Chapter 21-22 การทดสอบจำลองสถานการณ์ (5), การทดสอบจำลองสถานการณ์ (6)
Chapter 21: การทดสอบจำลองสถานการณ์ (5)
โจเซฟ ฟิก รู้สึกกังวลและไม่สบายตัวอย่างมากในขณะที่เขามองการสอบจากข้างสนาม เขาสังเกตเห็นอัศวินบางคนโดนกำแพงเชือกพันขาจนยุ่งไปหมด, ในขณะที่บางส่วนเองก็ไม่สามารถกระโดดข้ามกองไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว
คนส่วนใหญ่จะพลาดเสียเวลาในตอนที่พวกเขาต้องกระโดดข้ามกองไม้ และบางส่วนก็จะช้าลงในตอนที่ปีนหน้าผา พระราชาของพวกเขาเคยสอนถึงวิธีการตัดสินใจที่แม่นยำในการเลือดจุดวางมือในขณะที่ปีนหน้าผาแล้ว, แต่มันก็ยังยากอยู่ดี
นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นด้วยว่ามีบางส่วน, ในตอนที่ปีนไปถึงยอดหน้าผา, ก็จะได้ยินเสียงประกาศจากแลนดอนว่าหมดเวลาแล้ว
พวกที่เก็บของจากลูเซียสและกำลังอยู่ในระหว่างทางเอาของกลับมาให้แลนดอนเอง, ก็เวลาหมดเหมือนกัน มีบางกลุ่มทำของเสียหายด้วยไม่ว่าจะเป็นการทำตกลงโคลนในระหว่างทาง, หรือแม้กระทั่งเผลอปล่อยให้มันร่วงจากยอดหน้าผา
นี่เองก็เป็นการทำให้ราชาของพวกเขาผิดหวัง พระราชาบอกว่าสิ่งเดียวที่เขาจะยอมให้เกิดความเสียหายกับของได้ก็คือเลือด การไม่ระวังไม่ดูแลของหรือเอกสารสำคัญให้ดีนั้น, จะทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบศัตรูได้เลย ถ้าได้ของมาแล้ว, ก็ต้องดูแลมันจนกว่าจะนำกลับมาถึงที่หมายได้
ซึ่งสิ่งที่โจเซฟกังวลที่สุดก็คือการปีนหน้าผา ในตอนที่เขาฝึกปีนนั้น, เขารู้สึกมั่นใจเพราะเขาไต่เชือกคนเดียว แต่ตอนนี้, คนอื่นจะต้องพึ่งเขาในการปีนขึ้นหน้าผา ความปลอดภัยและชีวิตของพวกเขาคือสิ่งที่อยู่ในมือของเขา
พระราชาได้บอกกับพวกเขาว่าในการทำสงคราม, ทางเลียบกำแพงหิน, หน้าผา, หรือภูเขานั้นคือจุดที่สังเกตเห็นได้ง่าย, หลายๆคนจะเลือกเดินเลาะมัน รวมทั้งโจเซฟด้วย
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับความจำเป็นในการฝึกไต่เขา, ปีนหน้าผาหรือเนิน ไม่เคยมีใครมีแนวคิดเช่นนี้, ซึ่งโจเซฟก็มองเห็นความฉลาดที่อยู่ในการฝึกเหล่านี้
คงไม่มีศัตรูคนไหนที่คิดว่าจะมีคนยอมปีนหน้าผาเพียงเพื่อจะโจมตีพวกเขา, ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เน้นการป้องกันตรงบริเวณขอบผา ทำให้ในจุดนี้มีช่องว่างให้พวกเขาบุกรุกเข้าไปได้
อย่างไรก็ตามถ้าคุณปีนไม่เร็วพอ, มันก็มีโอกาสสูงที่ศัตรูจะรู้ตัวและโยนหินก้อนใหญ่ลงมาบดขยี้คุณได้ เหมือนกับที่ราชาของพวกเขาชอบพูดเสมอว่า ‘พวกเจ้าจะต้องปราดเปรียวเฉกเช่นนักฆ่าในสงคราม’
โจเซฟตัดสินใจว่าจะเอาดีทางด้านนี้และอดทนฝึกเพื่อความรุ่งโรจน์ของเบย์มาร์ดและราชาของเขา, เช่นเดียวกับการพัฒนาตัวเองไปด้วย และถึงแม้ว่าเขาจะทำการทดสอบไม่ผ่าน, เขาก็จำเป็นต้องมีความมั่นใจว่าจะพาเพื่อนๆในกลุ่มทุกคนฝ่าไปให้ได้
ซึ่งโจเซฟก็คิดถูก แม้ว่าเวลาจะเป็นสิ่งสำคัญในการสอบนี้, แต่วัตถุประสงค์หลักของแลนดอนก็คือความสามัคคี เขาจำเป็นต้องให้อัศวินตระหนักถึงความรับผิดชอบของตัวเองกับพรรคพวกในกลุ่ม พวกเขาไม่สามารถทำเรื่องเห็นแก่ตัวได้, พวกเขาต้องทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดที่จะมีประโยชน์ต่อคนทั้งกลุ่ม
ในตอนที่โจเซฟกับกลุ่มของเขาวิ่งไปถึงตีนหน้าผา, โจเซฟก็จับปลายเชือกด้านนึงมาผูกปมและมัดเอาไว้ที่เอวในขณะที่ส่งปลายเชือกอีกฝั่งไปให้สมาชิกกลุ่มที่อยู่ถัดจากเขา นี่เป็นการเตรียมตัวสำหรับมาตรการความปลอดภัย
โจเซฟตระหนักได้ว่าเขาเป็นหัวหน้านักปีนของกลุ่มนี้, ในขณะที่คนอื่นๆจะเป็นนักปีนสนับสนุนที่คอยปีนตามข้างหลังเขา
โจเซฟเอาเชือกอีกเส้นผูกเอาไว้รอบขากับบั้นท้ายของเขาเหมือนกับสายรัดปีนเขาแล้วผูกปมปลายเชือกทั้งสองฝั่งกับเชือกที่มัดเอาไว้รอบเอวของสมาชิกคนอื่น สมาชิกกลุ่มคนอื่นๆเองก็ทำแบบนี้เหมือนกัน
และแน่นอนว่า, พระราชาของเขาเคยบอกเอาไว้ว่าแต่ละคนจะต้องพกมีดสั้นติดตัวเอาไว้เสมอในขณะที่ปีนหน้าผาหรือกำแพงหิน โดยที่ใช้เชือกเส้นใหม่มาผูกมีดเอาไว้ที่ปลายฝั่งนึงและอีกฝั่งนึงก็ผูกกับเชือกที่มัดกับเอวของนักปีน
ในตอนที่พวกเขาไปถึงระดับความสูงที่เข้าเขตอันตรายแล้ว, หัวหน้านักปีนก็จะเอามีดปักลึกเข้าไปในดินที่อยู่ระหว่างร่องหินเพื่อช่วยสนับสนุนในการปีนหน้าผา ด้วยวิธีนี้, ถ้าพวกเขาทุกคนลื่น, เชือกที่มัดกับมีดที่ถูกเจาะเอาไว้ลึกก็จะช่วยพวกเขาเอาไว้ได้
โจเซฟมองหน้าผาสูงที่อยู่เบื้องหน้าเขาและตัดสินใจเริ่มปีน เขามองดูเถาวัลที่อยู่เบื้องหน้าและลังเลอยู่ว่าการคว้ามันตอนนี้จะเป็นทางเลือกที่ฉลาดรึเปล่า
ในตอนที่เขาคว้ามันนั้นไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นและเขาก็รู้สึกโล่งใจในทันทีที่รู้ว่าเขาทำการตัดสินใจแทนกลุ่มของเขาได้ถูกต้อง
ในขณะที่พวกเขาปีนขึ้นไป, ทันใดนั้นเอง...ครืดดดดด...โจเซฟรู้สึกว่าเชือกที่ผูกกับสมาชิกกลุ่มถูกดึงแล้วเขาก็มองลงไป ซึ่งเขาก็เห็นในทันทีว่ามีสมาชิกกลุ่มคนนึงกำลังห้อยไปมาอยู่ สมาชิกกลุ่มของเขาลื่นไปคนนึง โจเซฟรีบใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
“ใช้มีดของเจ้าปักลงไปในดินซะจะได้รักษาสมดุลย์ของตัวเองได้แล้วค่อยๆปีนกลับขึ้นมาตำแหน่งของตัวเอง พวกข้าจะรออยู่เฉยๆไม่ต้องห่วง”
โจเซฟพูดด้วยรอยยิ้ม
อัศวินคนนั้นยิ้มอย่างขมขื่นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เขาดูเหมือนกำลังจะถอดใจแล้ว
“ถึงพวกเราจะทำไม่ทัน 15 นาทีก็ไม่เป็นไรหรอก, สิ่งที่สำคัญจริงๆก็คือการที่พวกเราร่วมมือกันและใช้ทักษะของตัวเองสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ เจ้าเก่งที่สุดในด่านอุปสรรคอื่น ดังนั้นต่อให้เจ้าช้าในด่านนี้แล้วยังไงหล่ะ? ด้วยการชี้แนะของฝ่าบาทพวกเราจะกลายเป็นมืออาชีพในซักวันนึง อดทนไว้แล้วอย่าถอดใจง่ายๆสิ”
โจเซฟพูดกระตุ้นด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ใช่แล้วโจเซฟพูดถูก, ฮึดหน่อยสิ, ข้าเองก็เกือบจะลื่นตรงนั้นเหมือนกัน พวกเรากำลังเรียนรู้อยู่ไม่ใช่รึไง? ตอนนี้ไม่มีใครเก่งเท่าพันเอกของพวกเราหรอก, เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล รีบปีนขึ้นมาเถอะ”
อัศวินอีกคนนึงพูดด้วยรอยยิ้ม
อัศวินคนที่ลื่นมองโจเซฟกับคนอื่นๆ, และยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจที่มากขึ้น
“ขอบใจพวกเจ้าทุกคนนะ”
เขาตอบกลับ
ในขณะนั้นแลนดอน, พวกพันเอกและลูเซียสได้ยินพวกเขา, พวกเขาทุกคนยิ้มออกมาและพยักหน้าราวกับรับรู้ในสิ่งที่เขาพูด มันคือจุดประสงค์หลักที่พวกเขาพยายามปลูกฝังจนถึงทุกวันนี้
และเช่นเดียวกัน, อัศวินคนอื่นๆเองก็ได้ยินบทสนทนานี้, พวกเขารู้สึกตัวขึ้นมาและในที่สุดก็เข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของการทดสอบนี้
ในตอนที่โจเซฟกับกลุ่มของเขาไปถึงยอดหน้าผา, เวลาของพวกเขาก็หมดพอดี แม้ว่าพวกเขาจะสอบตกในแง่ของเวลา, แต่พวกเขาก็สอบผ่านในแง่ของการทำงานเป็นกลุ่ม
พวกเขาเชิดหน้าขึ้นสูงและไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลย ในหัวของพวกเขากำลังคิดถึงวิธีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา อันที่จริงอัศวินทุกคน, ไม่ได้เสียกำลังใจ, แต่พวกเขาถูกจุดประกายให้พัฒนาตนเองและกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับพันเอกของพวกเขาให้ได้ในซักวันนึง
ในตอนที่ทุกคนทำการทดสอบนี้เสร็จ, ทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ประจำวันของตัวเองด้วยความคาดหวังในการทดสอบรอบสุดท้าย วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายสำหรับการสอบนรกนี้
มันจะเป็นการประลองดาบทั่วๆไปรึเปล่านะ? หรือจะเป็นอย่างอื่น? คำถามนี้เป็นคำถามที่พวกเขาครุ่นคิดตลอดทั้งวัน
-----คร่อออกกกกกก ฟรี้------- ในที่สุดทุกคนก็เข้านอนด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความกังวลบนหน้าของพวกเขาและความรู้สึกประสบความสำเร็จในใจของพวกเขา พวกเขารู้สึกแข็งแกร่งและมีความมั่นใจมากขึ้น
*********************
Chapter 22: การทดสอบจำลองสถานการณ์ (6)
…
วันต่อมา
พวกอัศวินได้มารวมตัวกันที่ลานฝึกในปราสาท วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการทดสอบ
พวกที่ถูกตัดสินว่า ‘ตาย’ ในการทดสอบเมื่อวานต่างก็รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาจะต้องแสดงความโดดเด่นออกมาให้ได้ในการทดสอบของวันนี้ พวกเขารู้สึกกังวลมากจนพวกเขาตัวสั่นออกมาจริงๆ
สำหรับพวกเขา, พวกเขาได้ทำให้แม่ทัพ, พันเอก, พรรคพวกของตัวเองและราชาของพวกเขาต้องผิดหวัง แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกอยากพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง
แลนดอนมองเหล่าอัศวินของเขาแล้วยิ้มออกมา
“วันนี้, แม่ทัพลูเซียสกับข้าจะเป็นคนทดสอบทักษะดาบของพวกเจ้า พวกเราจะดูเวลาการตอบสนอง, ความยืดหยุ่น, ความกล้าหาญและทักษะในการต่อสู้ของพวกเจ้าทุกคน”
“แต่ละคนจะได้รับถุงทรายหนัก 4 กิโลกรัม 4 ถุงถ่วงแขนถ่วงขาและถุงทรายหนัก 15 กิโลกรัมหนึ่งถุงแบกไว้บนหลังของพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องต่อสู้กับแม่ทัพลูเซียสหรือไม่ก็ข้าเป็นเวลา 5 นาที, ในขณะที่สวมตัวถ่วงน้ำหนักพวกนี้ การต่อสู้จะเริ่มพร้อมกันสองสนาม แม่ทัพลูเซียสจะสู้ในสนามแรก, ในขณะที่ข้าจะสู้อีกสนามนึง”
แลนดอนรู้ว่าลูเซียสสามารถลุยได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมงติดโดยไม่พักเลย
ลูเซียสเป็นนักรบที่เคยผ่านสงครามมาก่อน การที่เขามาถึงตำแหน่งนี้ได้, มันก็เป็นตัวบ่งบอกแล้วว่าเขาเคยสังหารศัตรูในสนามรบไปแล้วมากมาย ในบางสงคราม, ลูเซียสต้องสู้เป็นเวลา 4 ชั่วโมงเต็มด้วยซ้ำก่อนที่สงครามจะจบลง ในขณะส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมงหรือ 3 ชั่วโมงบ้างประปราย
การฝึกลมหายใจเป็นการฝึกที่เป็นที่นิยมมากสำหรับอัศวิน ในการต่อสู้นั้น, อัศวินจะต้องใช้เรี่ยวแรงจำนวนมากและแรงกระตุ้นในการขับดันตัวเอง
แลนดอนคาดเอาไว้ว่าเมื่อการต่อสู้ในแต่ละรอบจบลง, มันน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 นาทีก่อนที่อัศวินคนเก่าจะลงจากสนามและคนใหม่เดินเข้ามา
อัศวินที่เจนศึกอย่างเขา, หนึ่งนาทีก็มากพอแล้วสำหรับการกำหนดลมหายใจและเรียกเรี่ยวแรงกลับคือมาเพื่อการต่อสู้รอบต่อไป แม้ว่าแลนดอนจะรู้เรื่องนี้, แต่เขาก็ยังไม่อยากสร้างภาระให้ลูเซียสมากนัก
ในส่วนของแลนดอนนั้นเขารู้ว่าตัวเองคงสู้เป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเหนื่อยไม่ได้, ดังนั้นเขาจึงขอความช่วยเหลือจากระบบ
ระบบ...มีพวกของฟื้นเรี่ยวแรงที่ฉันสามารถใช้ได้ไหม?
ตอบคำถามท่านโฮสท์, ระบบนี้มีทุกอย่าง, แม้กระทั่งบะหมี่สำเร็จรูป ดังนั้น, จึงเป็นที่แน่นอนว่าระบบมีสิ่งที่ช่วยฟื้นเรี่ยวแรงได้ ซึ่งการฟื้นเรี่ยวแรงจากระบบนั้นหนึ่งโดสจะสามารถอยู่ได้เป็นเวลา 1 ชั่วโมงและแต้มแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่แต้มพัฒนา 3 แต้ม, แต้มเทคโนโลยี 5 แต้มหรือแต้มโบนัส 1 แต้ม โดสพลังงานนี้จะช่วยให้เรี่ยวแรงที่ใช้ไปฟื้นกลับมาใหม่, โดยจะทำให้ร่างกายของคนที่ได้รับกลับมาอยู่ในสภาพเรี่ยวแรงเต็มที่อีกครั้ง ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดทั้งหมดจะหายไปจากผู้ที่ได้รับ ท่านโฮสท์ต้องการจะใช้แต้มพัฒนาสำหรับสิ่งนี้หรือไม่
ระบบถาม
ระบบ, ฉันสามารถใช้สิ่งนี้กับคนอื่นนอกจากตัวเองได้รึเปล่า?
ท่านโฮสท์สามารถทำเช่นนั้นได้
ดี...ถ้างั้นหลังจากผ่านไปทุกชั่วโมง, ให้ฉีดยาฟื้นพลังให้ฉันกับแม่ทัพลูเซียสคนละโดส การทดสอบใช้เวลา 4 ชั่วโมงดังนั้นก็เท่ากับว่าพวกเราต้องใช้คนละ 3 โดส รวมสองคนก็เป็นหกโดส, ถูกไหมระบบ?
ถูกต้องตามนั้น...และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ท่านโฮสท์จะต้องจ่ายสำหรับการฟื้นฟูเรี่ยวแรงก็คือแต้มพัฒนา 18 แต้ม
แลนดอนพยักหน้า เขาตัดสินใจว่าจะแบ่งให้ลูเซียสด้วย, เพราะถึงแม้เขาจะรู้ว่าลูเซียสสามารถลุยยันจบได้จริงๆ, แต่เขาก็อยากให้ลูเซียสได้ต่อสู้กับอัศวินหนุ่มทุกคนในขณะที่อยู่ในสภาพเพียบพร้อม
พวกอัศวินคนหลังๆไม่ควรจะได้ต่อสู้กับลูเซียสในตอนที่เขาเหนื่อยแล้ว, เพราะมันจะไม่ยุติธรรมกับอัศวินที่สู้กับเขาในตอนที่อยู่ในสภาพดีที่สุด
ส่วนเหตุผลที่มีตัวถ่วงน้ำหนักนั้นก็เพื่อดูว่าพวกอัศวินจะต่อสู้เมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างๆได้ยังไง ในตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูจริงๆนั้น, พวกเขาอาจจะต้องสู้ทั้งๆที่ถือของหนักหรือแม้กระทั่งแบกพลเรือนเอาไว้บนหลัง
ถ้าเกิดคุณกำลังแบกเจ้าหญิงที่หมดสติและในนาทีที่คุณวางเธอลง, ก็จะมีคนมาลอบโจมตีคุณและฆ่าเธอจะเป็นยังไงหล่ะ? นอกจากนี้, คุณอาจจะต้องหนีไปด้วยสู้ไปด้วยในขณะที่ถือของหนักเอาไว้ในมือหรือแบกคนเอาไว้บนหลัง ดังนั้นการปรับตัวจึงถือเป็นกุญแจสำคัญ
แล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องจำเอาไว้ก็คือศัตรูอาจจะไม่ได้แบกของหนักหรือแบกคนเอาไว้ในตอนที่โจมตีคุณ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นอิสระและตัวเบากว่าเมื่อเทียบกับคุณ ด้วยเหตุนี้เองแลนดอนจึงยืนกรานว่าจะให้พวกเขาต่อสู้โดยสวมตัวถ่วงน้ำหนักพวกนี้
ในตอนที่การสอบดำเนินอยู่นั้นแลนดอนตระหนักได้ว่าน้ำหนักที่ถ่วงเอาไว้ที่หลังกับขานั้นทำให้อัศวินส่วนใหญ่ต่อสู้ได้ไม่ค่อยดี
แต่ก็น่าประหลาดใจที่น้ำหนักที่ถ่วงเอาไว้ที่มือของพวกเขานั้นไม่ได้รบกวนพวกเขาจากการถือดาบซักเท่าไหร่ ปัญหามันอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่รู้วิธีคุมสมดุลย์ของตัวเองให้อยู่ตรงกลางในขณะที่ต่อสู้พร้อมกับตัวถ่วงน้ำหนักพวกนี้
ซึ่งผลที่ออกมาก็คือ, พวกเขาจะล้มลง, สะดุดหรือแม้กระทั่งเผลอทิ้งดาบของตัวเอง พวกเขาต่างก็ดิ้นรนอยู่กับการปรับศูนย์ตัวเอง, อย่างไรก็ตามในการต่อสู้จริงๆนั้น, ศัตรูคงไม่รอให้มาปรับศูนย์แบบนี้หรอก
ในขณะที่สังเกตดูพวกเขา, แลนดอนก็ตัดสินใจว่าเขาจะเริ่มฝึกพวกอัศวินกับตัวถ่วงน้ำหนักพวกนี้บ่อยๆ
หลังจากทดสอบต่อสู้ไปเป็นเวลา 1 ชั่วโมง, ลูเซียสก็ประหลาดใจที่เขาไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เขาคิดว่ามันเป็นเพราะการกำหนดลมหายใจที่เขาทำในระหว่างการต่อสู้
จากนั้นลูเซียสก็หันไปมองแลนดอนและรู้สึกประทับใจอย่างมาก เขาคิดว่าเจ้านายหนุ่มคนนี้น่าจะเหนื่อยหลังจากที่ต่อสู้หนักๆไปครบหนึ่งชั่วโมง เขาตั้งใจจะดูว่าแลนดอนจะลุยไปได้นานแค่ไหนก่อนที่จะบอกพักการทดสอบ
2 ชั่วโมงผ่านไปและ 3 ชั่วโมงก็ผ่านไปต่อ, แต่แลนดอนก็ยังไม่มีเหงื่อซักหยดเลย แม้กระทั่งลูเซียสก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกที่เขาไม่เหนื่อย ตอนนี้เขาเริ่มมองแลนดอนเป็น ‘สัตว์ประหลาด’ แล้วจากการที่เขาถือดาบได้นานขนาดนี้
อันที่จริงลูเซียสไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนั้น พวกอัศวินหนุ่มเองต่างก็คิดว่าแลนดอนไม่ใช่คน สำหรับลูเซียสนั้นพวกเขาเข้าใจดี, แต่แลนดอนที่ไม่เคยผ่านสงครามมาก่อนสามารถทนได้นานขนาดนี้ได้ยังไง? พวกเขาต่างก็รู้สึกประทับใจในตัวราชาของพวกเขา
ในตอนที่การทดสอบจบลง, แลนดอนก็แจ้งกับพวกอัศวินว่าพวกเขาจะได้รับผลการสอบและรางวัลในวันพรุ่งนี้เช้าก่อนเริ่มการฝึกตามปกติ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน, แลนดอนก็ตั้งใจว่าวันนี้เขาจะไปตรวจสอบดูพื้นที่เกษตรกับเหมือง
ในตอนที่เขาเดินทางออกมาจากภูมิภาคตอนบนพร้อมกับเทรย์นั้นเอง, หนึ่งในเด็กฝึกของทิมก็วิ่งเข้ามาหา
“สวัสดีครับฝ่าบาท, กระดานชนวนกับกระดานดำที่ขอมาทำเสร็จแล้วครับ”
พอลพูดในขณะที่โค้งคำนับ
ตอนนี้เขากำลังก้มหัวอยู่หน้าแลนดอน
“เงยหน้าขึ้นเถอะพอล, นี่ถือเป็นข่าวดี, ถ้างั้นพวกเราไปหาเจ้านายของเจ้ากันเลยดีไหม?”
“ครับฝ่าบาท”