บาทที่ 55
บาทที่ 55
จินหลิน ซิ่วจู ชิวเยว่ กลับมาอย่างเหนื่อยอ่อน บ่นพึมพัม “พวกมารแม้จะขาดหัวหน้า แต่พวกมันก็มีเหลืออีกตั้งร้อยกว่าคน ต้องค่อยวางแผนแยกพวกมันออกมาเป็นกลุ่มย่อยๆแล้วค่อยจู่โจมทำลาย กว่าจะเก็บกวาดได้หมดโดยไม่ปล่อยให้หนีรอดไปได้ ต้องใช้เวลาตั้งสองวัน อีกทั้งยังต้องคอยจัดการกับพวกเหยื่อเหล่านั้นอีก นี่ถ้าพี่ชายไม่ส่งชาวบ้านไปช่วยดูแลเหยื่อเหล่านั้น ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กว่าจะได้กลับมา”
จินหลินหันไปทางเหมยเหมยกับซีชี่ที่กำลังนั่งจิบน้ำหวานอยู่ กล่าวว่า “พี่เหมยเหมยกับซีชี่ไม่ออกไปเลยไม่ได้เล่นสนุกกับพวกเราเลย”
เหมยเหมยอมยิ้มไม่ตอบคำ แต่ซีชี่กล่าวว่า “พวกเราก็ไปบุกปราสาทอีกที่หนึ่งมาเหมือนกัน พี่จินหลิน”
“เอ๋ แพ้มาเหรอ ทำไมกลับมาไวจัง” จินหลินแปลกใจ
“พวกเรายึดปราสาทเสร็จก็ปล่อยให้ชาวบ้านดูแลจัดการหมดเลย ก็เลยกลับมาได้เร็ว” ซีชี่กล่าว
“ปราสาทนั้นไม่มีเจ้าปราสาทเหรอ หรือว่าปราสาทนั้นอ่อนแอมาก” จินหลินสงสัย
“พวกเราใช้นี่” ซีชี่ชูปืนสั้นแสงให้จินหลินดู
“มันคืออะไรกันนี่” จินหลินสงสัย ซิ่วจู และชิวเยว่พากันมารุมมุงดูด้วยความสนใจ
เหมยเหมยและซีชี่พาพวกเธอไปดูห้องผลิตอาวุธของหงเซียว
สักพักใหญ่หญิงสาวทั้งห้าคนก็พากันเข้ามาหาหงเซียว กล่าวว่า “พี่ชาย พวกเราจะเรียนวิชาเซียนสร้างสรรค์”
……
เวลาผ่านไปหกเดือน อาณาเขตของพวกเขาแผ่ออกไปเรื่อยๆ โดยที่เหล่ามารไม่ระแคะระคาย เพราะว่ามารเองไม่ค่อยติดต่อกันและมักจะรบพุ่งกันเป็นเรื่องปกติ พวกเขาจะรู้เรื่องอย่างมากก็เรื่องของมารที่มีอาณาเขตติดกับตนเอง แต่กับมารที่ข้ามเขตไปนั้นจะไม่ค่อยรู้เรื่อง อีกทั้งกองกำลังของหงเซียวนั้นทำการยึดครองศัตรูโดยไม่เหลือใครให้หนีรอดออกไปได้
ปราสาทกว่ายี่สิบปราสาทที่ทำการเร่งผลิตอาวุธและเสาแสง อาวุธนั้นมีมากมายหลายแบบยิ่งกว่าเดิม
ปืนสไนเปอร์แสง ระยะหวังผลห้าสิบกิโลเมตร พร้อมกล้องส่องทางไกล ปรับความรุนแรงได้สิบเท่าของชั้นปฐมเซียนระดับเก้า
ระเบิดแสง เมื่อระเบิดออกแล้วสามารถส่องสว่างต่อได้อีกหนึ่งนาที เกราะป้องกันตัวมารจะถูกลอกออกอย่างรวดเร็วในอาณาเขตระเบิดแสงนี้ และถ้าไม่มีเกราะป้องกันตัวพลังมารในร่างจะสูญสลายและวิญญาณที่ฝังไว้ในจุดชีพจรก็จะถูกปลดปล่อย
ปืนใหญ่แสง ยิงแสงเส้นผ่านศูนย์กลางยี่สิบเมตรสู่เป้าหมาย มีความรุนแรงสิบเท่าของชั้นปฐมเซียนระดับเก้า ติดตั้งตายตัว สามารถใช้คนหลายคนประจุพลังพร้อมกันได้
เพื่อผลิตอาวุธเหล่านี้ ชาวบ้านจำนวนมากจึงต้องเข้าไปในป่าเพื่อหาวัตถุดิบและขุดแร่มาขาย ซึ่งความรู้ด้านสมุนไพรและแร่ธาตุเหล่านี้หงเซียวได้จัดทำเป็นหนังสือไว้
เมื่อมีคนก็ต้องมีอาหาร หมู่บ้านต่างๆเริ่มทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ แต่ในเมื่อพวกเขาเป็นเซียน พวกเขาก็ต้องศึกษาวิธีการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์แบบเซียน ซึ่งหงเซียวก็ได้สอนวิชาปราณหนอนศิลาสำหรับการก่อสร้าง และปราณไส้เดือนรากอสูรสำหรับการเพาะปลูกให้กับพวกเขา
ชุมชนมีการติดต่อค้าขายกันอย่างคึกคัก หมู่บ้านใหญ่ๆถูกยกขึ้นเป็นเมือง หงเซียวก็ผันตัวเองเป็นผู้ค้าอาวุธ ในขณะเดียวกันก็รับซื้อสมุนไพรและแร่ต่างๆจากชาวบ้านเพื่อนำมาจัดสร้างอาวุธ
ผู้คนในอาณาจักรของเขาเริ่มมีระดับที่สูงขึ้น มีหลายคนที่ก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดชั้นปฐมเซียน และพวกเขาก็ไม่ต้องการให้หงเซียวหรือเหล่าหญิงสาวในการบุกปราสาทอื่นอีกต่อไป
แม้ว่าหงเซียวจะใช้ปราสาทกว่ายี่สิบหลังในการผลิตอาวุธ แต่เขาก็จะย้ายฐานการผลิตอาวุธนี้ออกไปยังบริเวณรอบนอกเรื่อยๆ เพื่อสามารถส่งอาวุธให้กับคนที่ทำหน้าที่บุกจู่โจมไปข้างหน้าได้อย่างทันท่วงที ทำให้ปราสาทที่อยู่ในใจกลางอาณาจักรของเขาว่างลง ซึ่งหงเซียวก็ได้ทำการยกให้กับชาวบ้านเพื่อใช้จัดสร้างเป็นเมือง
ตอนนี้ ภูษาเซียนวิถีไร้ลักษณ์ของทุกคนก็เริ่มฝึกวิชาเพื่อเข้าสู่ชั้นมัชฌิมเซียน ซึ่งมัชฌิมเซียนนั้นมีเส้นทางให้ฝึกห้าวิถี นั่นก็คือพวกเขาสามารถเลือกฝึก กายวิถี จิตวิถี พลังวิถี อำนาจวิถี และเขตวิถี
พวกเธอได้พากันแบ่งฝึกกันคนละหนึ่งวิถี โดยจินหลินให้ภูษาเซียนวิถีไร้ลักษณ์ของเธอฝึก กายวิถี เน้นการเปลี่ยนแปลงทางกาย เพิ่มพูนความแข็งแกร่ง ความเร็ว ความแม่นยำ ความทนทาน ความสามารถในการรักษาตนเองหรือการฟื้นคืนสภาพ
เหมยเหมยให้ภูษาเซียนวิถีไร้ลักษณ์ของเธอฝึก จิตวิถี เน้นความสามารถทางจิต ได้แก่ ความสามารถในการคิด ความจำ สติ ความสามารถในการหยั่งรู้ล่วงหน้า การควบคุมจิต
ซิ่วจูถูกกำหนดให้ฝึกภูษาเซียนวิถีไร้ลักษณ์ของเธอในเส้นทางของ พลังวิถี ซึ่งเน้นในการเพิ่มพูนความบริสุทธิ์ของพลังเซียน ความเข้มข้นของพลังเซียน ปริมาณของพลังเซียน ความเร็วในการเรียกใช้พลังเซียน และความเร็วในการฟื้นฟูพลังเซียน
ซีชี่ได้เลือก อำนาจวิถี ให้กับภูษาเซียนวิถีไร้ลักษณ์ของเธอ ซึ่งเน้นหนักในด้านการส่งพลังจากร่างออกไปสู่ด้านนอก ซึ่งเน้นหนักในเรื่องของความเข้มข้นของพลัง ระยะทางที่ส่งออกไปได้ การควบคุมบังคับเมื่อออกพ้นร่างไปแล้ว รวมไปถึงคุณสมบัติของพลังที่ส่งออกไปด้วย
ส่วนชิวเยว่นั้นเธอได้รับมอบหมายให้ศึกษาเรื่อง เขตวิถี ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การบังคับขอบเขตการรับรู้ การปกป้องตนเองจากการตรวจจับ การเพิ่มความสามารถของผู้คนและวิญญาณที่อยู่ในอาณาเขตการตรวจจับ
หงเซียวนั้นศึกษาโดยรวมทั้งห้าแนวทางร่วมกับทุกคน พร้อมกับเสนอแนะความคิดเห็นให้กับเหล่าหญิงสาว
และไม่ได้มีเพียงภูษาเซียนวิถีไร้ลักษณ์เท่านั้นที่กำลังฝึกปรือเพื่อให้เข้าถึงชั้นมัชฌิมเซียน ภูษาเซียนห้าธาตุ และภูษาเซียนเจ็ดเมฆาของชิวเยว่ก็ร่วมฝึกปรือด้วย
ส่วนตัวห้าสาวและหงเซียวนั้น ต่างมุ่งเน้นไปในการยึดครองปราสาทอื่น และที่เน้นหนักมากเป็นพิเศษก็คือการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล ดังนั้นมารทุกตัวที่จับได้ต้องตาย
วันนี้มีมารหลายตนรุกล้ำเข้ามาในเขตแดน แน่นอนว่าพวกมันทั้งหมดล้วนตกตาย แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับหงเซียวก็คือ มารเหล่านี้พกป้ายบันทึกข้อมูลมาด้วย ซึ่งมีใจความว่า
“ถึงเจ้าของปราสาท… ท่านเจ้าพิภพมีคำสั่งให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่แดนมรณะ เพื่อร่วมหารือวิธีการจู่โจมทวีปเหลียงอีกครั้ง ในคืนเดือนมืดหลังจากจันทร์เต็มดวงสองครั้ง อย่าลืมพกป้ายเชิญนี้ไปด้วย”
เพราะว่าดวงจันทร์ที่นี่โคจรครบรอบทุกยี่สิบวัน และเมื่อเขาคำนวณเวลาแล้ว อีกสามสิบเจ็ดวันก็จะถึงวันนั้น เขาหวังว่าพวกเขาจะก้าวเข้าสู่ชั้นมัชฌิมเซียนก่อนเวลานั้น เพราะว่าการประชุมนี้เป็นการประชุมของผู้ที่อยู่ในชั้นมัชฌิมเซียนขึ้นไป
หงเซียวเริ่มปรับแผนรุกรานมารใหม่อีกครั้ง
เขาได้สร้างกองกำลังชาวบ้านในพื้นที่ถัดไปจำนวนมาก พร้อมกับอาวุธ แต่พวกเขาเก็บงำไว้ ซึ่งทันทีที่มารเจ้าของปราสาทออกไปเพื่อร่วมประชุมแล้ว ชาวบ้านในอาณาเขตเหล่านั้นจะทำการยึดครองปราสาทเหล่านั้นทันที พร้อมทั้งติดตั้งอาวุธและเสาแสง ซึ่งเขาได้กำหนดไว้ทั้งหมดยี่สิบแปดพื้นที่เขตที่จะทำการยึดครองในเวลาเดียวกันทันทียามที่เจ้าของปราสาทเหล่านั้นทั้งหมดไม่ได้อยู่เฝ้าปราสาท
แน่นอนว่าเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมกลับมายังดินแดนของตนเอง มารพวกนี้จะต้องพบกับกับดักขนาดใหญ่ที่รอต้อนรับอยู่
หงเซียวและห้าสาวพากันเข้าร่วมพูดคุยกับภูษาเซียนของตนเองเพื่อทำความเข้าใจกับวิถีทั้งห้าและก้าวเข้าถึงชั้นมัชฌิมเซียนก่อนถึงการประชุม
ภายในอาณาเขตเวทมนตร์บนพื้นราบแห่งหนึ่ง มีวงเวทห้าวง แต่ละวงมีขนาดใหญ่เกือบหนึ่งตารางกิโลเมตร วงเวททั้งห้าวงนั้นกลับซ้อนทับกันอย่างพิสดาร อักขระบนวงเวทนั้นส่องแสงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นเป็นอักขระล่องลอยอยู่กลางอากาศ บ้างก็พัดพริ้ว บ้างก็หมุนวน บ้างก็ยืดยาวหดสั้น บ้างก็ขยายใหญ่หดเล็ก บ้างก็เปลี่ยนสีสลับรุ้ง วงเวททั้งห้านี้กลับสอดประสานสอดคล้องกัน
วงเวททั้งห้านี้ต่างส่งเสียงออกมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวราวกับบทสวดที่ชวนฟัง บ้างฮึกเหิม บ้างเคลิบเคลิ้ม บ้างอ่อนโยน บ้างแข็งแกร่ง บ้างเรียบสงบ ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ห้าชนิดเฉพาะตัวอีกด้วย
ที่ใจกลางของวงเวทแต่ละวงนั้นมีภูษาเซียนวิถีไร้ลักษณ์ของคนห้าคนในรูปเครื่องมือเครื่องใช้ลอยอยู่ พวกมันสะท้อนภาพของตัวมันเองออกมาในแง่มุมต่างๆออกมาบนวงเวท
ในใจกลางของทุกวงเวทรวมกันนั้นมีไข่มุกลูกใหญ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสามเมตรตั้งอยู่ ในนั้นหงเซียว ห้าสาว และภูษาเซียนอื่นๆ ต่างมาร่วมสังเกตการณ์เพื่อใช้เป็นข้อมูลของตนเองในการก้าวถึงชั้นมัชฌิมเซียนเช่นกัน
ใจกลางวงเวททั้งห้าพลันเกิดพายุหมุนขึ้น หนึ่งในนั้นเป็นพายุที่เกิดจากกระแสน้ำ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นเป็นพายุหมุนเกิดขึ้นจากสายฟ้า ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นพายุหมุนที่เกิดขึ้นจากเปลวเพลิง อีกหนึ่งนั้นเป็นพายุหมุนที่เกิดขึ้นจากกรวดและทราย ส่วนพายุหมุนสุดท้ายนั้นกลับเป็นพายุที่เกิดจากต้นไม้และใบไม้
พายุหมุนหมุนวนเร็วยิ่งขึ้นและเรียวเล็กลงบดทุกสิ่งภายในนั้นแหลกสลายก่อนจะพุ่งเข้าไปในภูษาเซียนทั้งห้าที่ใจกลางวงเวท
บรึม บรึม บรึม บรึม บรึม ราวกับเกิดการระเบิด ภูษาเซียนทั้งห้าพากันส่งแรงอัดอากาศรุนแรงมหาศาลออกไปทั่วทุกทิศทาง