูแล้วไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาก็ยังคงเป็นชายพรหมจรรย์ หลังจากเสียงเขาสบถ ข้างห้องนั้นเงียบเสียงลงอย่างน่าแปลกใจ
“ตึง ตึง” มีเสียงเคาะมาจากนอกห้องลู่หยาง
“ใคร?” ลู่หยางขมวดคิ้ว เปิดประตูห้อง
“นายท่าน คืนนี้อีกยาวนาน ไม่ทราบว่าข้าจะมีเกียรติได้คุยกับท่านในคืนนี้หรือไม่” ผู้ยืนอยู่ต่อหน้าเขาคือสตรีงดงามยั่วยวน หน้าอกของนางถูกเผยออกมาครึ่งท่อน ดวงตายั่วยวนของนางแวววาว ส่งผลให้จิตใจคนเดือดพล่านเมื่อมองไปที่นาง