เมื่อครั้งอดีต
“อะไรนะ จะออกจากวง ?!”
เสียงของ หม่านอี้ มือเบส ดังออกมาจากส่วนของห้องน้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏตัวออกมาเสียอีก
“ช่าย ฉันคิดว่าพอแล้วล่ะ ฉันเหนื่อยมากแล้ว”
ป๋อ ซึ่งเป็นนักร้องนำพูด เขานั่งเหยียดขายาว ๆ ไปบนโซฟาด้วยท่าทีสบาย ๆ ตรงข้ามกับหัวข้อที่พูดออกมาเลย
“ตลกน่า มาออกอะไรตอนนี้” ร่างของหม่านอี้เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับมือซึ่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดหยดน้ำตามใบหน้าและมืออีกข้างไปมา “วงกำลังไปได้ด้วยดีแท้ ๆ”
“จริงด้วยไอ้ป๋อ”
เท่ มือคีย์บอร์ดเห็นด้วย
“ฉันก็ว่างั้น”
และรวมถึงทีโอ มือกลอง ต่างก็เห็นด้วยว่าชายหนุ่มไม่ควรออกจากวงในตอนนี้
“จะว่าอย่างไรดีล่ะ คือ… ฉันรู้สึกว่างานมันค่อนข้างจะหักโหมเกินไป เหมือนไอ้เพ้นท์จะบังคับให้พวกเราทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอย่างไรอย่างนั้น”
ป๋อจุดบุหรี่ขึ้นสูบ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือของเขาคีบบุหรี่ นัยน์ตาก็ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายเหมือนเครื่องจักรที่กำลังจะพังเพราะทำงานมากเกินไป
“ไอ้เพ้นท์น่ะมันทะเยอทะยานเกินไป” หม่านอี้ให้ความเห็น “แต่ที่จริงมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนด้วยกันแล้วนี่นะ”
...ใช่แล้ว พวกเขาเคยเป็นอดีตเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันมาก่อน ต่างก็รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี และเคยเป็นวงดนตรีของโรงเรียนด้วย
“ทำไงได้ เด็กห้องคิงก็แบบเนี้ย”
เท่ผู้แสนจะสุขุมเยือกเย็นพูด
“อือ ๆ”
ทีโอน้องเล็กของวงพยักหน้ารัว
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ใครทนไหวก็ทนไปแต่ฉันจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”
ป๋อยื่นคำขาด
“...”
เงียบกันไปพักใหญ่ เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรในสถานการณ์แบบนี้
หม่านอี้ถอนหายใจ เฮ้อ ! เสียงดัง แล้วเดินออกไปยังบริเวณหน้าต่างของห้องซ้อม ส่วนเท่ได้แต่นั่งเงียบ ๆ ในขณะที่ทีโอเปิดแท็บเล็ตเช็กข่าวคราวในอินเทอร์เน็ต
“...แล้วนี่ถามหัวหน้าวงเขาหรือยัง ?”
เท่พูดออกมา สายตาสบกับป๋อซึ่งมองมาทางนี้พอดี
“ยังอะ ขี้เกียจพูด”
“อืม”
คำว่า ‘หัวหน้าวง’ ดูจะเป็นของแสลงที่สมาชิกในวงโดยเฉพาะหม่านอี้ เท่ และทีโอดูจะไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ เพ้นท์ มือกีตาร์ มักถูกพูดถึงในทางไม่ดีก็จริง แต่พวกเขาก็เกรงใจจึงไม่อยากวิจารณ์อะไรมาก
แต่นั่นไม่ใช่ป๋อ เพราะป๋อยังสำทับอีกว่า “ใครจะทนได้ก็ทนไป แต่ไม่ใช่ฉัน”
หลังจากนั้นป๋อก็ออกจากวงไปจริง ๆ พวกเขาจึงต้องวุ่นวายหาตัวนักร้องนำคนใหม่
และแล้วหวยก็ไปออกที่ บิว ซึ่งป๋อเป็นคนแนะนำให้ในภายหลัง และชายหนุ่มคนดังกล่าวก็ยังเคยเรียนอยู่ชุมนุมเดียวกับหม่านอี้ด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองเรียกให้มาออดิชัน”
เพ้นท์พูดเรียบ ๆ ขณะที่มือก็ยังสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดกีตาร์ตัวโปรด เมื่อเช็ดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องอย่างที่ใจต้องการแล้ว เพ้นท์ก็นั่งดีดกีตาร์ไปเงียบ ๆ ที่มุมห้อง โดยไม่สนใจอีกสามคนซึ่งมองหน้ากันเหลอหลา
“อะไร ? เรียกใครมาออดิชัน ?”
หม่านอี้ถามย้ำ
“ก็คนที่ชื่อบิวไง”
เพ้นท์พูด ชายหนุ่มหน้าหวานดูจะไม่สนใจความลำบากของเพื่อนร่วมวงเลย
“จะเอาอย่างนั้นจริงเหรอ แล้วแกโอเค ?”
ทีโอถามขึ้น
“ฉันโอเค”
“ก็ได้”
พูดจบก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ เมื่อหม่านอี้จัดการโทรศัพท์ถึงคนชื่อ ‘บิว’ ทันที โดยให้เท่นั้นเป็นคนพูด เพราะเท่เป็นคนที่มีวาทศิลป์ดีที่สุด และบิวเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้จักเท่
บิวเป็นนักเรียนที่มีความสามารถด้านการร้องเพลงเช่นเดียวกับป๋อ แต่การประกวดของบิวมักจะเป็นรายการเดี่ยว ๆ ซึ่งครอบครัวของเจ้าตัวสนับสนุนเองมากกว่า ไม่เกี่ยวข้องกับทางวงดนตรีของโรงเรียน ไม่เหมือนกับป๋อ
พวกเขาต่างก็เป็นเพื่อนนักเรียนที่อยู่ต่างห้อง แต่ก็มารวมตัวกันได้เพราะรักในเสียงดนตรีเหมือนกัน บิวไม่ได้มีโอกาสมารวมตัวกับวงดนตรีของโรงเรียนมากนัก เพราะเขาคือตัวสำรอง เนื่องจากป๋อเด่นกว่า ...เพราะหล่อกว่า
อุปนิสัยของบิวเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอยู่แล้ว จึงทำให้เหมือนเข้าถึงยาก ป๋อจึงได้รับโอกาสนั้นไป แต่ไม่รู้ว่าบิวในวัยหนุ่มจะเหมือนกับในวัยเรียนหรือเปล่า
เท่พูดโทรศัพท์กับบิวอยู่พักใหญ่ทีเดียว มีหม่านอี้และทีโอนั่งลุ้นจนตัวโก่ง ต่างจากเพ้นท์ที่ดูจะไม่สนใจเหมือนเคย ถึงแม้ว่าบางช่วงของการสนทนาจะได้ยินเสียงของเท่ดังขึ้นมาเช่น “ไอ้เชี่ยบิว !” เป็นต้น ซึ่งก็เดาได้ว่าคู่สนทนาคงจะพูดอะไรที่ทำให้มือคีย์บอร์ดหงุดหงิดขึ้นมาจึงต้องขึ้นเสียง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป บิวก็มาปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาทั้งสี่
บิวมาแต่ตัว ใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ เหมือนไม่ได้พิธีรีตองอะไรมาก บิวเข้ามาถึงก็ทักทายกับหม่านอี้ก่อนเป็นคนแรก จากนั้นจึงเข้าไปหาเท่และทีโอ
ทั้งหมดดูเข้ากันได้ดี จนกระทั่งบิวเดินเข้ามาหาเพ้นท์
“ขอฝากตัวด้วย”
ชายหนุ่มพูดเรียบ ๆ ซึ่งมือกีตาร์ผู้เป็นหัวหน้าวงก็ได้แต่พยักหน้าไปแบบส่ง ๆ
เพ้นท์นั้นคิดว่าตนเองเก่ง จึงมองคนอื่นเหมือน ‘อ่อน’ กว่าตนเองไปหมด ใครเล่นไม่ถูกใจ มันก็จะทำให้เพ้นท์หงุดหงิด ก็เหมือนกับถ้าป๋อร้องไม่ดี เพ้นท์ก็หงุดหงิด เรียกได้ว่านิสัยของเพ้นท์นั้นเป็นคุณชายจอมเอาแต่ใจตัวจริง
เพ้นท์จึงดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับการมาของบิวเลย แต่ถึงกระนั้นเมื่อเริ่มออดิชัน กลับเป็นเพ้นท์นั่นแหละที่แอบสนใจอยู่เงียบ ๆ
เมื่อเสียงอักขระพยางค์แรกถูกเปล่งออกมาจากลำคอของบิว เมื่อนั้นที่เพ้นท์ได้เข้าใจว่านี่แหละคือนักร้องนำแบบที่เขาต้องการ
...นักร้องที่จะขับเคลื่อนวงไปพร้อม ๆ กัน
บิวร้องเพลงแนวฮาร์ดร็อกไม่ใช่สักแต่ว่าว้ากเหมือนป๋อ แต่เสียงของบิวเป็นเสียงที่แหบ นุ่มลึก แต่ทรงพลังในแต่ละท่อน และมีเทคนิคในการร้องสูง ไม่ใช่ร็อกเกอร์ที่ออกมาว้าก ๆ อย่างเดียว
สีหน้าของบิวเวลาร้องเพลง ดูก็รู้ว่า ‘ตั้งใจร้องมาก’
ตอนนี้แหละที่เพ้นท์คิดว่าไม่เสียดายเลยที่ป๋อออกจากวงไป
เมื่อพวกเขาเล่นรวมวงกันเป็นครั้งแรกในห้องซ้อม หม่านอี้ตะบันเบสอย่างเมามัน เท่พรมนิ้วมือลงบนคีย์บอร์ดพลางโคลงศีรษะไปด้วย ทีโอเองก็ตีกลองด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเช่นกัน เพ้นท์กรีดนิ้วไปบนคอกีตาร์ในท่อนโซโลของเพลง
...สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของบิว