ตอนที่ 103 ให้เจ้าสิ้นลมไปอย่างทุเรศทุรัง
ขนมอบน้ำตาลนี้ทำมาจากผลไม้ และบุปผาพลังวิญญาณซี่งเติบโตในมิติเวทของเกอซี ยิ่งเมื่อประสานเข้ากับหยาดน้ำจากทิพย์ธาราแห่งความสันโดษชั้นเก้า มันก็ยิ่งส่งกลิ่นหอมน่ากินแสดงถึงความสดใหม่ได้ยิ่งกว่าของว่างอันลือชื่อในยุคสมัยปัจจุบันของนางเสียด้วยซ้ำ หากทว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือ ของว่างสำรับนี้สามารถช่วยฟื้นฟูพลังปราณ เสริมแรงโคจรของพลังให้โลดแล่นไปทั่วร่าง คงความเสถียร สร้างสภาวะที่สมดุลย์ให้แก่เส้นชีพจรลมปราณ นับเป็นขนมว่างอันเป็นที่ชื่นชอบของเซี่ยวหลี และเกอซี
ไป๋หู่ยืนมองเกอซี และเซี่ยวหลีรับขนมว่างด้วยท่าทีหดหู่ ยามเมื่อกลิ่นหอมโชยแตะจมูกยั่วใจ ภายในช่องท้องก็เริ่มปั่นป่วน
ในที่สุด เซี่ยวหลีก็ไม่อาจทนเห็นท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ได้อีกต่อไป เมื่อได้รับอนุญาตจากเกอซี เด็กน้อยจึงหยิบยื่นส่งขนมว่างให้ชายหนุ่มพร้อมส่งรอยยิ้มที่สดใส
ยามนี้ ฉินลู่ที่ร้องโหยหวนจากความเจ็บปวดทรมานเมื่อครู่เริ่มค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นมาทีละน้อย มันพยายามดิ้นรนบิดกายหมุนไปโดยรอบเพื่อหาตัวตนของผู้ที่ส่งแรงพลังกดอัดมันจนจมธรณี ใบหน้าของมันบิดเบ้ด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่าฉับพลัน กลับกลายเป็นความตื่นตระหนกที่แผ่ซ่านแสดงออกมาทั่วทุกอณูบนผิวหน้า
จางซาน.......เหนือความคาดหมาย เป็นจางซาน ! ทว่าจางซานมีพลังปราณเพียงระดับขั้นเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มเท่านั้นมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงสามารถอัดแรงพลังใส่มันได้ ?
คงเพราะลอบทำร้าย ? ย่อมต้องเป็นด้วยเพราะมันไม่ทันตั้งตัว จางซานจึงสบโอกาสลอบโจมตีอย่างง่ายดาย เป็นเช่นนี้นี่เอง !
ฉินลู่คำรามลั่นด้วยความขุ่นเคือง “เจ้าสุนัขจางซาน รู้ไหมว่าข้าคือผู้ใด ? ยามนี้ข้าคือผู้ดูแลส่วนนอกแห่งจวนน่าหลาน ! เจ้ากินหัวใจเสือมารึ จึงกล้าล่วงเกินข้าเช่นนี้ ? รีบปล่อยตัวข้า ได้ยินไหม ? ! หาไม่แล้วข้าจะให้เจ้าต้องสิ้นลมไปอย่างทุเรศทุรัง !”
หน้าที่ผู้ดูแลส่วนนอกที่ฉินลู่กล่าวถึงนั้นคือหน้าที่ในการจัดการเรือนหลังน้อยแห่งนี้นั่นเอง เมื่อทาสรับใช้ทั้งหมดรวมไปกระทั่งพวกจางซานที่อยู่ในเรือนโกโรโกโสแห่งนี้ล้วนเป็นคนของสกุลน่าหลาน เช่นนั้นแล้วย่อมนับได้ว่า พวกมันล้วนเป็นลูกน้องของฉินลู่เช่นกัน ชีวิตของทาสรับใช้พวกนี้ย่อมขึ้นอยู่กับฉินลู่จะสั่งการให้เป็นไป ดังนั้นมันจึงเหิมเกริมยิ่งนัก
อาการเยาะหยันอย่างไม่แยแสปรากฏในดวงตาของจางซานพร้อมน้ำเสียงลุ่มลึก “ฉินลู่ เจ้าคิดว่าตนคือผู้ใดกันเล่า ? ยามนี้ข้ารู้แค่เพียงว่าคุณหนูคือนายเพียงผู้เดียวของข้าเท่านั้น”
เมื่อครั้งที่จางซานถูกเกอซีควบคุมจิตไว้ วาจาท่าทางของเขาล่องลอยเหมือนคนไร้สติ คราแรกเขาอยู่อย่างสิ้นหวัง มีแค่เพียงความคิดที่ว่าตนคงจำต้องใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่นี้อย่างโง่งมไร้ความรู้สึกทางจิตวิญญาณเป็นแค่เพียงหุ่นเชิดเท่านั้น
ทว่าต่อมา สติสัมปชัญญะของเขากลับแจ่มชัดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ นอกเสียจากเรื่องที่เขาไม่อาจควบคุมตนเองให้สามารถฝ่าฝืนคำสั่ง และทำร้ายเกอซีได้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างจากคนปกติธรรมดาสามัญ
อีกทั้งเครื่องดื่มสมุนไพรชุดพิเศษที่คุณหนูจัดให้แก่พวกจางซานกลับช่วยส่งเสริมให้พลังฝีมือของพวกเขาก้าวหน้ายิ่งขึ้นกระทั่งช่วยผลักดันให้พวกเขาสามารถข้ามผ่านระดับที่พวกเขาติดขัดมาเนิ่นนานได้ ยิ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจระคนยินดียิ่งนัก จางซานคือผู้มีพลังฝีมือสูงที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ เขาสามารถบรรลุข้ามขอบเขตขั้นที่สามในระดับพลังปราณเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มได้
นับแต่นั้นมา พวกจางซานทั้งหมดล้วนยอมอุทิศกายใจให้การยอมรับนับถือเกอซีในฐานะนายหญิงของพวกมันอย่างหนักแน่น จักต้องกล่าวไปไยถึงผู้จัดการกระจอกแห่งสกุลน่าหลานผู้นี้ เพราะหากแม้นว่าฮูหยินน่าหลานมาเหยียบเยือนด้วยตนเอง พวกเขาก็พร้อมจะสนองคำสั่งแค่เพียงคุณหนูผู้เดียวเท่านั้น
ได้ยินจางซานกล่าวเช่นนั้น ฉินลู่ทำได้เพียงจ้องค้างด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ความโกรธเกรี้ยวส่งให้ทั่วร่างของมันสั่นเทิ้ม อายพลังปราณเริ่มคุกรุ่นเผาไหม้เพิ่มความรุนแรงขึ้นภายใน
ไม่ว่ามันจะพยายามคิดใคร่ครวญเพียงไร ก็ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า จางซานผู้เป็นทาสรับใช้แห่งเรือนใหญ่ซึ่งเคยให้ความเคารพนับถือในตัวมันมาโดยตลอดจะกลับกลายเป็นผู้ทรยศยอมก้มศีรษะเลียแข้งเลียขาคุณหนูสามผู้ไร้ค่านางนี้ได้ !
เพียงครู่เดียว พลังปราณทั่วร่างของฉินลู่พลันระเบิดพุ่งทะลวงแรงพลังที่กดอัดของจางซานจนขาดสะบั้น มันถีบร่างของตนกระโจนขึ้นพร้อมส่งแรงเตะออกไป
แม้ว่าจางซานจะเป็นผู้บรรลุขอบเขตขั้นที่สามแห่งระดับพลังปราณเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มแล้วก็ตามถึงกระนั้นเขาย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของฉินลู่ผู้บรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่สี่แห่งระดับปราณเดียวกัน จางซานจึงสามารถใช้พลังของตนต้านทานไว้ได้แค่เพียงครู่เท่านั้น
หลังเตะจางซานกระเด็นออกไปอย่างรุนแรงแล้ว ฉินลู่มุ่งตรงมาหาเกอซีด้วยแววตาที่แดงก่ำเหี้ยมโหด มันหมายจะฉีกร่างอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น ๆ
ไป๋หู่ ซีเจี่ย และทุกคนในที่นั้นล้วนพร้อมเข้าต่อสู้ ทว่ากลับถูกเกอซียับยั้งไว้ หญิงสาวหยิบแส้กระดูกขาวออกมาจากธำมรงค์มิติเวทที่สวมใส่อยู่บนนิ้ว เพียงโบกสะบัดข้อมือแผ่วเบา ปลายแส้ก็ถูกส่งตรงเข้าหาฉินลู่ที่กำลังสาวเท้ามุ่งตรงเข้ามาจัดการนางอย่างง่ายดาย
ประดุจดั่งว่าแส้สีขาวนวลนั้นมีนัยน์ตา มันพุ่งทะยานตรงเข้าหาร่างของฉินลู่ราวกับอสรพิษที่พร้อมจะฉกกัด แม้จะดูเหมือนการลงแส้ในครานี้หาได้ใช้กำลังมากมาย ซ้ำยังเป็นเพียงการลงมืออย่างแทบจะมิได้ใช้กำลังอีกด้วย หากทว่า ทันทีที่ปลายแส้หวดลงบนร่างของฉินลู่ พลังความรุนแรงร้ายกาจจากปลายแส้กลับระเบิดออกมาทันที
“อ๊ากกกกก”
ฉินลู่เปล่งเสียงร้องโหยหวนพร้อมกับ เสียงดัง ‘ตุ้บ’ มันทรุดกายลงไปนั่งในท่าคุกเข่าอีกครา
***จบตอน ให้เจ้าสิ้นลมไปอย่างทุเรศทุรัง***