SB:ตอนที่ 15 ลมพายุ
SB:ตอนที่ 15 ลมพายุ
ลู่หยางต้องการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงสงครามชนิดที่บินได้ แต่สัตว์อสูรชนิดนี้แทบจะหาไม่พบในป่าแถบภูเขา พวกมันทำรังอยู่บนยอดสูงของต้นไม้ ขณะที่ประสิทธิภาพ มันยากเกินไปสำหรับเขาที่จะจับสัตว์อสูรชนิดนี้ได้ เพราะวิชาฝึกของลู่หยางไปได้เพียงสิบเมตร
“ห้าเหรียญต่อหนึ่งคน เป็นระเบียบหน่อย! เป็นระเบียบหน่อย!” มีผู้คนมากมายที่หน้าประตูเมือง และกลุ่มทหารลาดตระเวนที่กำลังดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่
“สิบคนก็ห้าสิบเหรียญเงิน!” ทหารยามเมืองคนหนึ่งกล่าวแก่ลู่หยางกับพวก
“ทำไมพวกเราถึงต้องจ่าย แทนที่จะเป็นพวกเขา?” ลู่หยางขมวดคิ้ว เพราะขบวนขนส่งสินค้าข้างหน้าเขาเข้าไปได้โดยไม่มีใครขวางและไม่ต้องจ่ายเงิน
“นี่! ก็เพราะพวกเขามีผู้ฝึกอสูรนำขบวนมาน่ะสิ เลยได้ยกเว้นค่าเข้าเมือง แล้วเจ้าล่ะ?” พวกขี้แพ้ฝูงนึงกล้าที่จะโต้เถียงกับข้าเรอะ!” ยามเมืองกวาดสายตามองทุกคนอย่างดูหมิ่น
“ผู้นำของเราก็เป็นผู้ฝึกอสูรเหมือนกัน!” นี่คือเหตุผลอีกหนึ่งข้อที่พวกเขาดีใจที่มีลู่หยางมาด้วย
“เขารึ?” นี่ข้าดูผิดไปรึเนี่ย? นี่ข้าคิดว่าสุนัขนี่จะแสร้งเป็นผู้ฝึกอสูรได้เหรอ? “ฮ่าๆ ช่างน่าขันซะนิ!” ยามเมืองมองไปที่ต้าเฮยแล้วหัวเราะเสียงดัง
.“ฮ่าฮ่า ข้านึกไม่ออกจริงๆว่าคนบ้านนอกพวกนี้มาจากไหนกันแถมยังเอาสุนัขมาด้วย!”
“เห้ย! พ่อหนุ่มพ่อแม่เจ้ารู้มั้ยเนี่ยเจ้าช่างทะเยอทะยานนัก”
“…”
ลู่หยางเพิ่งจะอายุ16ปี เขาดูเด็กและสุภาพอ่อนโยน แต่คนเหล่านี้ทำเหมือนเขาเป็นตัวเจ้าปัญหา
“ลู่หยางเป็นผู้ฝึกอสูรจริง พวกเรามาทดสอบได้! ต้าเฮยเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามของเขา! มันเป็นอสูรจริง!” คนกลุ่มนี้รู้สึกเป็นกังวลเมื่อเห็นว่ายามไม่เชื่อ
“เฮ้อ!” “พวกเจ้าชาวเขาช่างดื้อรั้นซะจริง ถ้าเป็นเด็กเล็กก่อเรื่องก็ว่าไปอย่าง แต่นี่พวกเจ้าผู้ใหญ่ยังยุ่งวุ่นวายอีก นี่เป็นที่ที่พวกเจ้าจะมาก่อเรื่องงั้นรึ?” ยามเมืองฟึดฟัดพร้อมกระแทกหอกในมือ
พวกยามเมืองเหล่านี้ถึงจะไม่ใช่ผู้ฝึกอสูรแต่ก็มีพลังและได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ถึงกับล่าอสูรที่แข็งแรงที่สุดได้ ท่าทางเอาเรื่องของพวกเขาสร้างความตื่นตระหนกให้กับกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังลู่หยาง ฝูงชนหน้าประตูเมืองเงียบเสียงลง
“เมืองเซียงหยางไม่มีค่าธรรมเนียมเข้าเมืองซะหน่อย พวกเจ้าตั้งกฎขึ้นมาเองเพื่อที่จะเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองต่างหาก!” ลู่หยางมองอย่างเย็นชา
.“เจ้า …” ยามเมืองมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงแม้เจ้าหนุ่มนี่พูดถูก แต่นี่เป็นกฎที่ทุกๆคนเห็นชอบด้วย
“เจ้าเด็กนี่ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงแม้ค่าเข้าเมืองจะถูกตั้งขึ้นมาเอง แต่มันก็เป็นข้อตกลงไปแล้ว ! นี่เจ้ากำลังทำให้พวกยามเมืองบันดาลโทสะ!”
.“ข้าช่างชื่นชมพ่อหนุ่มคนนี้ซะจริง ถ้าเป็นคนอื่นโดนว่าเช่นนั้น คงไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงซักนิดเดียว!”
“พวกเราขายสินค้าไม่ได้เงินมากซักเท่าไหร่ ถ้าเรายังต้องจ่ายคนละห้าตำลึงเงิน เราก็จะอยู่ยากขึ้น!”
.”ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าช่างมาสร้างความสับสนวุ่นวายที่นี่ พี่ๆน้องๆ จับเจ้าคนต่ำต้อยกลุ่มนี้ไปขังไว้ในคุกลอยฟ้า ฝูงชนถกเถียงกันและจ้องมองอย่างไม่พอใจ ยามเมืองโกรธ
ลุ่หยางต้องการทำลายเส้นทางมั่งคั่งของพวกมัน ถึงจะเป็นข้อตกลงโดยปริยาย เมื่อผู้คนโกรธ คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือยามเมือง
“นี่มันอะไร? พวกเจ้ามีมือ มีเท้า มีศิลปะการต่อสู้ แทนที่จะไปฆ่าอสูรแล้วได้เงินกลับมาสูบเลือดสูบเนิ้อราษฏร!”ช่างน่าขยะแขยง!” ลู่หยางไม่กลัว
ก่อนหน้านี้เขามีชีวิตเป็นแรงงานอพยพระดับล่างสุด ถูกคนดูถูก และถูกกดขี่ เป็นหนี้นายจ้างบ่อยๆ และก็เคยถูกพวกอัธพาลของนายจ้างซ้อมเวลาไปขอเงินค่าจ้าง
ดังนั้นลู่หยางเกลียดพวกที่ชอบดูถูกและกดขี่คนเป็นที่สุด
“ไอ้หนู!” ในเมื่อเจ้าอยากตายแล้วละก็จะมาตำหนิข้าไม่ได้นะ พี่ๆน้องๆ คนต่ำต้อยพวกนี้กล้ายุยง ปลุกปั่นมวลชน สร้างความไม่เป็นระเบียบ ฆ่าพวกมันซะเลย!” ยามเมืองคนอื่นๆต่างพากันเห็นดีเห็นชอบตามผู้นำของมัน
“ฆ่าเลย!”
.“เร็วเช้า หนีไป ไม่งั้นจะถูกฆ่านะ!”
“เจ้าหนุ่มนั่นตายแน่ เขากล้าเกินไป กล้าไปยั่วโมโหยามเมือง”
ที่ประตูเมืองเกิดความโกลาหลขึ้นทันที คนอื่นๆล่าถอยออกไป แม้ว่าคนส่านใหญ่รังเกียจพฤติกรรมของพวกยามเมืองนี้แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
หัวหน้ายามเมืองจวกปลายหอกเข้าที่ลู่หยาง แต่เขาไม่สะทกสะท้าน ไม่แม้แต่กะพริบตา แค่ยกมือขวาขึ้นเมื่อหอกใกล้ถึงตัวเขา
“แกร็งงง!” หอกที่ทำจากเหล็กบริสุทธิ์หักเป็นสองท่อน ขณะที่เจ้าของหอกถูกแรงผลักกระเด็นไป กระอักเลือดออกมา
“เจ้า!” ยามเมืองจ้องลู่หยางด้วยความกลัว ในใจก็ตื่นตระหนก
เจ้าหนุ่มนั่นเป็นผู้ฝึกอสูรจริงๆเหรอ?
ยามเมืองต่างตกจะลึงกัน มือที่ถือหอกอยู่นั้นสั่นด้วยความกลัว
“เป็นยังไงล่ะ?” “ทีนี้เชื่อข้ารึยัง?” ลู่หยางกวาดตามองเย็นชา
“เชื่อแล้ว พวกเรามีตาหามีแววไม่ ทีนี้เชิญขบวนสินค้าของท่านเข้าไปในเมืองเถอะ!” ยามเมืองรีบขอโทษ
“อ้อ! แล้วท่านล่ะ?” ลู่หยางหันไปที่หัวหน้ายาม
“ใต้เท้า! อภัยให้ข้าด้วย ข้ามันตาบอดสิ้นดี!” หัวหน้ายามตัวสั่นเมื่อนึกถึงพละกำลังของลู่หยาง ถ้าเขาดึงดันที่จะสู้กับลู่หยางก็เหมือนกับการเอาไข่ไปทุบก้อนหิน
“ดูสิ ยามเมืองพวกนี้เป็นคนเลวจริงๆ!”
“จุ๊จุ๊ เจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นผู้ฝึกอสูรจริงๆเหรอ สุนัขต้าเฮยนั่นก็ตัวโตมาก บางทีอาจจะกลายพันธุ์มาก็ได้นะ!”
“…”
โดยปกติแล้วทุกๆคนจะถูกพวกยามเมืองคอยแสวงหาผลประโชน์ พอมาถึงตอนนี้พวกเขานึกอยากจะเอาคืนพวกมัน
“แล้วยังไงล่ะถ้าเขาเป็นผู้ฝึกอสูร? กล้าที่จะมาลบหลู่ข้า ฮันปิน เมื่อนายน้อยอู๋กลับมา ข้าจะสั่งสอนมัน!” หัวหน้ายามเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ลู่หยางส่ายศรีษะและเดินนำขบวนสินค้าเข้าประตูเมืองไป ในเมื่อพวกยามเมืองยอมแพ้ เขาก็ไม่อยากจะถือสาอะไรอีก ลู่หยางเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาไม่อยากมีเรื่องบาดหมางใจกัน
“ไปเลย! ไป…” ไม่นานนักหลังจากที่ลู่หยางเข้าประตูเมืองไป ขบวนม้าติดอาวุธนำโดยชายวัยกลางคนได้วิ่งออกจากประตูไป
ม้าขบวนนี้เป็นม้าอสูรบ้าบิ่น มีฝีเท้าเร็วมากราวกับสายฟ้าแลบ ทันทีที่ได้ออกจากเมืองพวกมันต้องมีจุดหมายที่แน่นอน
สี่ชั่วโมงต่อมา ขบวนม้ามาถึงเมืองชิงหยางโดยไม่ได้หยุดพักเลย พวกมันวิ่งฝ่าผู้คน กีบม้าของพวกมันทำให้ผู้คนได้รับบาดแผลโชกเลือด
“โอ้ คุณพระช่วย! นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“หนีเร็ว! พวกม้าอันธพาลมาแล้ว!”
เมืองชิงหยางเกิดโกลาหลขึ้น ทุกๆคนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวนึกว่าม้าเกเรจะมาปล้น
“เฮอะ! นึกว่าพวกเราเป็นนักเลงขี่ม้าเรอะ เจ้าสมควรตาย!” ชายผู้นำวัยกลางคนอารมณ์เสีย เขาโกรธที่ถูกหาว่าเป็นโจร เขาหวดแส้ม้าลงที่คอของชาวเมืองคนหนึ่งที่ร้องตะโกนว่า โจรขี่ม้า วิธีของเขาหยาบคายและไร้ปราณี
“ท่านผู้ครองเมือง บ้านของลู่หยางอยู่ข้างหน้าเรานั่น” ชายหนุ่มคนหนึ่งชี้ที่บ้านของลู่หยาง
“โจมตีเลย!” คนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่ราวกับหมาป่ากับเสือ สร้างความหายนะราวกับลมพายุ
“ท่านครับ ข้างในมีแค่ผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กอีกคนครับ” มารดาของลู่หยางกับน้องชายของเขาถูกจับออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฮือฮือ!” ลู่หลี่น้อยตัวสั่นเทาด้วยความกลัวในอ้อมแขนของมารดา
“เจ้าเป็นใครกัน? มาจับพวกเราทำไม?” ซุ่หลานกอดบุตรชายคนเล็กไว้แน่น จ้องคนกลุ่มนี้ด้วยความโกรธ วินาทีนั้นนางคุ้นหน้าคนคนนี้“ทำไมเป็นเจ้า?”
“นี่ท่านป้า บุตรชายท่านลู่หยางฆ่าบุตรชายของท่านผู้ครองเมืองของเรา ทำไมถึงคิดว่าเราควรจับกุมท่านล่ะ!” นัยต์ตาหลี่ยี่ฉายแสงสีดำแปลกๆ เขาหัวเราะเย็นชา
“อะไรนะ?”!“เป็นไปไม่ได้” ซู่หลานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนนั้นนางพบลีเฟิงซึ่งเกือบจะต่อสู้กับบุตรของนาง แต่ซุนวูก็ทำให้เขากลัวหนีไป แล้วจะตายกะทันหันเช่นนี้ได้อย่างไร แถมยังมาว่าบุตรชายของนางเป็นคนฆ่า
“บอกมา บุตรชายท่าน ลู่หยางอยู่ไหน?” ดวงตาซูหลานหมองลง นางกลัวว่าบุตรชายจะต้องตาย เขามาดมั่นที่จะจับลู่หยาง ลากเขาออกมาแล้วฟันให้เป็นชิ้นๆ