คาถาที่ 27 : เข้ารังศัตรู
“พิมพ์ จะเอาแบบนี้จริง ๆ เหรอ”
เสียงพูดออดอ้อนเหมือนพยายามจะให้คนฟังยกเลิกสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำดังออกมาจากปากของยูตะ เจ้าตัวเกาะแขนภรรยาของตัวเองอย่างเว้าวอน หลังจากรถตู้สีดำจอดลงด้านหน้าของบริษัทยาแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
“จริงสิ” คนถูกอ้อนพูดตอบกลับไปอย่างไม่คิด พลางทำท่าจะเปิดประตูรถออกไปด้านนอก แต่มีมือคนข้างตัวรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ถ้าพวกนั้นจับได้ว่าเราแฮ็คข้อมูลที่ตั้งห้องทดลองในไทย แถมไปขโมยตัวทดลองออกมา เราต้องซวยแน่ ๆ ไม่มีงานทำ โดนแบล็คลิสอีก เงินทั้งนั้นเลยนะ แล้วไหนจะแพลนเที่ยวรอบโลกของเราอีกไงพิมพ์ คิดอีกทีดีไหมครับ”
คนพูดชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นข้ออ้างในการยกเลิกสิ่งที่ภรรยาตัวเองคิดจะทำ จริงอยู่ที่ไอ้เด็กพวกนั้นมันช่วยภรรยาเขาไว้ แต่นี่มันเสี่ยงต่ออาชีพที่เขาทำเหลือเกิน แถมดีไม่ดีจะเอาตัวเองไปตายอีกต่างหาก ไม่มีใครอยากจะทำหรอก จะว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ได้
“ลุง ! ลุงเป็นคนสัญญากับไอ้ชาเองนะ ถ้าพวกเราช่วยพี่พิมพ์ออกมาจากกระจกได้ ลุงจะช่วยพวกเรา” เสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของรถตู้เป็นของแมทธิว ที่อดทนมองยูตะหว่านล้อมพิมพ์นาราอยู่นานให้ช่วยพวกเขาแค่นี้ แค่บอกที่ตั้งแล้วที่เหลือให้จัดการกันเอง
แล้วเรื่องแบบนั้นแค่เขากับคีย์บอร์ดจะทำกันเองได้ยังไงล่ะ แค่หาทางเข้าไปข้างในก็ยากแล้ว ในเมื่อมองออกไปทางหน้าบริษัทก็มียามเกือบสิบคนเฝ้าอยู่ นี่ไม่รู้ว่านี่บริษัทยาหรืออะไร ส่วนเรื่องที่จะถอดวิญญาณเข้าไปสอดแนมก็เลิกคิดได้เลย เพราะเห็นยูตะบอกว่าพวกนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง มีเครื่องมือในการตรวจจับคลื่นความถี่พลังงานที่ผิดปกติออกไป เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเทคโนโลยีปัจจุบันมันไปได้ไกลถึงขนาดนี้แล้ว ทั้ง ๆ ที่เรื่องของพวกเขายังถูกปกปิดเป็นความลับให้คนอื่นเชื่อว่าพ่อมดแม่มด สิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นแค่เทพนิยายปรัมปรา
“โอ๊ะ ! ได้เด็กนี่ บอกอย่าเรียกลุง ให้เรียกพี่ นี่เพิ่งจะสามสิบกว่าเองโว้ย” ยูตะหันมาโวยวายใส่คนที่อยู่ด้านหลังรถ
“เอาน่า ยังไงพวกเขาก็ช่วยพิมพ์ออกมาได้นะ ถ้าไม่ได้ชากับแมทตอนนั้น พิมพ์คงแย่แน่” พิมพ์นาราปรามสามีตัวเอง
“ก็ได้ รู้แล้วน่า ยังไงเค้าก็ตามใจพิมพ์อยู่แล้ว”
“คุยกับพี่พิมพ์นี่เสียงสองเลยนะลุง เลิกหวานได้แล้ว บอกแผนมา พวกเราจะเข้าไปในนั้นยังไง” แมทธิวพูด ทำเอายูตะจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด ก่อนหันมาบอกวิธีการเข้าไปภายในตึกบริษัท
“อยู่นิ่ง ๆ แล้วเดินตามมาพอ รู้จักไหม เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด”
มีเพียงคีย์บอร์ดที่นั่งฟังอย่างนิ่งเงียบมาตลอดระยะทางที่มาถึงที่นี่ ดีนะที่เขาตัดสินใจถูก ไม่พาคนมาเยอะกว่านี้ ไม่งั้นมันคงต้องวุ่นวายกว่านี้แน่ ๆ
สองชั่วโมงก่อนหน้า
“กูกับไหมอยากไปด้วย” เสียงของอิฐดังขึ้นมาหลังจากแมทธิวเพิ่งวางสายจากยูตะและพิมพ์นารา
“มึงจะบ้าเหรอไอ้อิฐ งานนี้มันอันตรายมากนะ” คีย์บอร์ดพูด เขาก็เข้าใจนะว่าสองคนนี้เป็นห่วงชาบูมากไม่ต่างอะไรไปจากเขา แต่การที่เอาคนธรรมดาไปสู้รบตบตีกับพวกนักล่าแม่มด หรือสิ่งที่มันเหนือธรรมชาติ มันเป็นความคิดที่ไม่ดีเอาซะเลย
“อันตรายแค่ไหนฉันก็จะไป” ใยไหมพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วงแฟนหนุ่มของตัวเอง
“พวกมึงจะดื้ออะไรกันขนาดนี้วะ กูดูแลพวกมึงไม่ได้ตลอดนะเว้ย มึงจำวันที่แม่มดดำมันปล่อยนกมาที่ห้องเรียนได้ไหม ตอนนั้นกูยังแย่เลย แล้วคราวนี้พวกนักล่าแม่มด มันจะวุ่นวายไปอีก” คีย์บอร์ดพูด พยายามยกเหตุผลขึ้นมาบอกทั้งสองคน พร้อมหันไปหาแมทธิวให้ช่วยพูด
“จริงของไอ้คีย์มันนะ อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลย มึงกับไหมไปก็จะเป็นตัวถ่วงเปล่า ๆ พี่ฟอง ผมกับไอ้คีย์ฝากดูสองคนนี้ด้วย” แมทธิวพูดก่อนหันไปคุยกับฟองนม ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับอย่างดิบดี
“ต้นเหตุเรื่องนี้มันมาจากน้ากู กูสัญญาว่ากูจะช่วยมันกลับมาให้ได้ มึงกับไหมไม่ต้องห่วง”
“มาติดต่ออะไรครับ” เสียงดังขึ้นมาจากยามคนหนึ่งที่ด้านหน้าของตึก ขณะยูตะกับพิมพ์นาราเป็นคนเดินนำหน้าคีย์บอร์ดและแมทธิวเข้าไปด้านในของตัวอาคาร ดูท่าทางจะไม่ใช่ยามธรรมดาทั่วไปเหมือนบริษัทอื่น เพราะลักษณะรูปร่างแต่ละคนเต็มไปด้วยมัดกล้าม เหมือนพวกบอดี้การ์ดที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี มากกว่าจะมาเป็นยาม
“พวกเราเป็นนักล่าแม่มดจากสาขาต่างประเทศ มาติดต่อเรื่องงาน” ยูตะเป็นคนพูดออกไป
“แต่คุณซิลเวียไม่เห็นบอกอะไรพวกเราไว้” ยามร่างยักษ์นั่นพูด พร้อมหรี่ตามองคนที่มาเยือนทั้งสี่คนอย่างประเมิน ว่าสมควรให้เข้าไปดีหรือไม่
“เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนและสำคัญมาก สมาคมไม่อยากให้มีการติดต่อผ่านทางโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตล่วงหน้า เพราะอาจมีการดักจับข้อมูล จึงให้เราบินมาไทยเพื่อแจ้งด้วยตัวเอง” ยูตะพยายามหาเรื่องแถต่อ โชคดีที่ดูคนฟังก็พอจะคล้อยตามไปด้วย แต่สายตาก็มองเลยไปยังเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขา
“อย่างงั้นเหรอ แล้วสองคนข้างหลังล่ะ เป็นนักล่าแม่มดจริงเหรอ ยังดูเด็กอยู่เลยนะ”
“สองคนนี้เป็นเด็กใหม่ที่เราสองคนกำลังฝึก ถ้านายไม่เชื่อว่าพวกเราคือนักล่าแม่มดก็ดูนี่”
ยูตะหยิบบัตรใบหนึ่งขึ้นมาโชว์ให้ยามคนที่อยู่ตรงหน้าดู บนบัตรมีชื่อ ที่อยู่ พร้อมบาร์โค้ดของเจ้าตัวแสดงถึงการเป็นสมาชิกของสมาคม ถึงแม้เขาจะเป็นพวกนักล่าแม่มดฟรีเลนซ์ก็เถอะ แต่การที่ต้องมาทำเรื่องติดต่อกับผู้ว่าจ้างงานบ่อย ๆ เลยถูกบังคับให้ทำบัตรไว้
“เชื่อหรือยังว่าพวกเราเป็นนักล่าแม่มดจริง ๆ” ยูตะพูด โชว์เสร็จก็รีบเก็บบัตรเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง ไม่อยากให้คนดูจำได้ว่าข้อมูลบนบัตรมีอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นอาชีพของเขาเป็นอันจบแน่ ถ้าพวกนั้นจับได้แล้วหาตัวเขาเจอขึ้นมาหลังจากจบงานนี้
“ตามมา” ยามร่างยักษ์นั่นพูด ทำเอาทั้งสี่แอบถอนหายใจออกมาในใจเฮือกใหญ่ ก่อนเดินตามร่างนั้นเข้าไปภายในตัวอาคาร
ภายในตัวอาคารก็เหมือนบริษัททั่ว ๆ ไป มีพนักงานอยู่ประปราย ยามคนนั้นพาพวกเขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ พอเดินไปถึงลิฟต์ก็มีพนักงานกดลิฟต์อยู่ข้างใน พนักงานกดลิฟต์มองหน้าพวกเขาแล้วยิ้ม ก่อนหันไปมองหน้ายามที่พาพวกเรามา
“พวกนี้มาติดต่อคุณซิลเวีย” ยามคนนั้นพูด
“เชิญครับ” พนักงานกดลิฟต์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนผายมือเชิญพวกเขาเข้ามาด้านใน ร่างของคนทั้งสี่จึงเดินเข้าไปภายในลิฟต์ เมื่อคนเข้ามาครบ มือของพนักงานกดลิฟต์ก็จิ้มไปที่ชั้นห้าของบริษัทตัวเอง
บนชั้นที่หก
จำนวนเลือดที่ไหลออกมาทำเอาผมเพลียจนอยากจะหลับ ผมไม่รู้ว่าซิลเวียกรีดตามเนื้อตัวผมไปกี่แผล ที่รู้ ๆ คือเลือดไหลออกมาเยอะมาก จนพื้นแถวนั้นเละเทะไปหมด แต่ก็ไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำ เสียงน่ารำคาญในหัวของผมก็ยังคงดังออกมาไม่หยุด ขณะที่ตาของผมกำลังจะปิด มือซิลเวียก็เอื้อมมากระชากหัวผมอย่างแรงแล้วบอกให้ลืมตา
“ดูนี่ซิ เห็นอะไรไหม เพื่อน ๆ กำลังจะมาช่วยน่ะ อย่าเพิ่งหลับซิ” เสียงหวานที่พูดขึ้นช่างขัดกับการกระทำของเจ้าตัวเหลือเกิน สายตาผมไปหยุดอยู่ที่หน้าจอแท็บเล็ตที่ซิลเวียโชว์ให้ดู ในนั้นมีภาพของคนสี่คนที่ผมรู้จักดี ไอ้แมท ไอ้คีย์ พี่ยูตะ พี่พิมพ์ กำลังอยู่ในลิฟต์
“โปรเฟสเซอร์คะ ตัวทดลองหัวใจเต้นอ่อนมาก เราควรจะหยุดก่อนไหมคะ”
“ฉีดอะดรีนาลีนเข้าไปริต้า มันไม่ตายง่าย ๆ หรอก” พูดจบกะชักงักเหมือนคิดแปบหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ฉันให้แกพักก่อนก็ได้ ขอตัวไปจัดการกับไอ้พวกนั้นก่อน ดูแลมันด้วย” ซิลเวียพูด ท้ายประโยคหันไปคุยกับเด็กสาวข้างตัวเองที่ยืนมองดูจอมอนิเตอร์ที่แสดงถึงชีพจร ความดัน และอะไรต่อมิอะไรอยู่ห่าง ๆ
“ฉันคิดถูกจริง ๆ ที่ยังไม่ได้ฆ่าแก เพราะตอนนี้ฉันอาจจะได้ตัวทดลองเพิ่มอีกสองคน หนึ่งคือไอ้หลานโง่ ส่วนอีกคนเห็นแมทมันเคยเล่าให้ฟังว่าเพื่อนแกเป็นยมทูต ถูกไหม ... น่าสนใจจริง ๆ แกนี่มันเป็นเหยื่อล่อชั้นดีเลยนะ ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานอีพวกแม่มดดำมันต้องมา”
“งานนี้จะได้กำจัดให้สิ้นซากทีเดียว”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนสติผมจะดับวูบไป ...
ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นที่ห้า
ยูตะเดินนำหน้าออกไปด้านนอกของตัวลิฟต์ ตามมาด้วยคนอื่น ๆ แต่พวกเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อสภาพของชั้นที่ห้าเป็นเพียงชั้นเปล่า ๆ ไม่มีสำนักงานหรืออะไรทั้งสิ้น ดูตัดขาดกับชั้นอื่น ๆ ไม่ช้าคนที่ผ่านการทำงานด้านนี้มาอย่างโชกโชนอย่างยูตะและพิมพ์นาราก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดี ว่ามันเป็นเพราะอะไร
“พวกเราโดนหลอก !” ยูตะตะโกนออกมา ก่อนหันกลับไปที่พนักงานกดลิฟต์ที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งตอนนี้เผยสภาพนักฆ่าออกมาเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่ดูภายนอกไม่น่าจะใช่ แต่เหมือนตัวเขาจะรู้สึกตัวช้าไป
ยังไม่ทันที่แต่ละคนจะได้ทำอะไรหลังจากตกใจในสิ่งที่ยูตะพูด พนักงานกดลิฟต์ก็หยิบปืนยาสลบขึ้นมา ก่อนเล็งไปที่ด้านหลังของยูตะอย่างรวดเร็ว
ปัก !
แม่นเหมือนจับวาง ร่างของยูตะล้มลงทันที พิมพ์นารามองคนที่ล้มลงไปอย่างเป็นห่วง เธอรู้ดีว่ายาสลบนั่นมีฤทธิ์แรงแค่ไหน เธอจะพลาดอีกไม่ได้ในเมื่อศัตรูมีแค่คนเดียว เจ้าตัวหยิบปืนของตัวเองออกมาก่อนเล็งไปที่พนักงานกดลิฟต์คนนั้น
ปัง !
โอ๊ย !
เสียงร้องดังขึ้นมา แต่ไม่ใช่เสียงของพนักงานกดลิฟต์ มันเป็นเสียงของพิมพ์นาราต่างหาก ตอนนี้มือข้างขวาของพิมพ์นาราเต็มไปด้วยเลือด ปืนของเจ้าตัวตกลงไปกองอยู่ที่พื้น ทั้งคีย์บอร์ดและแมทธิวต่างหันไปมองบุคคลที่เข้ามาทำร้ายพิมพ์นารา ร่างของซิลเวียปรากฏขึ้นที่บันไดทางขึ้นอีกฝั่งก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่
“น้า !”
“ใช่ ฉันเอง เซอร์ไพรส์ไหมหลานรัก”
“น้าทำแบบนี้ทำไม”
“ทำทำไม ทำทำไม มีคนถามฉันบ่อยเหลือเกิน ! ฉันเกลียดคนแบบพวกแกไง ! ตระกูลแม่มดขาวเก่าแก่งั้นเหรอ ทั้งยายแก ทั้งแม่แก คิดว่าตัวเองสูงส่งเสียเต็มประดา หาว่าฉันเป็นพวกนอกคอก เกิดมาไม่มีพลัง แล้วยังไง คนอย่างฉันนี้แหละ จะฆ่าพวกแกให้หมด”
“ที่ผ่านมาน้าไม่เคยจริงใจกับผมเลยงั้นเหรอ” แมทธิวถามออกไป น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“แกมันก็เป็นแค่เครื่องมือให้ฉันได้เรียนรู้วิธีการกำจัดพวกแม่มดและตามหาหนังสือนั่น ก็เท่านั้นแหละ”
นั่นคือสิ่งที่ซิลเวียตอบกลับมา แมทธิวมองคนเป็นน้าด้วยความเสียใจ ไม่คิดว่าคนในครอบครัวเขาจะเป็นแบบนี้ ก่อนสายตาชายหนุ่มจะแปรเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ผลั๊ค !
ร่างของซิลเวียถูกแรงที่มองไม่เห็นผลัก จนร่างของตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น ปืนที่เจ้าตัวถืออยู่กระเด็นออกมาก่อนลอยมาอยู่ในมือของแมทธิวแทน เจ้าตัวหันปลายกระบอกปืนไปทางน้าของตัวเอง
“ไอ้แมท ! แกกล้าทำฉันงั้นเหรอ” เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นมา พนักงานกดลิฟต์คนนั้นเดินเข้ามาใกล้ซิลเวีย ก่อนทำท่าทางเหมือนให้สัญญาณอะไรบางอย่าง
“บอกพวกผมมา ชาบูอยู่ที่ไหน” คีย์บอร์ดพูดออกไปพลางช่วยพยุงตัวพิมพ์นาราที่ได้รับบาดเจ็บอยู่
ซิลเวียยิ้มเหมือนผู้ชนะ ไม่ตอบคำถามของคีย์บอร์ด เจ้าตัวเดินถอยกลับไปที่หน้าประตูลิฟต์พร้อม ๆ กับพนักงานกดลิฟต์คนนั้น
“ฉันอยู่กับพวกแกมานานจนรู้ว่าพวกแกทำอะไรได้บ้าง และทำอะไรไม่ได้”
อยู่ ๆ หัวฉีดน้ำดับเพลิงที่ติดอยู่บนเพดานห้องก็เกิดทำงานขึ้นมา สายน้ำถูกฉีดออกมาจากทุกทิศทุกทางจากด้านบนของเพดานห้องเหมือนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ตัวของพวกเขาทั้งสี่คนเปียกโชกไปหมด ไม่นานก็มีสายไฟถูกหย่อยลงมาจากช่องด้านบนเหนือหัวของพวกเขา มันแตะลงไปที่พื้นที่เปียกน้ำ
“น้า ! ทำบ้าอะไร !” แมทธิวร้องออกมา
ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ตั้งตัว กระแสไฟฟ้าก็ถูกปล่อยผ่านสายไฟออกมายังร่างทั้งสี่ที่ตัวเปียกโชก
“อ๊าก !”
ไม่ช้าร่างทั้งสี่ร่างก็สลบลงไป ...
รองเท้าส้นสูงเขี่ยไปที่มือของหลานชายตัวเองที่แน่นิ่งไปเพราะสลบ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดอะไรออกมาเบา ๆ
“พวกแกคิดว่าฉันโง่ ขนาดไม่ได้เตรียมอะไรมารับมือกับพวกตัวประหลาดแบบแกเลยงั้นเหรอ ...”