บทที่ 30 ชีวิตหลังแต่งงาน
“ทำไมถึงต้องใส่ชุดนอน?” เย่โม่ถามอย่างเซ็งๆ เขาคิดในใจว่าจะถ่ายรูปต้องทำถึงขนาดนี้เลย?
หลี่มู่เหมยพูดขึ้นราวกับรู้ว่าเย่โม่กำลังคิดอะไรอยู่ “ชิงเชวี่ยยังไม่กลัวเลย แล้วนายจะกลัวอะไรเล่า? คิดว่าตัวเองเป็นนายแบบนู๊ดหรือยังไงกัน”
“มู่เหมย!...” ถึงแม้ในสายตาของหนิงชิงเชวี่ยเย่โม่จะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่คำพูดของหลี่มู่เหมยกลับทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง คำว่า ‘นายแบบนู๊ด’ ทำให้หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกไม่พอใจมาก
เย่โม่คิดจะปฏิเสธเรื่องถ่ายรูป แต่เมื่อเขาหวนคิดไปถึงครั้งแรกที่เขาได้เจอหนิงชิงเชวี่ย แววตาอันโศกเศร้าของเธอคล้ายคลึงกับอาจารย์ลั่วอิ่งของเขามาก
สุดท้ายแล้วเขาจึงตอบตกลงเรื่องนี้ ราวกับว่าลึกๆ ในใจแล้วเขาจะเริ่มคิดว่าหนิงชิงเชวี่ยคืออาจารย์ลั่วอิ่งของเขา หรือไม่ก็คิดถึงอาจารย์ของเขาผ่านทางหนิงชิงเชวี่ย ในเมื่อเธอไม่กลัว ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่กลัวเช่นกัน เรื่องถ่ายรูปแบบนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าไม่สำคัญอะไรเลย ช่วยสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร
เย่โม่สวมชุดนอน จากนั้นเขาก็นอนพิงหัวเตียงคู่กันกับหนิงชิงเชวี่ย เย่โม่เกิดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา กลิ่นกายสาวบริสุทธิ์บางๆ ของหนิงชิงเชวี่ยทำให้เขาเคลิ้มอยู่บ้าง กลิ่นกายของเธอแม้จะคล้ายคลึงกับอาจารย์ลั่วอิ่ง แต่ก็มีบางส่วนเช่นกันที่แตกต่างออกไป แต่ต่างกันตรงไหนเย่โม่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าเขาชอบกลิ่นหอมเช่นนี้เอามากๆ
เย่โม่โน้มตัวเข้าหาหนิงชิงเชวี่ยโดยไม่รู้ตัว เขาลืมเรื่องการถ่ายรูปไปเรียบร้อยแล้ว
หนิงชิงเชวี่ยก็สวมชุดนอนมานั่งข้างๆ เย่โม่เช่นกัน คิ้วของเธอขมวดมุ่นราวกับรู้สึกไม่ชอบใจกับแผนการนี้อยู่บ้าง แต่สีหน้าของเธอก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
บนร่างกายของเย่โม่ไม่มีกลิ่นที่เธอรังเกียจอยู่เลย ทั้งยังให้ความรู้สึกที่สดชื่น กลิ่นหอมจางๆ ของชายชาตรีเมื่อรวมกับกลิ่นหอมสดชื่นราวกับเด็กทารกของเย่โม่ ทำให้หนิงชิงเชวี่ยถึงกับรู้สึกเคลิ้มไปชั่วขณะ
หนิงชิงเชวี่ยเหมือนรู้สึกว่าเย่โม่เอนตัวโน้มเข้ามาหา เธอหยุดนิ่งไม่หลบหลีกราวกับถูกมนต์สะกด... กลับกัน เธอก็เอนตัวพิงเย่โม่เช่นกัน หนิงชิงเชวี่ยหลับตาลงราวกับหวนนึกถึงความรู้สึกตอนที่พบกันครั้งแรก โดยลืมไปแล้วว่าเธอกับเย่โม่กำลังแสดงละครอยู่
เนื้อกายอันอ่อนนุ่มของหนิงชิงเชวี่ยทำให้เย่โม่รู้สึกผ่อนคลาย แต่เขากับเธอนอนเบียดกันได้ไม่นานนักเย่โม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขากำลังแสดงเพื่อถ่ายรูปอยู่ ข้างๆ ยังมีหลี่มู่เหมย ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาเคลิบเคลิ้ม พอคิดได้ถึงตรงนี้เย่โม่ก็สะดุ้งในใจแล้วเตรียมจะผละตัวออก
ตอนนั้นเองที่หลี่มู่เหมยพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่พวกเธอ… คงไม่ใช่ว่ากำลังอินอยู่หรอกนะ เฮ้! ฉันถ่ายเสร็จแล้วนะ ลงมาจากเตียงได้แล้ว จริงๆ เลย...”
หนิงชิงเชวี่ยได้สติขึ้นมาทันที ใบหน้าของเธอแดงก่ำ หนิงชิงเชวี่ยไม่รู้ว่าเธออินกับบทขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนนี้เธอไม่กล้ามองหน้าหลี่มู่เหมยหรือเย่โม่เลย
เย่โม่หัวเราะพลางลูบจมูก เขาเปลี่ยนชุดราวกับตรงนั้นไม่มีใครอยู่ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
“มู่เหมย ฉัน...” หนิงชิงเชวี่ยเหมือนไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายการกระทำของเธอยังไง หนิงชิงเชวี่ยไม่รู้ว่าทำไมเย่โม่ถึงดึงดูดเธอได้ขนาดนี้ เธอไม่ได้ต่อต้านเขาเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร รูปก็ถ่ายเสร็จแล้ว อีกสักพักฉันจะก็อปปี้รูปพวกนี้ส่งให้จิ้งเหวินและส่งกลับปักกิ่งด้วย หลังจากนี้เธอก็อยู่ที่นี่ชั่วคราวก็แล้วกัน คิดว่าอย่างน้อยก็สักประมาณ 1 เดือนได้ ถึงตอนนั้นเรื่องต่างๆ ก็คงเข้าที่เข้าทางแล้ว เอาไว้ฉันจะมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ”
หลี่มู่เหมยพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมาระลอกหนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ “โชคยังดีที่เย่โม่เสื่อมสมรรถภาพนะ ไม่อย่างนั้นถ้าหากพวกเธอต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้ ฉันว่ามันก็เสี่ยงมากจริงๆ นั่นแหละ”
แน่นอนว่าหนิงชิงเชวี่ยเข้าใจความหมายที่หลี่มู่เหมยพูด แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะโต้แย้งหลี่มู่เหมยยังไงดี เธอยังรู้สึกสงสัยด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วเย่โม่นั้นเหมือนกับผู้ชายปกติทั่วไป ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงอยู่กับซู่เวยได้ล่ะ? ถึงหนิงชิงเชวี่ยจะคิดแบบนี้แต่ก็รู้สึกอายจนไม่กล้าพูดออกมา
แต่หนิงชิงเชวี่ยรู้ความรู้สึกของตัวเองดี ไม่ว่าอาการของเย่โม่จะเป็นแบบไหน เธอคิดว่าหลี่มู่เหมยกังวลเกินไปแล้ว เรื่องที่เกิดเมื่อครู่ก็เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น อีกอย่างตอนนั้นในใจเธอมีแต่ความสงบเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกอื่นใดแฝงอยู่เลย
..........
วันถัดมา ข่าวที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ข่าวหนิงชิงเชวี่ยแต่งงาน แต่กลับเป็นข่าวที่มีคนพบเจอเกย์ 2 คนบนรถ BMW ที่จอดอยู่ตรงเซ็นจูรี่สแควร์ ทว่าตอนที่ตำรวจไปตรวจสอบก็พบว่าหนึ่งในนั้นเป็นถึงลูกชายของรองนายกเทศมนตรี รวมถึงทั้ง 2 คนยังได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสเสียด้วย
เห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้
ถึงแม้ทั้ง 2 คนจะได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว เรื่องนี้จึงได้กลายเป็นคดีที่ไขไม่ได้เสียแล้ว
หลังจากหลี่มู่เหมยจากไป ชีวิตของเย่โม่ก็กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง เขาพบว่าหากเขาไม่ซื้ออาหารกลับมา หนิงชิงเชวี่ยก็จะไม่กินอะไรเลย
ที่เย่โม่ไม่รู้ก็คือ…ตอนที่หนิงชิงเชวี่ยหนีออกมาจากบ้านนั้น เธอพกบัตรธนาคารมาเพียงใบเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ได้ให้เย่โม่ไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอไม่มีเงินติดตัวเลยสักหยวนเดียว อีกอย่างหลังจากเกิดเหตุการณ์ตอนถ่ายรูปครั้งที่แล้ว เธอก็รู้สึกอายเกินกว่าจะโทรหาหลี่มู่เหมย แล้วในเมื่อเย่โม่ก็ได้เงินจากเธอไปแล้วถึงห้าแสนหยวน มันก็คงไม่เป็นอะไรหากเธอจะกินอยู่ที่นี่โดยใช้เงินของเย่โม่
แต่หลังจากนั้น 2-3 วันเย่โม่ก็พบว่าหนิงชิงเชวี่ยกินข้าวน้อยมาก เย่โม่ถอนหายใจ...เขารู้ว่าหนิงชิงเชวี่ยคงจะเลือกกินอยู่พอสมควร เธอคงไม่ชินกับอาหารที่เขาซื้อมาจากข้างนอก
ด้วยเหตุนี้เองเย่โม่จึงต้องจำใจซื้อกับข้าวมาทำเอง แต่ตอนนี้เขามีเงินแค่ห้าหมื่นหยวน เมื่อรวมกับค่าสมุนไพรและเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ตอนนี้เขาเหลือเพียงสองหมื่นหยวนเท่านั้น เย่โม่มองไปยังบัตรธนาคารของหนิงชิงเชวี่ย ในเมื่อเธอมาอยู่ห้องพักของเขา กินอาหารของเขา หากจะใช้เงินในบัตรนี้เสียหน่อยก็คงจะไม่เป็นไร และเมื่อสิ้นสุดข้อตกลงกับหนิงชิงเชวี่ยแล้วเขาก็จะคืนเงินที่เหลือให้กับเธอทันที
แต่เย่โม่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง อย่าว่าแต่เงินห้าแสนหยวนเลย แม้แต่หยวนเดียวบัตรนี้ก็รูดออกมาไม่ได้ เหตุผลก็เพราะบัตรที่หนิงชิงเชวี่ยให้เขามาถูกธนาคารระงับเอาไว้แล้ว
ถึงแม้เรื่องต่างๆ จะไม่ราบรื่นนัก แต่อย่างน้อยหนิงชิงเชวี่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธอาหารที่เย่โม่ทำ อีกทั้งมื้อหนึ่งเธอก็กินไม่น้อยเลย นี่ทำให้เย่โม่คลายกังวลไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นผ่านไปอีกสักเดือนตัวหนิงชิงเชวี่ยคงผอมจนปลิวไปตามลม ที่จริงแล้วเย่โม่เองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหนิงชิงเชวี่ย อาจพูดได้ว่ารู้สึกดีกับเธอด้วยซ้ำ เขาจึงไม่อยากเห็นเธออดอยาก
เย่โม่รู้สึกว่าหนิงชิงเชวี่ยออกจะประหลาดอยู่มาก ถ้าเขาซื้ออาหารมาจากข้างนอกเธอจะกินได้น้อย แต่หากเขาทำเองเธอจะกินเยอะขึ้นมาก ราวกับว่าอาหารที่เขาทำจะตรงกับความชอบของเธอ ด้วยเหตุนี้เอง...เมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงสัปดาห์เดียวเธอก็พบว่าตัวเองอ้วนขึ้นเล็กน้อย
ที่ทำให้เย่โม่รู้สึกดีใจที่สุดก็คือ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขาโตพอที่จะเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ได้แล้ว เย่โม่ได้เก็บเมล็ดของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ทั้ง 39 เมล็ดอย่างระมัดระวัง เขาเก็บมันใส่ขวดหยกที่เตรียมเอาไว้
เย่โม่ไม่อยากจะปลูกต้นไม้ที่นี่อีกแล้ว สาเหตุก็เพราะเขาไม่อยากรออยู่ที่นี่ถึง 2 ปี รอให้เรื่องที่ค้างคาของที่นี่จบลง เขาจะย้ายออกจากหนิงไห่ทันที เขามีความรู้สึกว่าหนิงไห่ไม่เหมาะสำหรับเขาอีกต่อไป
เมื่อได้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มาแล้วเย่โม่ก็เริ่มใช้ประโยชน์ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ที่โตแล้วต้นนี้ จุดสำคัญคือจะใช้งานแบบไหนให้ได้ประโยชน์สูงสุด ไม่แน่ว่าหากใช้ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ต้นนี้แล้วเขาอาจจะเพิ่มพลังปราณจนไปถึงระดับที่ 2 เลยก็ได้
ตอนนี้เย่โม่เหลือเงินอยู่สองหมื่นหยวน ในเงินจำนวนนั้นถูกเขาใช้ซื้อสมุนไพรถึงหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อมาปรุงร่วมกันกับ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’
ทุกครั้งที่เย่โม่ออกมาข้างนอกหนิงชิงเชวี่ยจะขอให้เย่โม่ยืมหนังสือจากห้องสมุดมาให้เธอครั้งละ 2-3 เล่ม น้อยครั้งที่เธอจะออกมาข้างนอก ปกติเธอจะชอบนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เย่โม่ดูแลต้นไม้ใบหญ้าของเขา หรือเป็นตอนที่เย่โม่ปรุงซุปสมุนไพรของเขา หนิงชิงเชวี่ยก็จะจ้องมองอย่างเงียบๆ โดยไม่ถามอะไรเขาสักคำเดียว
ทุกวันนี้ซู่เวยกลับมาถึงที่พักก็มักจะเป็นช่วงเย็นๆ แล้ว ช่วงเช้าก็เข้างานเร็วมาก นอกจากพูดคุยกับเย่โม่เล็กๆ น้อยๆ แล้วเธอก็ไม่ค่อยได้เจอกับหนิงชิงเชวี่ยเลย นี่ทำให้เธอหวนนึกถึงตอนที่เย่โม่เพิ่งจะเข้ามาพักที่นี่ใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นเธอกับเขาก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันสักเท่าไหร่
เย่โม่ต้มสมุนไพรทั้งหม้อจนกระทั่งกลายเป็นซุปถ้วยหนึ่ง เขาเตรียมซุปถ้วยนี้ไว้ดื่มตอนที่ฝึกฝนช่วงเย็น
“เย่โม่… ฉันอยากให้นายช่วยอะไรหน่อย” นอกจากตอนขอยืมหนังสือแล้วหนิงชิงเชวี่ยจะพูดกับเย่โม่น้อยมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มคุยกับเขาก่อน เหมือนกำลังจะขอร้องอะไรเขาสักอย่าง