คาถาที่ 28 : ปล่อยกูออกไป
“ไอ้ชา ! ตื่นดิวะ”
“ไอ้ชา !”
เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นทำให้ผมได้สติ ผมกะพริบตาถี่ ๆ ปรับสายตาให้เขากับแสงสว่างจ้าบนเพดานของห้องทดลอง แน่นอนล่ะ ผมไม่ได้ฝันร้ายไป แขนขาตอนนี้ยังคงถูกล็อคติดกับเตียงไว้อยู่เหมือนเดิม แถมความเจ็บแสบและความตึงของแผลบางส่วนก็เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย รู้สึกว่าร่างกายของผมซ่อมแซมตัวเองได้รวดเร็วเหมือนกัน เพราะเลือดผมหยุดไหลแล้วตอนนี้ แต่ก็แทบไม่อยากจะก้มลงไปมองร่างกายช่วงบนของตัวเองตอนนี้เลย รับสภาพไม่ได้ มีแต่รอยแผล รอยกรีดเต็มไปหมด
“มึงไหวปะวะ โดนไปหนักเลย”
เสียงพูดคุ้น ๆ ที่ดังขึ้นทางด้านขวาของเตียง ทำให้ผมหันไปมอง เป็นไอ้คีย์นั่นเอง มันนอนอยู่ในสภาพเดียวกันกับผม แต่เหมือนยังไม่ได้ถูกทรมาน และเมื่อผมหันไปอีกข้างก็เจออีกเตียงที่มีไอ้แมทนอนอยู่ในสภาพไม่แตกต่างกัน ผมถอนหายใจก่อนหัวเราะออกมาอย่างฝืด ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกมันถูกจับได้ ขนาดไอ้คีย์เป็นยมทูตยังพลาดท่าเลย
“ไหว เลือดกูยังไม่หมดตัว แล้วนี่พวกมึงมานอนข้าง ๆ กูกันทำไม คิดอะไรกับกูปะเนี่ย”
“ยังมีหน้าจะมาตลก เห็นสภาพมึงตอนนี้แล้วกูแบบ ... เฮ้อ” ไอ้คีย์พูดพลางถอนหายใจ
“แล้วไมมึงนอนนิ่งเงียบขนาดนั้นไอ้แมท ไม่คิดถึงกูเหรอ ไม่เห็นหน้ากันตั้งหนึ่งคืน” ผมพูดขำ ๆ พร้อมหันไปอีกทางที่เห็นเพื่อนอีกคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ ผมว่าแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้เมื่อได้รู้ความจริงเรื่องน้า แค่นี้ชีวิตมันก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว ยังจะมาเจอเรื่องของคนในครอบครัวทรยศอีก
“กูขอโทษนะไอ้ชา ที่ทำให้มึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้” แมทธิวพูดขึ้นมาเรียบ ๆ อย่างรู้สึกผิด
“มันไม่ใช่ความผิดของมึงเลยไอ้แมท อย่าโทษตัวเอง” ผมบอกมันไป
“กูน่าจะคิดอะไรให้มากกว่านี้”
“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่ พวกนั้นหายไปไหนกันหมด ทำไมเหลือแค่พวกเราสามคนในห้อง” ผมพูด พยายามจะเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ไอ้แมทมันคิดมาก ตอนนี้เอง ผมก็สังเกตได้ว่าในห้องไม่มีพวกนั้นอยู่สักคน ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด
“กูได้ยินว่าพวกนั้นออกไปเตรียมตัวรับมือกับพวกแม่มดดำ เพราะตรวจวัดคลื่นความถี่อะไรได้สักอย่างบนดาดฟ้า” ไอ้คีย์เป็นคนตอบคำถามผม
“งั้นเหรอ ว่าแต่เราจะออกไปจากตรงนี้ยังไงดี มึงใช้พลังแล้วโดนช็อตไหมไอ้คีย์” ผมถามมัน อยากรู้ว่าถ้าใช้พลังยมทูตแล้วจะเป็นเหมือนกันไหม
“อื้ม กูลองแล้ว โดนไปแล้ว เจ็บฉิบ” ไอ้คีย์พูดออกมาเซง ๆ
ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยเรื่องจะหาทางออกไปจากที่นี่ยังไง อยู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังขลุกขลักด้านหลังของประตูกระจกกึ่งทึบกึ่งโปร่งแสง ที่พอให้เห็นเงาว่ามีการต่อสู้กันเกิดขึ้นด้านนอกจากคนสามสี่คน แล้วไม่นานประตูห้องทดลองก็มีเสียงกดรหัสก่อนประตูห้องจะถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของใครคนหนึ่ง ร่างที่เข้ามาใหม่ทำให้พวกผมสามคนมองอย่างทึ่ง ๆ
“ไอ้อิฐ !” พวกเราสามคนประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
“มึงเข้ามาได้ไงเนี่ย กูให้มึงกับไหมรออยู่ที่คอนโดไอ้แมทไม่ใช่เหรอ” ไอ้คีย์พูด
“ชู่ว ! เงียบดิวะพวกมึง เบา ๆ หน่อย ดีนะ ที่ไอ้สามตัวข้างนอกเป็นแค่นักวิทยาศาสตร์ กูเลยผ่านเข้ามาง่าย ๆ” ไอ้อิฐพูดพลางเดินตรงมาหาพวกเรา เพื่อที่จะช่วยปลดสิ่งที่พันธนาการตัวพวกเราสามคนไว้
“จะได้รีบไปช่วยพี่ฟองกับไหม” ไอ้อิฐพูดต่อ
“ไหมมาด้วย !”
“ฮะ ! นี่ฟองมาด้วยเหรอ”
ผมกับไอ้คีย์ร้องขึ้นมาพร้อมกัน เราสองคนต่างเป็นห่วงแฟนของตัวเอง สองคนนั้นก็เป็นผู้หญิงทั้งคู่ด้วย
“เออดิ ก็พี่ฟองกับไหมนี่แหละ ที่เป็นตัวล่อพวกมัน พี่ฟองใช้พลังให้มันตรวจจับสัญญาณคลื่นได้ที่ดาดฟ้า ส่วนไหมก็วิ่งไปกดสัญญาณไฟไหม้จนวุ่นวายไปทุกชั้นเลย พวกพนักงานออฟฟิศชั้นล่าง ๆ วิ่งกันให้มั่วไปหมด ตอนนี้คงไปช่วยพวกพี่ยูตะกับพี่พิมพ์ที่ถูกจับไว้อีกชั้น”
“แล้วพวกมึงผ่านพวกยามด้านหน้ามาได้ไงวะเนี่ย” ไอ้คีย์ถาม
“ใครบอกว่าพวกกูเข้าทางด้านหน้าล่ะ กูแอบปีนเข้ามาทางหน้าต่างห้องน้ำด้านหลังนู่น ลงทุนฉิบ ยิ่งกว่าหนังสายลับ แถมต้องแบกพี่ฟองกับไหมปีนเข้าไปอีก” ไอ้อิฐพูด ตามมาด้วยไอ้แมทที่ทำท่าจะอ้าปากถามต่อ แต่ไอ้อิฐก็พูดแทรกออกมาก่อน
“กูรู้ว่ามึงจะถามต่อ ว่ากูรู้พวกข้อมูลพวกเรื่องสัญญาณนู่นนี่นั่น หรือพวกมึงอยู่ชั้นไหนได้ไง หึ มึงคงไม่รู้ว่าพี่ฟองแอบใส่เครื่องดักฟังไว้ในกระเป๋ากางเกงมึงอะไอ้คีย์ พวกกูเลยรู้รายละเอียดทั้งหมด แถมรู้ความเคลื่อนไหวของพวกมึงตั้งแต่อยู่บนรถตู้แล้ว”
ท้ายประโยคไอ้อิฐหันไปมองหน้าไอ้คีย์ ฟังจบผมงี้ทึ่งเลย พี่ฟองนี่สุดยอดจริง ๆ
“ฮะ !” ไอ้คีย์ร้องออกมาแบบอึ้ง ๆ พลางเอามือคลำกระเป๋ากางเกงตัวเองทั้งสองข้าง ก่อนมันจะหยิบเครื่องดักฟังอันจิ๋วออกมา ตัวมันคงมัวแต่สนใจแต่เรื่องของผมจนไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไรเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงมันบ้าง
“เชรด ! พี่ฟองร้ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ทำตัวดี ๆ นะครับเพื่อน อย่าแอบไปเจาะแจ๊ะสาวที่ไหนจนถูกจับได้ล่ะ” ผมพูดแซวมัน
“สงสัยเป็นตอนก่อนออกมาแน่เลย” ไอ้คีย์พูดพึมพำ
“นี่หมายความว่าที่พวกนั้นออกไปเพราะฝีมือพวกมึง ไม่ได้เกี่ยวกับพวกแม่มดดำเลยงั้นเหรอ” ไอ้แมทพูด
“เออ ๆ รีบไปได้แล้ว ลุกไหวปะมึงไอ้ชา สภาพมึงนี่ไม่น่ารอดนะ” ไอ้อิฐหันมาคุยกับผมพลางมองตัวผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วมันก็ทำหน้าแหย ๆ ก่อนช่วยพยุงผมลุกขึ้นมา หลังจากเอาพวกอุปกรณ์ที่จับตัวผมไว้ออกเสร็จเป็นคนสุดท้าย พวกเราจึงพากันเดินออกจากห้องทดลองนั่น
“มึงทำอะไรกับยัยนี่เนี่ย” ผมพูดออกไป เมื่อมองเห็นร่างของริต้าที่ถูกมัดมือมัดเท้านอนปิดปากดิ้นเป็นหนอนอยู่ทางด้านหน้าของห้องทดลอง ข้างตัวมีนักวิทยาศาสตร์อีกสองคนที่เป็นผู้ชายนอนสลบอยู่
“กูไม่ทำร้ายผู้หญิงไง แต่ฤทธิ์โคตรเยอะ เลยจับมัดไว้แบบนี้ อีกอย่างกูต้องการรหัสเข้าไปช่วยพวกมึงด้วยไง เลยต้องทำให้ไม่สลบ”
“แล้วยัยนี่ยอมบอกรหัสได้ไงวะ”
“ก็ง่าย ๆ กูบอกจะจับแก้ผ้า ยัยนี่ก็เลยยอมบอก” ไอ้อิฐพูดออกมาหน้าตาเฉย เลยเอาผมฮาเลย
“โห ไอ้อิฐ มึงนี่มัน ! ฮ่าฮ่า”
“มันใช่เวลาไหมเนี่ย รีบขึ้นไปบนดาดฟ้าเร็ว” ไอ้คีย์พูด ทำให้ผมได้สติรีบลากสังขารตัวเองที่มีไอ้อิฐคอยพยุงเดินต่อไปเพื่อขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของตึก
ท้องฟ้าด้านบนดาดฟ้าตอนนี้มืดครึ้มเหมือนฝนห่าใหญ่กำลังจะตกลงมา โคตรสร้างบรรยากาศตอนนี้ให้มันดูเลวร้ายลงไปกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมใจคอไม่ดีเลย ไอ้คีย์ก็คงจะเป็นเช่นกัน พี่ฟองนอนสลบกองอยู่ที่พื้น ที่กลางหลังมีเข็มฉีดยาสลบเกือบสิบอันปักอยู่ ในขณะที่ใยไหมถูกจับตัวไว้ และมีปืนจ่อที่หัวอยู่หลายกระบอกจากคนของซิลเวีย
การปรากฏตัวของพวกเราทำให้กลุ่มคนพวกนั้นหันมาสนใจพอดี ซิลเวียพอเห็นพวกเราหลุดออกมาได้ก็มองมาด้วยความโกรธ ก่อนกระชากตัวไหมออกมาจนเจ้าตัวร้องโอดโอย ทำผมเจ็บไม่เท่าไร แต่ทำให้คนที่ผมรักเจ็บด้วยนี่ซิ มันให้อภัยไม่ได้
“ไหม !” ผมร้องตะโกนอย่างโมโห พลางสะบัดมือไอ้อิฐ แล้วลากสังขารตัวเองกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปบริเวณนั้น
“ไอ้ชาใจเย็น ๆ !”
“ก้าวขาเข้ามาอีกก้าวเดียว กูยิงหัวอีนี่กระจุยแน่”
“ถ้าคิดว่าเวทมนตร์ที่มึงมี มันเร็วกว่าคนเกือบสิบคนที่จ่อปืนอยู่ที่หัวแฟนมึงก็เอาเลย” ซิลเวียพูดพร้อมหันกระบอกปืนไปที่หัวใยไหมเพิ่มอีกคน สิ่งที่ซิลเวียพูดก็ถูก ผมไม่สามารถใช้เวทมนตร์บังคับสิ่งของหลาย ๆ อย่างได้ไวขนาดนั้น ขาที่กำลังจะก้าวต่อจึงต้องจำใจหยุดอยู่แค่นั้น ดูเหมือนซิลเวียจะใช้ใยไหมเป็นเครื่องมือในการต่อลองกับพวกเรา
ในสถานการณ์แบบนี้พวกเราควรจะได้เปรียบ เพราะดูเหมือนพวกนั้นจะเสียทรัพยากรทั้งแรงคนและเทคโนโลยีไปไม่น้อยในการจัดการกับยมทูตคนหนึ่งที่รู้ตัวว่าต้องมาเจอกับอะไร
“ดูซิหลานรัก น้าจับแมลงวันได้สองตัว ตัวหนึ่งมาวิ่งเล่นบนดาดฟ้า อีกตัวก็วิ่งไปช่วยไอ้นักล่าแม่มดฟรีเลนซ์นั่น แต่ถูกจับได้ซะก่อน ถ้าแมทช่วยน้าจัดการพวกมัน เราจะกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม น้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเราอยู่แล้ว” ซิลเวียพูดกับแมทธิวด้วยน้ำเสียงเหมือนตอนที่เป็นน้าซิลเวียที่ผมเคยเคารพ แต่ผมรู้สึกว่านั่นมันเป็นอะไรที่โคตรเสแสร้งเลย ทำกับไอ้แมทไว้ขนาดนี้แล้วยังมาพูดอะไรแบบนี้อีก ไม่รู้เอาตรรกะอะไรคิด
“ปล่อยสองคนนั้นเถอะน้า ผมไม่มีทางช่วยน้าหรอก” ไอ้แมทพูด
“จัดการมันเลย พวกมันสู้พวกนายไม่ได้หรอก !” ใยไหมตะโกนร้องออกมาพลางดิ้นตัวเพื่อจะสะบัดหนีออกจากกลุ่มคนที่จับตัวไว้
“ปากดีนักนะ อีนี่ !”
ผัวะ ! ปลายกระบอกปืนถูกสะบัดไปยังใบหน้าใยไหมอย่างแรงจนเลือดกบปาก พร้อมกับหมัดอีกสองสามหมัดที่ต่อยไปที่ท้องของใยไหมจนเจ้าตัวจุก ล้มตัวงอลงไปที่พื้น
“พอ ! พอแล้ว ! อย่าทำไหม !”
ผมแทบทนไมได้กลับภาพที่เห็น ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย ...
“ทำไม ! มองแบบนั้นทำไม มึงมีปัญหาอะไร กูล่ะเกลียดสายตาแบบนั้นจริง ๆ” ซิลเวียพูด พร้อมมองตรงมาที่ผมอย่างเยาะเย้ย ก่อนที่จะเดินไปใกล้ ๆ ตัวใยไหม ย่อตัวลงแล้วคว้ามือของใยไหมออกมา
“จับมันไว้”
ซิลเวียพูดสั่งลูกน้องตัวเอง ก่อนรองเท้าส้นเข็มของเจ้าตัวจะเหยียบลงไปที่มือของไหมจนร้องออกมาอย่างทรมาน แล้วเลือดสีแดงก็ไหลออกมาจนเลอะพื้นตรงนั้น
“หยุด ! หยุด พอได้แล้ว” ผมร้องตะโกนออกไป อยากจะเข้าไปอยู่ตรงนั้นเพื่อเจ็บแทนไหมเหลือเกิน
ผมโกรธมาก โกรธจนสั่นไปทั้งตัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งไอ้คีย์ ไอ้อิฐ และไอ้แมท คงรู้สึกไม่ต่างกัน
ผลั๊ค ! คนสามสี่คนของซิลเวียที่ยืนจ่อปืนไปที่ใยไหมล้มลงไปกับพื้นด้วยพลังของผม ผมและคนอื่น ๆ ทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วยใยไหมแต่เสียงปืนก็ดังขึ้นก่อน
ปัง !
“โอ๊ย !”
เสียงของไหมร้องออกมาพร้อมกับเอามือกุมไปที่ขาของตัวเอง เป็นไหมเองที่ถูกยิงจากใครสักคนในกลุ่มนั้น ผมเอามือยีผมตัวเองอย่างหงุดหงิด
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าใช้พลัง !” ซิลเวียร้องตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย พร้อมยันตัวเองขึ้นมาจากพื้นที่เสียหลักล้มไปเมื่อกี้ ลูกน้องคนอื่น ๆ ของซิลเวียก็ดูเหมือนจะตั้งหลักกลับมายืนพร้อมกับถือปืนจ่อไปที่ใยไหมได้เหมือนเดิม
เจ็บ ... ที่เห็นคนที่รักโดนทำร้าย
แต่ที่เจ็บกว่า ... คือผมทำอะไรไม่ได้เลย
ยอมรับแล้วใช่ไหม ว่าลึก ๆ แล้ว แกอยากจะฆ่าพวกมันทั้งหมด
“ไอ้ชามึงเป็นอะไร”
แกมันก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง แกโกรธพวกมัน แกอยากจะฆ่าพวกมันให้ตายอย่างทรมาน
อย่าทำตัวเป็นคนดีนักเลยน่า
“ไอ้ชามึงมีสติหน่อย เป็นไรวะ”
แต่ถ้าแกไม่กล้า ... ให้ฉันทำซิ
“ไอ้คีย์ ! ไอ้ชาเป็นไรไม่รู้ มันนิ่งไปเลย”
ให้ฉันทำ ... ให้ฉันออกไป ...
ให้กูออกไป !
ประโยคสุดท้ายไม่ได้มาจากเสียงในหัวผม แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดที่แหบแห้งที่ดังออกมาจากริมฝีปากของตัวผมเอง
แล้วผมก็ไม่รู้ตัวอีกเลยว่าได้ทำอะไรลงไป ...
“ไอ้ชา ! มึงจะทำอะไร” คีย์บอร์ดร้องเรียกเพื่อนของตัวเองที่ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
ทุกคนต่างมองคนตรงนั้นอย่างตกใจ ร่างของชาบูค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากพื้นอย่างช้า ๆ ดวงตาของเจ้าตัวกลายเป็นสีดำสนิทราวกับปีศาจ ใบหน้าซีดเซียวขาวสนิทจนดูไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง เจ้าตัวเอียงคอเล็กน้อยจนเกิดเสียงบิดดังกร๊อบขึ้นมา ก่อนแสยะยิ้มมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า
สายฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ ลูกน้องของซิลเวียต่างหันมองหน้ากันเลิกลั่กแต่ก็ยังชี้ปลายกระบอกปืนไปที่ใยไหม
“กูบอกว่าอย่าใช้เวทมนตร์ !” เสียงของซิลเวียตะโกนออกมาแข่งกับสายฝน
“พวกมึงทำอะไร ! จะทำอะไร ! ฟังกูนี่ !”
อยู่ ๆ ลูกน้องของซิลเวียก็เดินตรงเข้าไปหาชาบูเหมือนคนไม่มีสติ ร่างเกือบสิบร่างที่ในมือถือปืนอยู่ค่อย ๆ ขยับปากกระบอกปืนก่อนชี้ยัดใส่ไปที่ปากของตัวเองที่อ้ากว้าง
และไม่ช้านิ้วมือของแต่ละคนก็เหนี่ยวไก
ปัง !
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงปืนที่ถูกเหนี่ยวไกพร้อมกันจากคนเกือบสิบคน ร่างของแต่ละคนล้มลงไปกองกับพื้น ปากถูกแรงอัดจากกระสุนปืนระเบิดเป็นโพลงกว้างทะลุไปถึงด้านหลังของหัวกะโหลก เลือดไหลนองไปทั่วพร้อมกับสายฝนที่ไหลออกมาเพื่อชำระล้างพื้นที่บริเวณนั้น
ซิลเวียตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กระชากตัวใยไหมเข้ามาใกล้ตัวแล้วจ่อปืนไปที่ขมับของหญิงสาว ทั้ง ๆ ที่มือที่ถือปืนกลับสั่นจนหน้ากลัว
“อย่าเข้ามา ! กูฆ่าอีนี่แน่” ซิลเวียตะโกนร้องออกมา
“แม่มึงรักพี่สาวมึงมากกว่ามึง” ชาบูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่ได้กลัวคำขู่ของซิลเวียใด ๆ ทั้งสิ้น ร่างที่อยู่เหนือกว่ายังคงลอยเข้าไปใกล้ซิลเวียมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมัจจุราชที่พร้อมจะปิดชีพเหยื่อ
“หยุดพูด !”
“ตอนเด็ก ๆ มึงกับพี่สาวไปเล่นน้ำ แล้วจมน้ำไปพร้อมกัน แต่แม่มึงก็เลือกช่วยพี่สาวมึงก่อน จนมึงเกือบจมน้ำตาย ฮ่าฮ่าฮ่า”
“กูบอกให้หยุดพูด !”
“มึงมันเป็นแค่ส่วนเกินในครอบครัว”
“หยุด !”
“ไม่มีใครรักมึงหรอกบนโลกนี้ ไปอยู่ในนรกเถอะ !”
ระหว่างที่ซิลเวียกำลังกรีดร้องบอกให้คนที่พูดหยุดพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากฟังเหมือนคนบ้า อยู่ ๆ แท่งเหล็กคมกริบเหมือนใบมีดที่วางอยู่มุมหนึ่งของดาดฟ้าก็ลอยขึ้นมา ก่อนมันจะพุ่งตรงมาหาซิลเวียอย่างรวดเร็ว ปลายคมของเหล็กตรงเข้าตัดด้านบนของศีรษะของเป้าหมายทันที ผมกระจุกหนึ่งพร้อมกับส่วนบนของกะโหลกซิลเวียลอยออกจากหัวของเจ้าตัว แล้วหล่นลงบนพื้นดังตุบ เผยให้เห็นเนื้อสมองที่ยังคงเต้นอยู่ พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาสาดกระเซ็นไปทั่ว ร่างนั้นมองคนที่อยู่ตรงหน้าตาค้าง มือที่ถือปืนอยู่ค่อย ๆ ล่วงลงบนพื้น ก่อนทั้งร่างกายจะล้มตัวตามไป
ซิลเวียตายคาที่พร้อมกับเปลือกตาที่ยังไม่ปิด