ตอนที่ 132 โศกนาฏกรรรมของจูเฉวี่ย
ขณะที่จูเฉวี่ยยังคงยืนค้างนิ่งอยู่เช่นนั้น ขุมพลังวนที่ดูดกลืนสรรพสิ่งนั้นค่อย ๆ คืบคลานล่วงเลยมาทีละน้อย กระทั่งยามนี้มันกล้ำกรายมาอยู่เหนือศีรษะของนาง และเริ่มกลืนกินพลังวัตรที่นางใช้เวลาฝึกฝนบ่มเพาะมาตลอดช่วงระยะเวลาหลายปี ผิวพรรณนวลผ่องแห่งสาวน้อยผู้อ่อนวัยพลันค่อย ๆ เหี่ยวแห้งลงไปทีละน้อยอย่างที่มันอาจสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทว่า แม้กระนั้น จูเฉวี่ยกลับยังคงไม่รู้สึกตัว เนื้อตัวของนางสั่นเทาด้วยภาวะที่ขาดสติอย่างเต็มกำลัง นางกระโจนร่างเข้าหาเกอซีผู้อยู่ใจกลางหลุมดำสูบพลัง
มิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่จูเฉวี่ยเกาะกุมด้ามกริชไว้ในมือ ปลายคมกริชส่งแสงสะท้อนตาสีน้ำเงินอมเขียวแวววาวแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่ามันถูกชโลมเคลือบไว้ด้วยพิษบางชนิดที่สามารถส่งผลอันตรายอย่างร้ายกาจ
รอยแย้มยิ้มอย่างบ้างคลั่งโบกทาไว้บนริมฝีปากของจูเฉวี่ย คล้ายดั่งว่านางพร้อมยอมลงเดิมพันครานี้ด้วยพลังวัตรทั้งหมดที่ตนได้สั่งสมมาเนิ่นนานเพียงเพื่อจะได้สังหารสตรีผู้อยู่เบื้องหน้า นางจะทำลายโฉมหน้านั้นให้สาสมกับความคั่งแค้นชิงชังที่อัดแน่นอยู่ในอก ! ทั้งจะไม่มีวันยอมให้นางแพศยาผู้นี้มาฉกชิงนายท่านไปได้ ! !
“จูเฉวี่ย อย่า----- !” ชิงหลง และพวกที่เหลือต่างพากันร้องเสียงหลงด้วยใบหน้าถอดสี
ทว่าทุกสิ่งไม่ทันการเสียแล้ว ด้ามกริชอันคมกริบทอประกายเลือนลางขณะที่มันกำลังไสตัวตรงเข้าเสียดแทงทะลุร่างของเกอซี
ทว่าสายหยาดโลหิตสาดกระเซ็นดังที่คาดไว้กลับมิได้ปรากฏกับสายตา กลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องลั่นในทันทีของจูเฉวี่ย พร้อมกันนั้น ร่างของนางปลิวกระเด็นลอยเหวี่ยงไปทั่วห้องคล้ายว่าวที่สายป่านขาด และหลุดลอยกระทั่งมันสิ้นสุดลงด้วยแรงกระแทกอย่างหนักหน่วงกับแผ่นผืนผนังภายในห้อง
จูเฉวี่ยกระอักโลหิตออกมาคำโต นางมิอาจยอมรับ ความเคียดแค้นชิงชังยังคงเอ่อล้นอยู่ภายในดวงตาที่จับจ้องเขม็งมายังเกอซีก่อนที่ร่างของนางจะหมดสติไปพร้อมด้วยความรู้สึกผิดหวังที่ทาบทับลงมาตลอดทั่วทั้งดวงหน้า
ไป๋หู่หันมามองด้วยความห่วงใยพลางส่งเสียงกระซิบเบา “จูเฉวี่ยยังไม่ทันสร้างม่านพลังป้องกันตนเอง นางหมดสติไป เช่นนี้แล้ว พลังยุทธ.......”
“ฮึ่ม นางมัวแต่ฝังตนอยู่กับความริษยาภายในใจโดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของนายท่าน สิ่งนี้ย่อมสมควรกับการกระทำของนางแล้ว !” สุ้มเสียงที่เย็นชาไร้เมตตาของหวูซินได้ทำลายความตั้งใจหมายมอบความช่วยเหลือให้แก่จูเฉวี่ยของไป๋หู่ไปสิ้น
ช่วงขณะนี้เองที่หนานกงยวี่ผู้อยู่ในใจกลางหลุมดำสูบพลังเพิ่งจะเริ่มเปิดเปลือกตาของตนขึ้น ชายหนุ่มถ่ายทอดกระแสพลังแทรกเข้าสำรวจสภาวะร่างกายของเกอซีอย่างละเอียดถ้วนถี่ เมื่อพบว่านางพ้นขีดอันตรายแล้ว ดวงตาที่มืดมิดเย็นชาประหนึ่งเกล็ดน้ำแข็งจึงกวาดมองไปตลอดทั่วทั้งห้องก่อนจะมาหยุดลงที่เหล่าบริวารของตนผู้สมควรรั้งรออยู่ด้านนอก
ร่างของหวูซินและพวกที่เหลือทั้งหมดสั่นระริกไปทั่วตลอดทั้งสรรพางค์กายเมื่อพวกเขาถูกสายตาที่แดงก่ำเย็นชาเหี้ยมโหดคู่นั้นจับจ้องแน่นิ่ง ความหวาดผวาใจสั่นทำให้พวกเขาแทบจะไม่อาจรักษาม่านพลังที่ตนควบรวมไว้ให้มั่นคงได้ดังเดิม
น้ำเสียงต่ำเย็นชาขึ้นจมูกของหนานกงยวี่ดังขึ้น “จะไม่มีครั้งหน้า ! หากมันผู้ใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้า อย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก”
กล่าวจบ เขายกมือขึ้นโบกเพียงครั้ง บานประตูที่หวูซินอัดกระแทกให้เปิดออกพลันปิดตัวลงในทันที พร้อมกันนั้น มันถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนาด้วยขุมพลังอันเปี่ยมอาคม
หวูซินสูดหายใจลึกเข้าไปจนเต็มปอดด้วยรู้สึกคลายความหวาดผวาตื่นกลัวที่ต้องเผชิญเมื่อครู่
สีหน้าท่าทางที่นายท่านจ้องเขม็งมาที่เขาช่างน่ากลัวชวนขนลุกอย่างเหลือแสน
คิ้วทั้งสองของหวูอวี้ยังคงขมวดมุ่นยามเมื่อเขาบ่นพึมพำกับคนข้างกาย “ใกล้ถึงเวลาที่โรคร้ายจะแสดงอาการขึ้นมาแล้ว หากนายท่านยังคงยืนกรานเช่นนี้อยู่จะเป็นอย่างไร นายท่านจะยังคงปลอดภัยหรือไม่ ?”
ต่างคนต่างหันมองสบตากันด้วยความรู้สึกที่ท้อแท้สิ้นหวัง บรรยากาศทั่วทั้งห้องพลันปกคลุมไปด้วยความห่อเหี่ยวและความรู้สึกอันสลดหดหู่
***จบตอน โศกนาฏกรรรมของจูเฉวี่ย***