ตอนที่ 104 แม่เลี้ยงใจร้าย
ปลายแส้ฟาดกระหน่ำลงบนร่างฉินลู่อย่างรุนแรงราวกับห่าฝน แม้ว่ามันจะเพียรพยายามรวบรวมกระแสพลังปราณเพื่อดิ้นรนหลีกหนีสักเท่าไรก็มิอาจหลุดพ้นจากแรงฟาดตีที่ร้ายกาจรุนแรงราวกับจะเฉือนเลือดเนื้อบนร่างของมันจนขาดสะบั้นได้เลย
การทรมานยังคงดำเนินต่อไปอีกถึงชั่วระยะเผาธูปสิ้นครึ่งก้านกว่าทุกสิ่งจะยุติ ยามนี้ฉินลู่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า
ไป๋หู่มองดูเกอซีโบกตวัดปลายแส้เป็นประกายแวววาวสะท้อนไปทั่วอย่างคล่องแคล่วงดงามราวกับการร่ายรำเช่นนี้ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยอมรับนางมากยิ่งขึ้นนกว่าแต่ก่อน
นางเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญที่ไร้สิ้นพลังยุทธ ทว่ากลับสามารถสยบผู้มีพลังฝีมือระดับพลังปราณเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มทำให้มันหวาดกลัวแทบคลั่งด้วยแส้กระดูกสัตว์แค่เพียงชิ้นเดียว !
“คุณชา.....คุณหนูน่าหลานอบรมบริวารได้อย่างมีชั้นเชิงยิ่งนัก”
เกอซีแหงนเงยศีรษะขึ้นจึงสบเข้ากับรอยยิ้มแสดงอาการประจบประแจงของอีกฝ่าย นางเพียงเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นให้ข้าสอนวิธีนี้ให้แก่นายของเจ้าด้วยน่าจะดีมิน้อย !”
ชายหนุ่มหน้าแข็งค้างรีบก้มศีรษะลงอย่างมิกล้าเอ่ยคำใดอีก
หากนายท่านได้ร่ำเรียนวิธีการเช่นนี้แล้วนายท่านจะไปฝึกฝนกับผู้ใดเล่า ? มิใช่ลูกน้องอย่างพวกเขาล่ะหรือ ?
คุณหนูน่าหลานจะน่ากลัวเกินไปแล้ว !
ยามนี้ฉินลู่ค่อย ๆ คืนสติกลับมาอีกครา มันตะเกียกตะกายพยามยามยกร่างที่แสนเจ็บปวดหนักหนาค่อย ๆ หยัดลุกขึ้นจากพื้นพลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสดงอาการเกรี้ยวกราด “คุณหนูสาม เจ้าลงแส้ข้าด้วยเหตุใด ? ฮูหยินมอบหมายให้ข้าเป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องต่าง ๆ อันเกี่ยวพันกับส่วนนอกตัวเรือนใหญ่น่าหลาน วันนี้ฮูหยินให้ข้ามาตามตัวเจ้า หากแต่เจ้ากลับกระทำตัวใหญ่ยโสไม่ไว้หน้าข้า หรือเจ้าหมายใจจะฉีกหน้าฮูหยิน ?”
เกอซีแสยะยิ้ม บนดวงหน้านั้นหาได้ปรากฏความหวาดหวั่นต่อฉินลู่ดั่งที่มันคาดคิด กลับกัน สิ่งที่เผยผ่านออกมาคือความแข็งกระด้างเย็นชา และหมิ่นหยาม “เจ้าคิดว่าตนคือผู้ใดจึงอ้างนามฮูหยินได้ ?”
เห็นอีกฝ่ายยังคงแสดงท่าทีไม่พอใจ ความดูแคลนที่ฉายผ่ายแววตาของหญิงสาวกลับยิ่งชัดเจน “ข้าขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลยว่าเจ้ามันก็เป็นแค่เพียงสุนัขรับใช้แห่งน่าหลาน ส่วนตัวข้า ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ก็ตาม ข้าก็ยังคงเป็นคุณหนูสามแห่งสกุลน่าหลาน สุนัขเยี่ยงเจ้ากลับกล้ามาเห่าหอนใส่เจ้านายตน ข้าจำต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้จักสิ่งควรมิควร หากเจ้าร้องเรียนเรื่องนี้ต่อฮูหยิน เจ้าคิดว่านางจะช่วยอะไรเจ้าได้ ?”
“หึหึ ! หรือข้าควรให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปสู่ภายนอก ? ข้าจะได้บอกแก่ทุกคนว่าฮูหยินน่าหลานให้พ่อบ้านฉินลู่มาเรียนเชิญข้าอย่างหยาบคายอีกทั้งยังขู่ทำร้ายข้า ถึงตอนนั้นเราค่อยรอชมกันว่าชาวเมืองเหยียนจิงจะตัดสินให้ข้าเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง หรือจะพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า ฮูหยินน่าหลานผู้อ่อนโยนอารีเปี่ยมคุณธรรม แท้จริงแล้วกลับเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ เป็นแม่เลี้ยงใจร้ายที่เฝ้าคอยรังแกทำร้ายบุตรสาวผู้เกิดแต่อนุ !”
ไป๋หู่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆรีบขันอาสาด้วยความกระตือรือร้น “เรื่องแพร่กระพือข่าวเยี่ยงนี้ข้าถนัดนัก ! คุณหนูน่าหลานโปรดวางใจให้ข้าเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ได้เลย รับรองว่าเพียงไม่ถึงครึ่งวัน ชื่อเสียงใหม่ของฮูหยินน่าหลานจะลือกระฉ่อนเป็นที่ล่วงรู้กันได้ทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งภายในเขตพระราชฐาน”
เกอซีเกือบสำลักน้ำชาที่กำลังกลืนลงลำคอ นางไม่เคยคาดคิดเลยจริง ๆ ว่าอารักขาส่วนตัวของราชันมัจจุราชจะมีงานอดิเรกคือการซุบซิบนินทาเหมือนพวกหญิงชราจอมจุ้น !
หากแต่กลับตรงกันข้ามกับฉินลู่ ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัวด้วยความหวั่นวิตกตื่นกลัว
ฮูหยินน่าหลานเฝ้าคอยรักษาภาพลักษณ์อันสูงสง่า เมตตาเอื้ออารีกระทั่งเป็นที่ล่วงรู้ไปทั่วในเมืองเหยียนจิง หากชื่อเสียงของนางกลับต้องแปดเปื้อนด้วยเพราะมันเป็นต้นเหตุ บทสรุปนี้แค่เพียงคิดก็มิอาจกล้าจินตนาการได้แล้ว
อีกทั้งครานี้ ฮูหยินสั่งการให้มันมาเรียนเชิญคุณหนูสามให้กลับเข้าไปอยู่ในเรือนใหญ่ คุณหนูสามผู้นี้ยังมีค่าเสมือนเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนอยู่ เช่นนั้นแล้วฮูหยินจึงยังไม่ขับนางออกไป ที่สุดแล้วผู้ที่โชคร้ายก็คือตัวมันนั่นอง
ยิ่งคิดฉินลู่ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบเป็นสายจากเม็ดเหงื่อที่กลั่นตัวไหลลงบนหน้าผาก นัยน์ตาของมันฉายประกายขึ้นวูบหนึ่ง มันก้มศีรษะลงรีบเอ่ยกล่าว “ขอคุณหนูสามอย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ ! ฮูหยินคือผู้ที่ทรงความยุติธรรมทั้งยังมีจิตใจเอื้ออารี นางไม่เคยมีใจคิดทำร้ายรังแกบุตรีแห่งอนุเลย เมื่อครู่ เป็นข้าเองที่มุทะลุหยาบคายล่วงเกินคุณหนูสาม ขอคุณหนูสามโปรดอภัย”
***จบตอน แม่เลี้ยงใจร้าย***