บทที่ 31 จำใจขายเลือด
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ วันนี้ผมอารมณ์ดีพอสมควร” วันนี้เย่โม่ได้ทั้งเมล็ดพันธุ์และปรุงยาจาก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ จนกลายเป็นซุปได้ถ้วยหนึ่ง 2 สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อยเลย
“ฉันขอยืมเงินสองพันหยวนหน่อยสิ” หนิงชิงเชวี่ยพูดออกมาด้วยอาการสงบนิ่ง ตามความคิดของเธอแล้ว ยืมเงินแค่สองพันหยวนเขาก็ไม่ควรจะปฏิเสธเธอ เพราะเงินของเย่โม่ก็ได้มาจากเธอนั่นเอง
“ไม่มีเงิน!” เย่โม่เดิมทีรู้สึกอารมณ์ดีกลับถูกหนิงชิงเชวี่ยทำให้เสียอารมณ์จากคำขอยืมเงินของเธอ ต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้เงินในกระเป๋าของเย่โม่รวมกันแล้วมีแค่สามพันกว่าๆ เท่านั้น แต่หนิงชิงเชวี่ยอยู่ๆ ก็มาขอยืมสองพันหยวนเสียอย่างนั้น
“นาย!...” หนิงชิงเชวี่ยถูกเย่โม่ทำให้โกรธไม่น้อย ทำไมถึงได้งกแบบนี้ ในเมื่อเอาเงินเธอไปตั้งห้าแสนหยวน แค่เธอยืมเงินสองพันหยวนเขาก็ยังไม่ให้ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้?
“นายแค่เจียดดอกเบี้ยจากเงินห้าแสนหยวนมาสักหน่อยก็ได้สองพันหยวนแล้ว นายเองก็เป็นผู้ชาย ในอนาคตยังต้องทำธุรกิจค้าขายอีกมาก ทำไมถึงได้งกแบบนี้?” หนิงชิงเชวี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเธอเองจะหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปแบบนี้ แถมยังพูดเหมือนมีเหตุมีผลเสียด้วย
เมื่อเย่โม่เห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยเริ่มพูดถึงหลักการและเหตุผล เขาจึงรีบยกมือยอมแพ้ทันที “หยุด! หยุด! หยุดได้แล้ว...” พูดจบเย่โม่ก็หยิบเงินในกระเป๋าออกมาปึกหนึ่ง พอเขานับได้สองพันหยวนก็ยื่นให้กับ หนิงชิงเชวี่ย “แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ ครั้งหน้าอย่ามาขอยืมเงินแบบนี้อีก เงินพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ”
หนิงชิงเชวี่ยทำปากยื่น แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเงินของเย่โม่ เพียงแต่เธอคิดในใจว่าถ้าเงินของเขา ‘ไม่ใช่หามาได้ง่ายๆ’ ล่ะก็ บนโลกนี้ก็คงไม่มีใครหาเงินได้ง่ายแล้ว เขาแค่ให้ที่พักกับเธอเขาก็ได้เงินไปถึงห้าแสนหยวนแล้ว
ที่หนิงชิงเชวี่ยยืมเงินสองพันหยวนแบบนี้ สาเหตุก็เพราะเธอไม่มีเงินติดตัวเลยสักหยวนเดียว เธอไม่มีเงินจ่ายค่าโทรศัพท์แล้ว อีกอย่างเธอยังจำเป็นต้องซื้อของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงด้วย สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เธอไม่สะดวกสบายนัก
..........
ตอนเย็น เย่โม่รอเวลาจนกระทั่งซู่เวยและหนิงชิงเชวี่ยเข้านอนกันหมดแล้ว เขาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงสวนด้านหลัง เขาหยิบซุปสมุนไพรขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝน
วู่มม! ฤทธิ์ยาอันพลุ่งพล่านได้กระจายตัวอยู่บริเวณกลางอกของเย่โม่ จากนั้นจึงแล่นไปตามการเคลื่อนลมปราณของเย่โม่ ไม่นานยาเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นส่วนเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงเส้นลมปราณภายในร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้น กว้างขึ้น เย่โม่รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าหญ้าต้นเล็กๆ อย่าง ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ จะมีฤทธิ์มหัศจรรย์ขนาดนี้ ดูท่าเขาคงจะมีหวังในการเลื่อนพลังปราณไปถึงระดับ 2 แล้ว
ผ่านไป 4 ชั่วโมง พลังปราณภายในร่างของเย่โม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เย่โม่กลับรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พลังปราณภายในร่างของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่งก็หยุดนิ่ง จากนั้นจึงเริ่มเผาผลาญเส้นลมปราณของเขา นี่ทำให้เย่โม่ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เขาคงไม่กลายเป็นคนพิการหรอกนะ?
เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? การเผาผลาญเส้นลมปราณยิ่งนานยิ่งรุนแรง ยิ่งนานเข้าเย่โม่ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดที่เส้นลมปราณ ภายใต้ความกังวลใจเย่โม่ก็กัดเข้าไปที่ข้อมือของตัวเอง
เกิดเป็นเสียงดัง ผลุ! เมื่อความร้อนอันไร้ที่ระบายภายในร่างกายของเขากลายเป็นเลือดร้อนๆ พุ่งออกมาจากแผลตรงข้อมือ เย่โม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เขาคิดวิธีนี้ออกมาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นคงแย่แน่ๆ ดูเหมือนเขาจะไม่ควรดื่มซุปนั้นจนหมดถ้วยภายในครั้งเดียว ซุปสมุนไพรที่เขาปรุงขึ้นมานี้ที่จริงแล้วยังขาดหญ้าวิญญาณบางประเภท เขาใช้เพียงสมุนไพรธรรมดาๆ มาแทนที่เท่านั้น นี่คงเป็นผลข้างเคียง
หลังจากความร้อนในร่างกายเริ่มบรรเทาลงเย่โม่ก็รีบปิดปากแผลทันที ถึงเขาจะเสียเลือดไปไม่น้อย แต่ตอนนี้พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นมาจนถึงระดับ 1 ขั้นปลายแล้ว ฝึกครั้งแรกก็ทะลวงได้ถึงขั้นนี้แล้ว อีกทั้งเย่โม่ยังรู้สึกว่าฤทธิ์ยาภายในร่างยังไม่ถูกใช้จนหมด หากเขาฝึกต่อไปไม่แน่ว่าอาจเลื่อนไปถึงระดับ 2 เลยก็ได้
ทว่าในวันถัดมา เย่โม่ที่เพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ ขณะที่เตรียมตัวจะไปมหาวิทยาลัยอยู่นั่นเอง เขาก็ค้นพบความร้อนภายในเส้นลมปราณของเขาอีกครั้ง ภายในใจเย่โม่รู้สึกย่ำแย่ หรือต้องสูบเลือดเขาออกจนหมดถึงจะพอ? เขารู้สึกปวดใจที่ต้องเสียเลือดอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้
แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจทำอะไรเย่โม่ได้ เขาตรงไปยังโรงพยาบาลเพื่อขายเลือดทันที เขาเองก็ไม่รู้ว่าเลือดของเขาถูกดึงออกไปกี่ cc แล้วจนกระทั่งเขารู้สึกว่าลมปราณภายในร่างเริ่มกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
เย่โม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก พอมาถึงมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้ไปห้องสมุดแต่กลับเดินหาสถานที่ฝึกฝนแทน ระยะเวลาภายใน 2-3 วันนี้ถือว่าสำคัญมาก เขาจะต้องดูดซึมยาที่เหลือให้หมด จะได้ไม่สูญเปล่า
..........
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หนิงชิงเชวี่ยติดต่อกับหลี่มู่เหมยทุกๆ วันเกี่ยวกับความวุ่นวายภายในตระกูล หนิงซึ่งเธอเองก็ไม่กล้าจะจินตนาการ ถึงแม้ที่หนิงไห่นี้จะมีข่าวเรื่องที่เธอแต่งงานกับเย่โม่แล้ว แต่ความรุนแรงของที่นี่ก็เทียบกันไม่ได้กับความรู้สึกเหมือนระเบิดลงเมื่อข่าวนี้แพร่ไปถึงปักกิ่ง
สิ่งที่ทำให้หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกโล่งอกก็คือ หลังจากข่าวของเธอถูกเผยแพร่ออกไปตามเว็บไซต์หรือหนังสือพิมพ์ ตระกูลซ่งก็เหมือนจะยอมรามือไปแล้วจริงๆ ไม่พูดถึงเรื่องของเธอและซ่งเฉ่าเหวินอีกเลย
2-3 วันมานี้ชีวิตของเย่โม่มีทั้งความสุขและความเจ็บปวดผสมปนเปกันไป ทุกวันที่ฝึกเขาพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เขาก็ต้องไปขายเลือดที่โรงพยาบาลทุกวันเช่นกัน ถึงเงินที่เขาได้จากการขายเลือดจะไม่เยอะมาก แต่ก็ถือว่าเป็นรายได้ทางหนึ่ง
หลังจากที่เขาดื่มซุปสมุนไพรถ้วยนั้นมาแล้ว 6 วัน ตอนเย็นขณะที่เย่โม่กำลังฝึกอยู่เขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงราวกับว่ามีบางอย่างภายในร่างกายถูกทะลวงออก ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกปลอดโปร่ง ตอนนี้ฤทธิ์ยาที่หลงเหลือภายในร่างกายได้ถูกใช้จนหมดแล้ว พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า สัมผัสทางจิตของเขาเองก็เริ่มกระจายออกมาข้างนอกได้แล้ว
ในที่สุดก็ระดับ 2 แล้ว! ไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องไปทนทรมานที่โรงพยาบาลอีกแล้ว เวลานี้เย่โม่รู้สึกดีใจจนอยากลุกขึ้นมาตะโกนให้สุดเสียงเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ว่านี่มันเที่ยงคืนแล้ว ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ ก็อาจถูกคนหาว่าบ้าได้ ทว่าในใจเขาก็ยังรู้สึกยินดีจนไม่อาจหาคำมาบรรยาย
วันถัดมา เย่โม่ซื้ออาหารเช้าให้หนิงชิงเชวี่ยจากนั้นก็เตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย เขาคิดจะมอบยาสัก 2-3 เม็ดให้กับชือซิว ในเมื่อตอนนี้เขาฝึกถึงระดับ 2 แล้ว อีกไม่นานเขาก็จะจากที่นี่ไปแล้ว ชือซิวคือเพื่อนของเขา ก่อนจะไปจากหนิงไห่เขาจึงอยากมอบยาที่เขาปรุงไว้ให้ชือซิว เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
เดิมทีเย่โม่คิดว่าหลังจากแต่งงานและถ่ายรูปพวกนั้นกับหนิงชิงเชวี่ยแล้ว จะต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมาแน่นอน แต่นี่ก็ผ่านมาได้ครึ่งเดือนแล้วเขายังไม่พบเจอเรื่องยุ่งยากอะไรเลย เย่โม่จึงค่อยๆ รู้สึกวางใจ “เย่โม่…” นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หนิงชิงเชวี่ยเรียกเพื่อหยุดเย่โม่ที่กำลังจะออกไปข้างนอก
เมื่อเย่โม่ได้ยินก็แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว ครั้งที่แล้วที่เธอเรียกเขาไว้เงินก็หายไปถึงสองพันหยวน แล้วครั้งนี้จะมีเรื่องอะไรอีก? แต่ในเมื่อหนิงชิงเชวี่ยเรียกแบบนี้เขาก็ไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เขาหันกลับไปมองหนิงชิงเชวี่ย เย่โม่รู้สึกยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ หนิงชิงเชวี่ยยังคงสวยงามเหมือนเทพเซียนเช่นเดิม ต่างกันตรงที่ตอนนี้เธอเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนทักษะการทำอาหารของเขาจะมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้ คนที่ไม่รู้เรื่องจริงคงคิดว่าเธอมาพักร้อนมากกว่าจะมาหาที่หลบภัย
“มีอะไร?” เย่โม่ถามอย่างจนใจ
เมื่อเห็นท่าทีดังนั้นของเย่โม่แล้ว หนิงชิงเชวี่ยก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี หรือเธอไม่เหมาะสมกับเขา? ถึงจะเป็นแค่การแต่งงานแบบปลอมๆ แต่เธอก็ยังถือว่าดีพอสำหรับคนแบบเขาแล้ว ถึงจะคิดแบบนี้แต่อารมณ์ที่เธอแสดงออกมาก็ยังเฉยชาไม่แยแส ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อาจอาศัยอยู่ในห้องของเย่โม่คนเดียวได้ถึงครึ่งเดือนแบบนี้หรอก
หนิงชิงเชวี่ยกลับไปสงบนิ่งอีกครั้ง “วันนี้เพื่อนฉันคนหนึ่งอยากจะมาที่หนิงไห่ เธอเป็นนักข่าว สาเหตุที่เธอมานายก็คงรู้แล้ว ถึงฉันจะไม่อยากไปกินข้าวกับเธอคนนั้นเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ฉันยังอยู่ภายใต้สายตาคนอื่นอยู่ เย็นวันนี้นายช่วยไปกินข้าวกับพวกเราหน่อยได้ไหม?”
“ผมทำอาหารเป็น ทำไมถึงต้องไปกินข้างนอกกัน?” ความคิดแรกของเย่โม่คือหากเขาทำเองก็จะประหยัดเงินได้
“นาย!...” หนิงชิงเชวี่ยถูกเย่โม่ทำให้โกรธจนเกือบสำลัก ที่จริงเธอไม่ใช่คนรักหน้าตาชื่อเสียงอะไร เพียงแต่ภายใต้สายตาของคนอื่น หนิงชิงเชวี่ยก็อยากให้ชีวิตคู่ของเธอกับเย่โม่ดูสมจริงเท่านั้น
“เอาเถอะ ไว้ตอนเย็นผมจะไป...” เย่โม่ตอบรับอย่างอ่อนใจ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
..........