บทที่ 309 พวกเจ้าทั้งสองมาที่นี่เพื่อฆ่าข้า?
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ฟึ่บ!
ในขณะนั้น เงาดำอีกจุดหนึ่งก็เหินบินมาจากท้องฟ้าทางด้านเหนืออย่างรวดเร็ว มันเป็นชายที่มีผมสีขาวราวหิมะและมีริ้วรอยบนใบหน้าคล้ายกับเปลือกไม้ที่ไม่มีผม มันดูไม่เหมือนว่าเขากำลังบินอยู่ มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังเดินช้าๆเหมือนกับขันทีเฒ่าที่เดินเล่นอยู่ในพระราชวัง ทุกย่างก้าวของเขานั้นจะเข้ามามากกว่าร้อยกิโลเมตรและมันดูน่าเหลือเชื่อมาก
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอีกคน!
“มันคือจอมพลของอาณาจักรเซิ่งหลิงและหลินกงกงจากอาณาจักรเสินหวู่!”
หนึ่งในแม่ทัพเฒ่าจากอาณาจักรต้าเซี่ยอุทานออกมาอย่างรวดเร็วและแสดงความท้อใจออกมา บุคคลทั้งสองนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังที่บรรลุมาหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงฝีมือของทั้งคู่เลย เพราะเพียงแค่หนึ่งในนั้นคนเดียวก็เพียงพอที่จะทำลายอาณาจักรต้าเซี่ยได้แล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองนั้นมาถึงเร็วขนาดไหนมันเหมือนว่าพวกเขานั้นอยู่บริเวณใกล้ๆมาตั้งแต่ต้น อาณาจักรเซิ่งหลิงและอาณาจักรเสินหวู่นั้นได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่ายังไงอาณาจักรต้าเซี่ยก็จะต้องถูกกำจัด!
เมื่อพวกเขาทั้งสองบินมาจากท้องฟ้าที่ไกลโพ้น สายตาของพวกเขาก็ต่างเพ่งเล็งมายังเจียงอี้ผู้ซึ่งอยู่ในสนามรบ สีหน้าของพวกเขาอาจจะไม่แสดงสิ่งใดออกมาแต่ทุกๆคนด้านล่างต่างรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างง่ายดาย
อาณาจักรต้าเซี่ยจะต้องพินาศ การโจมตีของกองทัพพันธมิตรทั้งหกอาณาจักรจะไม่ได้กลับไปหากยังไม่ได้ทำงานให้สำเร็จลุล่วง มิฉะนั้น กองทัพพันธมิตรในครานี้จะกลายเป็นเรื่องน่าขันที่จะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ไปชั่วนิรันดร์!
ดังนั้น.....เจียงอี้ต้องตาย!
เจียงอี้มีจักรพรรดินีอสูรคอยให้ท้ายอยู่ เขามีธรรมชาติที่ชั่วร้ายที่จะนำปัญหาไปด้วยไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตามและมักจะตัดสินใจทำบางสิ่งอย่างไม่เกรงกลัวเสมอ และในตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขานั้นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและความแข็งแกร่งของเขานั้นเป็นผู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ในบรรดาเหล่าจอมยุทธขอบเขตเสินโหยวด้วยอายุเพียงเท่านี้ หากเขาประสบความสำเร็จจากสถานการณ์นี้ ในภายภาคหน้าทวีปนี้ก็จะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป
นี่เป็นการขัดแย้งกันภายในระหว่างมนุษย์และมันเป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นจากอิทธิพลทั้งหกขั้วอำนาจ หากจักรพรรดินีสัตว์อสูรต้องการช่วยเจียงอี้ นางก็จะต้องตัดสัมพันธ์กับเหล่ามนุษย์ทั้งหมด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะไม่เข้ามาก้าวก่าย เมื่อตอนที่เจียงอี้เกือบจะตายก่อนหน้านี้ นางก็ยังไม่ปรากฏตัวและนั่นก็ถือว่ามันพิสูจน์ในจุดนี้ไปแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในช่วงเวลาสุดท้าย ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งสองถึงได้ปรากฏตัวขึ้น และทันทีที่พวกเขาทั้งสองปรากฏตัวก็ต่างจับจ้องไปที่เจียงอี้แต่เพียงผู้เดียวโดยเฉพาะขันทีเฒ่าจากอาณาจักรเสินหวู่ที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ฟึ่บ ฟั่บ!”
เจียงอี้มองไปที่พวกเขาทั้งสองและสังหารผู้คนต่อไปอย่างไม่มีความเกรงกลัวใดๆ มังกรเพลิงถูกยิงออกไปซึ่งกลืนกินทหารมากมาย เขาฆ่าทหารเหล่านั้นอย่างสุขุมและเดินไปทีละก้าวอย่างมั่นคง เสื้อคลุมและผมสีเลือดของเขายังคงกระพือเสียงดังทำให้เหล่ากองทัพพันธมิตรได้แต่ถอนใจขณะที่ใจของพวกเขาสั่นไหว
ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง!
มังกรเพลิงทั้งสองตัวฉีกทหารหลายร้อยนายออกเป็นชิ้นๆและในที่สุดเจียงอี้ก็หยุดลงมือ เขาค่อยๆเงยหัวขึ้นไปมองขันทีเฒ่าและจอมพลที่อยู่บนฟ้า ปากของเขาขยับขณะที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ว่า “พวกเจ้าทั้งสองมาที่นี่เพื่อฆ่าข้าใช่ไหม?”
“เจียงอี้!”
จอมพลแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิงไม่ได้ตอบสนองสิ่งใดขณะที่หลินกงกงผู้ที่ไขว้มือไว้ด้านหลังพูดออกมา เสียงของเขานั้นดูจะเป็นชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงซึ่งค่อนข้างอึดอัดนัก “เจียงอี้ เจ้าควรถอยไป อย่างไรเสียอาณาจักรต้าเซี่ยก็จะต้องพินาศอยู่ดี ไม่มีผู้ใดที่จะแก้ไขผลลัพธ์นี้ได้ ขันทีผู้นี้จะเห็นแก่จอมพลเจียงและจะไว้ชีวิตของเจ้าก็แล้วกัน”
“จอมพลเจียง?”
เจียงอี้ยิ้มกว้างออกมาซึ่งมันดูประหลาดมากเมื่อมันรวมกับดวงตาสีเลือดของเขา ใบหน้าของเขาเผยความเย้ยหยันและล้อเลียนออกมาขณะที่ส่ายหัวเบาๆและตอบว่า “ทำไมเจ้าต้องเห็นแก่เจียงเปี๋ยหลี? ข้านั้นก็คือตัวข้า ส่วนเจียงเปี๋ยหลีก็คือเขา! ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างสิ้นเชิง! นอกจากนี้....แม้ว่าซูรั่วเสวี่ยจะตายไปแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากปกป้องอาณาจักรของนาง มันก็ไม่เป็นไรหากเจ้าต้องการที่จะพังอาณาจักรต้าเซี่ยให้ย่อยยับ แต่ก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”
ในขณะที่เขาพูดจบ ดาบมังกรเพลิงก็ค่อยๆส่องสว่างขึ้นในมือของเจียงอี้และชี้ไปยังทางที่ขันทีเฒ่าอยู่ กลิ่นอายแห่งการต่อสู้พุ่งพล่านออกมาจากร่างกายของเขาขณะที่เขาตะโกนว่า “ข้าเคยได้ยินถึงตัวตนของขอบเขตจินกังที่ไม่มีวันตาย นายน้อยผู้นี้ปรารถนาที่จะลองเชยชมดูสักตั้งในวันนี้ว่าคนเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงใด! เข้ามา!”
ทั่วทั้งด้านเหนือของเมืองเซี่ยยวี่ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบงันขณะที่ความรู้สึกของทุกคนต่างพุ่งพล่านออกมา เจียงอี้จะเป็นบุคคลแรกในรอบหมื่นปีที่ไปท้าทายผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังจริงๆ?
“คึ๊ก คึ๊ก!”
ขันทีเฒ่าหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมาขณะที่การปรากฏตัวตนพุ่งออกมาจากร่างเขา มันเป็นตัวตนที่ปกคลุมไปด้วยความรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำลายสวรรค์และโลกได้ซึ่งทำให้ร่างกายของเจียงอี้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่นิ้วเดียว
เมื่อขันทีเฒ่าเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเจียงอี้ เขาก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “มดตัวน้อยพยายามที่จะเขย่าสวรรค์รึ? ข้าผู้นี้ไม่ได้คิดจะหย่อนพลังลงเพียงเพราะเจ้านั้นอ่อนแอและใสซื่อ ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก เช่นนั้นข้าก็จะช่วยให้เจ้าได้ตายสมใจ!”
ตู้ม!
กลิ่นอายตัวตนของขันทีเฒ่านั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นในขณะที่ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้ค่อยๆถูกกดลงและร่างกายของเขารู้สึกราวกับว่าแบกภูเขาเอาไว้ เสียงแตกของกระดูกของเขาดังออกมาขณะที่เข่าของเขาแทบจะทรุดลงไปกับพื้น
“ไอ้สุนัขเฒ่า!”
แม้ว่าเขาแทบจะไม่สามารถหายใจได้, ร่างของเขาจะไม่สามารถขยับได้และเจตจำนงสังหารของเขาก็ถูกถอนกลับมาโดยปริยายจากแรงกดดันก็ตาม แต่เจียงอี้ก็ยังคงกัดฟันและสาปแช่งขันทีเฒ่าออกมา
“คึ๊ก คึ๊ก! เจ้ากล้าดีนี่ เจ้าอยากจะสาปแช่งก็สาปแช่งข้าต่อไปเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะทนได้นานแค่ไหนเชียว? จงคุกเข่าให้ขันทีผู้นี้ซะ!”
ตาเฒ่าหลินกงกงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างน่ากลัวและยังคงเพิ่มกลิ่นอายขึ้นเรื่อยๆและทำให้ไหล่ของเจียงอี้ถูกกดลงไปอีกครั้ง มีกลิ่นคาวเลือดอยู่ในลำคอของเขาขณะที่เลือดสดๆไหลออกมาจากมุมปากของเขา อวัยวะภายในของเขานั้นได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสจากแรงงกัดดันนี้
กึก แกร๊ก!
กระดูกของเจียงอี้ยังคงส่งเสียงในขณะที่รอยแตกของพื้นดินเริ่มปรากฏขึ้นรอบฝ่าเท้าของเขา ขาของเขาสั่นเทาและดูเหมือนว่าเขากำลังจะเปิดทางและคุกเข่าลงได้ทุกเวลา
ปัง!
เจียงอี้ใช้แรงทั้งหมดของเขาเพื่อหยิบดาบมังกรเพลิงออกมาใช้เพื่อป้องกันร่างกายของเขาไว้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะสั่นมากและเลือดก็ไหลออกมาจากปากของเขามากขึ้น แต่ความดื้อรั้นของเขาโดยธรรมชาตินั้นก็ไม่ยอมให้ตัวเองต้องคุกเข่าลงไป จริงๆแล้ว หัวของเขานั้นยกขึ้นสูงและดวงตาของเขาอาจจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ปากของเขานั้นยังคงไว้ซึ่งความเย้ยหยัน!
“ฮึ่ม!”
ขันทีชรารู้สึกหงุดหงิดกับสีหน้าที่เย้ยหยันของเจียงอี้และเขาก็เพิ่มกลิ่นอายอีกครั้ง แรงกดดันที่รุนแรงนั้นปกคลุมไปทั่วพื้นที่เหนือเจียงอี้ซึ่งทำให้เขาสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับว่าตอนนี้อากาศรอบๆได้หยุดสั่นไหวและแรงกดดันที่มากเช่นนี้ก็ได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ห่างกับเจียงอี้ในระยะสิบกิโลเมตรรู้สึกสำลักจนแทบหายใจไม่ออก
ปึ่ง ปึง!
พื้นผิวดินบนพื้นดินที่เจียงอี้ยืนอยู่เริ่มเกิดรอยแยกอีกครั้ง เข่าของเขาจมลงไปกับหน้าดินแล้วและหน้าอกของเขาก็ชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลออกจากปากของเขา มือที่เขาใช้เพื่อถือดาบมังกรเพลิงและใบหน้าที่ปูดไปด้วยเส้นเลือด เขาดูเหมือนกับวิญญาณร้ายไม่มีผิด
ดวงตาของเขานี้ปิดสนิทและฟันของเขาก็ขบกันเสียงดัง ดูเหมือนว่ามันจะถึงขีดสุดของเขาแล้วและในอีกไม่กี่วินาที เขาก็อาจจะตายหลังจากอวัยวะทั้งหมดของเขาถูกอัดแน่นไปด้วยความกดดัน
ถึงอย่างนั้น....!
เขาก็ยังคงยืนอยู่และหัวของเขาก็ดูเหมือนนกยูงที่หยิ่งผยองซึ่งยังคงยกสูง!
ณ เวลานั้นมันเงียบมากจนได้ยินเสียงเข็มหล่น หลายคนมองเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้นผู้นี้ด้วยความรู้สึกที่มากมาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาพลักษณ์ของเจียงอี้ก็จะถูกฝังลึงเข้าไปในใจของพวกเขาและพวกเขาก็อาจจะไม่มีวันลืมเจียงอี้ได้ไปชั่วชีวิต
“ฮึ่ม! ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าเจ้าจะทนไปได้อีกนานขนาดไหนกัน?”
ขันทีเฒ่านั้นทั้งรู้สึกอับอายและโมโห ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังใช้เวลานานขนาดนี้เพียงเพื่อกำจัดจอมยุทธที่อ่อนแอ? ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาแผ่ตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาแต่เจียงอี้ก็ยังคงไม่คุกเข่า? นี่อาจจะเป็นสิ่งน่าขันแก่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังคนอื่นๆ
โฮกกกก!
ในขณะเดียวกันกับที่หลินกงกงต้องการที่จะเพิ่มกลิ่นอายของเขาให้ถึงขีดสุดและบดขยี้เจียงอี้ด้วยแรงกดดัน เสียงคำรามของมังกรก็ดังสะท้อนไปทั่วจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ มังกรศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งบินมาแต่ไกลและมีเสียงผู้เฒ่าดังไปทั่ว
“เจ้าเฒ่าหลินกงกง เจ้านี่มันเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่เกือบจะอยู่มาเป็นศตวรรษแล้ว แถมเจ้ายังรังแกเด็กน้อยที่อายุเพียงสิบเจ็ดปีอีก? เจ้าไม่ละอายบ้างหรือไง? โอ้...ข้าลืมไป เจ้าสามารถทิ้งศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเจ้าไปได้ และข้ามั่นใจว่าหน้าเจ้าก็คงไม่เหลือแล้วแหละ”
ฟึ่บ! ฟั่บ! ฟึ่บ!
ดวงตาที่นับไม่ถ้วนมองไปยังที่มาของเสียงนั้นพร้อมกับแสดงใบหน้าที่ประหลาดใจออกมา พวกเขาต้องการที่จะเห็นว่าผู้ใดกันที่กล้าที่จะเยาะเย้ยผู้เชี่ยวชาญอาณาจักรเสินหวู่ แถมเขายังพูดจาดดูถูกความเป็นลูกผู้ชายของเขาอีก
มังกรศักดิ์สิทธิ์นั้นบินมาอย่างรวดเร็ว ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทองอร่ามและมีความยาวประมาณร้อยเมตรซึ่งอยู่ในระดับที่ต่างกันกับมังกรวารีของจ่างซุนอู๋จี้อย่างสิ้นเชิง มันมีหกกรงเล็บและมีกลิ่นอายที่สง่างามซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถตรึงไว้ได้
ไม่มีใครยืนอยู่บนมังกรตัวนั้น แต่เขากลับนั่งรถเข็นแทน บนรถเข็นนั้นมีชายชราที่อายุมากแล้ว, เขามีเปลือกตาที่หย่อนยาน และดูเหมือนจะเคลิ้มหลับไปได้ตลอดเวลา
“มังกรทองหกกรงเล็บ! จูเก๋อชิงหยุน!”
แม่ทัพเฒ่าจากอาณาจักรต้าเซี่ยอุทานขึ้นมาในขณะที่ดวงตาของเขาส่องสว่างราวกับแสงอาทิตย์ที่แผดเผา