ตอนที่แล้วSB:ตอนที่ 10 ขายจิตวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSB:ตอนที่ 12 ผลแดงชาดพัฒนาสัตว์เลี้ยงสงคราม

SB:ตอนที่11 แม่นางอู๋ฮวง


SB:ตอนที่11 แม่นางอู๋ฮวง

เป็นเช้าอีกหนึ่วันที่หมอกลงจัด พวกสามัญชนก็ยังคงเป็นพวกที่ทำงานหนักที่สุดเสมอมา พวกเขาออกไปที่ไร่ทันทีที่ฟ้าสาง นักล่าจากเมืองชิงหยางมุ่งตรงสู่ภูเขาอีกด้านหนึ่งเป็นกลุ่มๆ ต้นไม้เขียวชอุ่มเรียงรายยาวสุดลูกหูลูกตา แต่ทว่าซ่อนอันตรายมากมายอยู่ภายใน ทำให้ทุกๆคนรู้สึกไม่สบายใจ

ขณะนี้ ชายหนุ่มผู้มีคันธนูอยู่ข้างหลังและเหน็บมีดสั้นไว้ที่เอวเดินข้ามไป

“ดูสิ!” “นั่นลู่หยางนี่ เขาก็เข้ามาภูเขาด้วย!”

“หึ หึ! ออกล่าด้วยตัวเอง คิดว่าเป็นผู้ควบคุมอสูรล่ะสิ!”

“ข้าว่าเขาเคยชินกับการล่าสัตว์ตามลำพังในภูเขา ถูกมั้ย?”

นักล่าเหล่านี้หยุดถกเถียงกัน ข่าวที่ว่าลู่หยางได้กลายเป็นผู้ควบคุมอสูรได้แพร่สะพัดไปแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ พวกท่านลุง!” ลู่หยางไม่ได้อิ่มเอมใจที่เขาได้กลายเป็นผู้ควบคุมอสูร เขาทักทายพวกลุงอย่างอบอุ่นเมื่อได้เจอกัน

“พ่อหนุ่มลู่ เจ้าเป็นผู้ควบคุมอสูรแล้ว พวกเราเป็นลุงของเจ้าไม่ได้หรอก!” เหล่านักล่าเกิดทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าลู่หยางเคยเรียกพวกเขาอย่างนั้น แต่นี่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อมีผู้ควบคุมอสูรที่นอบน้อมมาเรียกว่าท่านลุง คนธรรมดาอย่างพวกเขาจะรู้สึกอึดอัดและหวาดหวั่น

นี่คือโลกแห่งการจัดลำดับชั้นอย่างเคร่งครัด ผู้ที่แข็งแรงกว่าจะได้รับความเคารพนับถือเสมอ

“ท่านลุง ไม่ว่าท่านจะพูดยังไง เราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ที่ผ่านมาพวกท่านก็ดีกับข้ามาตลอด งั้นทำไมวันนี้เราไม่มาล่าสัตว์ด้วยกันล่ะ?” ลู่หยางพูดและยิ้มบางๆ

“เอ่อ! จริงๆเหรอ?” นักล่าเหล่านี้รู้สึกหัวใจพองโตที่ได้รับความโปรดปรานอย่างคาดไม่ถึง มันช่างเป็นเกียรติที่ผู้ควบคุมอสูรจะนำพวกเขาไปล่าสัตว์ในหุบเขา

“จริงสิ ท่านลุง จะมัวรีรออะไรล่ะ!” ลู่หยางหัวเราะ

“เอาล่ะ!” พวกนักล่าก็เป็นคนตรงๆ เมื่อเห็นลู่หยางมีท่าทีต่อพวกเขาอย่างเช่นที่เคยเป็น พวกเขาก็ไม่ต้องเสแสร้ง

“ไปเลย!” “ลุยเลย!” “กรับ …” พวกเขาพบม้าฝูงหนึ่งก่อนที่จะเดินไปได้ไกล ม้าเหล่านั้นมีเกล็ดงามๆบนตัวของพวกมัน และทั้งหมดนั้นน่าอัศจรรย์มาก ดูครั้งเดียวก็รู้เลยว่าพวกมันไม่ใช่ม้าธรรมดา

“พวกมันทั้งหมดเป็นม้าระดับอสูรดุร้าย ดูเหมือนว่าพวกมันจะมาจากทางแคว้นเซียงหยาง!” ลู่หยางขมวดคิ้ว มองไปที่ม้ากลุ่มนี้ที่กำลังใกล้เข้ามา

.“ดูสิ ม้าตัวนั้นมีเขาอยู่ที่หน้าผากด้วย หรือจะเป็นม้ายูนิคอร์นในตำนาน?” พวกน่าล่าโพล่งกันขึ้นมา

“ว้าว! ช่างสวยงามเลือเกิน หรือนั่นคือเทพธิดาสวรรค์ชั้นเก้า? นางยังขี่ม้ายูนิคอร์นในตำนานด้วย!” แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เหล่านักล่าพวกนี้ตื่นเต้นกันมากขึ้นก็คือผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นหญิงสาวสวย

.“เยี่ยมเลย!” “พวกเราได้พบกับราชาม้าเขาเดียว ซึ่งเป็นอสูรระดับกลางและมีสายโลหิตระดับชั้นยอด ประมาณ 30 เมตรข้างหน้าเรานี่!” นั่นคืออสูรดุร้ายระดับกลางจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอสูรดุร้ายระดับกลางและยังมีสายโลหิตระดับชั้นยอด

“อสูรที่มีพลังมากเช่นนั้นถูกขึ้นขี่โดยเด็กสาว หรือเด็กสาวนี้จะเป็นผู้ควบคุมอสูรระดับกลางจริงๆ?”

ม้ากลุ่มนี้วิ่งเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียวพวกม้านั้นก็มาอยู่ตรงหน้า พวกเขาแล้ว การปรากฏกายขึ้นของหญิงสาวผู้นำกลุ่มนั้นยิ่งโดดเด่นมากกว่าแม้แต่กับใจที่แกร่งของเขา ลู่หยางตกตะลึง และกลุ่มม้าหนุ่มฉกรรจ์กล้ามเป็นมัดๆข้างหลังนางนั่นก็ยิ่งน่าทึ่ง

นางแต่งกายในชุดแดงชวนให้เห็นภาพของรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของนาง เอวที่บอบบางของนางบิดเล็กน้อยขณะที่ขี่ม้าทำให้ดูสง่า นี่คือความงามที่ไม่มีใครเทียบได้จริง เซวียหลิงหลิงผู้ที่ก่อนหน้านี้ได้รับคำล่ำลือว่าเป็นนางฟ้าในแดนดิน กลายเป็นธรรมดามากเมื่ออยู่ต่อหน้านางคนนี้

“เจ้าคนชั้นต่ำนี้มาจากที่ไหน? เขาช่างหยาบคายนัก ดูท่าอยากจะมีเรื่อง!”

ทันใดนั้นแส้ม้าหวดมาจากข้างหลังนางไปที่ลู่หยางและคนอื่นๆ นั่นคือชายหนุ่มสวมใส่อาภรณ์ประดับประดาด้วยลายปัก แสดงออกซึ่งความดูหมิ่นและรังเกียจในดวงตาของเขา

“โอ๊ย?” “มาลงแส้ใส่ข้าได้ยังไง?” ความเร็วของแส้นั้นเร็วมาก เสียงหวดแส้ดังแทรกอากาศออกมา กลุ่มนักล่าพากันหวาดกลัว

ลู่หยางโกรธ คนที่จู่โจมคือผู้ควบคุมอสูร น้ำหนักของแส้นั้นหนักอย่างน้อย500-600กิโลกรัม คนธรรมดาๆจะทนได้ยังไง

ถ้าพวกเขาไม่ตายก็พิการ แค่มองสาวงามไม่กี่ครั้งก็จะต้องถูกฆ่าแล้ว พวกที่เกิดมาสูงศักดิ์ทำเหมือนกับชีวิตมนุษย์เป็นแค่วัชพืช

“หยุด --!”ก่อนที่ลู่หยางจะทำอะไรลงไปนั้น ผู้นำกลุ่มตะโกนขึ้น นิ้วเรียวสองนิ้วจับฉวยแส้ไว้ ลู่หยางตกตะลึง พลังอำนาจมากเหลือเกิน

“คือ ….” สีหน้าของชายหนุ่มในชุดสีสันสวยงามเปลี่ยนไป เขาจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเด็กสาวขัดขึ้น

“อู๋จั่น ! ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าตามข้ามาที่นี่เพื่อแสดงความแข็งแกร่งของเจ้าต่อหน้าสามัญชนพวกนี้!” นางกวาดสายตาไปที่ชายหนุ่มอย่างเย็นชาและการกระทำของนางฉายแววผู้กล้า

“ไปกันเถอะ!” นางเป็นคนแน่วแน่และรวดเร็ว สายตาของนางหยุดอยู่ที่ลู่หยางสักครู่หนึ่ง นางสามารถหยุดอู๋จั่นได้ ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องพูดอะไรบ้าง

“ฮึ้มมม!” อู๋จั่นจ้องมองลู่หยางอย่างเอาเรื่อง เพราะสายตาที่โกรธแค้นของลู่หยางทำให้เขาไม่สบอารมณ์ มันก็แค่คนต้อยต่ำคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาขุ่นข้องใจ

ลู่หยางไม่แยแส เขามีลักษณะที่ไม่เคยเกรงกลัวใคร

“…”

“แม่นาง อู๋ฮวง คนผู้นั้นเป็นใครกันนะ?” “ทำไมเราต้องยกโขยงกันมาตามหามันด้วย?” อู๋จั่นเร่งม้าขึ้นเพิ่อจะตามนางให้ทันและจะได้มองร่างที่สง่างามของนางจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

“อย่าถามมากความ จะยังไงเจ้าก็ต้องหาคนผู้นี้ให้เจอ!” สายตามแ่นางอู๋ฮวงฉายแววลึกลับ คิ้วย่นด้วยความกังวล

“…”

ลู่หยางไม่รู้เลยว่าเขาเพิ่งได้กระทบไหล่บุคคลที่เขาจะต้องมอบสารลับให้ ตอนนี้เขากำลังนำนักล่าสองสามคนจากเมืองชิงหยางเข้าไปในภูเขา

“ท่านลุง วันนี้จะพอแค่นี้ พวกท่านจะกลับไปก่อนก็ได้ ข้ายังอยากที่จะเข้าไปข้างในต่อ!” ลู่หยางบอก

“เอ่อ? เอ่อ หยาง เจ้าจะล่าอสูรดุร้ายเหรอ?”

“ระวังตัวด้วยนะ หยาง! ขอบใจเจ้ามากนะสำหรับวันนี้!”

พวกลุงๆต่างพากันสำนึกในบุญคุณของเขาและเตือนให้เขาระมัดระวัง พวกเขาคิดว่าพวกอสูรบ้าระห่ำนั้นน่ากลัวมาก

“ไม่ต้องห่วง ต้าเฮยก็อยู่นี่!” ลู่หยางตบหัวต้าเฮยที่อยู่ข้างๆเบาๆ แล้วพวกเขาก็เดินลึกเข้าไปในภูเขาที่ซึ่งมีเสียงอสูรดุร้ายร้องคำรามออกมา

ความแข็งแกร่งทางกายภาพของลู่หยางตอนนี้ขึ้นถึง เก้าร้อยเก้าสิบเก้าจิน ในการสู้ตัวต่อตัวนั้น อสูรดุร้ายระดับปฐมภูมิธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขามีสัตว์เลี้ยงสงคราม10ตัวอยู่กับตัว ตราบเท่าที่เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรดุร้าย การฆ่าพวกมันนั้นมันง่ายเหมือนแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว น่าเสียดายทีพื้นที่ของกระเป๋าสวรรค์และปฐพีนั้นเล็กเกินไปที่จะเก็บซากศพของเหล่าอสูรดุร้ายพวกนี้ได้ เขาทำได้แค่ย่างมันเป็นอาหาร และที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยงสงคราม10ตัวนั้น

กล่าวกันว่าเนื้อหนังของอสูรเต็มไปด้วยพลัง หลังจากที่ได้กินไป1มื้อความเหนื่อยล้าจากการล่าในเช้าวันนั้นก็หายไปหมด

“มาลุยงานหินกัน การที่จะเก็บแก่นผลึกระดับปฐมภูมิ20แก่นเป็นเรื่องง่ายมากถ้าโชคดีก็จะได้มากกว่านั้น ภายใน4หรือ5วันเจ้าก็จะสามารถยกระดับสายเลือดของต้าเฮยขึ้นไปถึงชั้นยอดได้ ลู่หยางตาเป็นประกาย ใจของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ เขาพร้อมแล้ว

“อู๊ดๆ!” “หมูโลหิตแดง3ตัว อสูรดุร้ายระดับแรก สายเลือดระดับธรรมดา 40เมตรทางด้านขวา”

“…”

ด้วยความช่วยเหลือของระบบควบคุมอสูร การล่าเป็นไปอย่างราบรื่น ในเวลาแค่ 15  นาทีลู่หยางก็พิชิตอสูรระดับต้นเพิ่มขึ้นอีก3 ตัว

“(โฮก)!” ตอนนี้มีสิ่งเคลื่อนไหวมาจากป่าข้างหน้า เสียงคำรามของเสือทำให้ต้นไม้สั่นไหวใบไม้ร่วงกราว

“ตู้ม!” เราพบพยัคฆ์เพลิงสีชาดและอสรพิษเกล็ดทมิฬมันเป็นอสูรระดับต้นมีสายโลหิตชั้นสูง

“เป็นไปได้ไหมว่าอสูรดุร้ายสองตัวจากสายโลหิตชั้นสูงกำลังต่อสู้กัน?” ลู่หยางรู้สึกจริงจังขั้นมา เขาเคยพบอสูรดุร้ายที่มีสายเลือดชั้นสูงมาก่อนแต่ทุกครั้งเขาก็จะหลีกหนีพวกมัน

เมื่อมีสัตว์เลี้ยงสงคราม 10 ตัวในมือแล้ว การที่จะฆ่าอสูรดุร้ายระดับต้นที่มีสายเลือดธรรมดา สอง สามตัวนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรดุร้ายระดับต้นที่มีสายเลือดชั้นสูงเพียงแค่ตัวเดียว เขาก็จะถูกฆ่าได้

ลู่หยางโบกมือครั้งเดียว เขาเรียกสัตว์เลี้ยงสงคราม 10 ตัวของเขากลับมา รวมทั้งต้าเฮยด้วยแล้วเดินจากไปเงียบๆ

“พลั๊ก! พลั๊ก! พลั๊ก!” อสูรร่างยักษ์สองตัวกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดทำให้ต้นไม้ละแวกนั้นหักโค่นลง

อสรพิษเกล็ดทมิฬ มีลำตัวยาวถึงสี่สิบห้าสิบฟุตตัวของมันหนาเท่ากับถังน้ำสองใบ และพลังที่ปล่อยออกมาจากหางของมันนั้นน่ากลัวมาก หางที่ฟาดลงมาแต่ละครั้งทำให้พื้นดินแตกเป็นร่องลึกๆ น่ากลัวมาก

พยัคฆ์เพลิงสีชาดเป็นเสือดุร้ายสีแดงมีขนราวกับเปลวไฟ เคลื่อนไหวได้ปราดเปรียวมากหลบหลีกหางอันใหญ่โตของฝ่ายตรงข้ามได้ทุกครั้ง การสู้รบมาถึงจุดสำคัญแล้ว กรงเล็บแหลมคมของพยัคฆ์เพลิงสีชาดทำให้เจ้าอสรพิษมีบาดแผลโชกเลือดไปตามตัว   และมันก็ได้ฟาดลงไปที่ตัวของพยัคฆ์เพลิงสีชาดเป็นบางครั้ง

ทันใดนั้นอสรพิษเกล็ดทมิฬก็ได้โอกาสใช้ที่วิชาไม้ตายของมัน ร่างใหญ่ของมันรัดรอบตัวพยัคฆ์เพลิงสีชาด แล้วหดตัวลงในทันที ในเวลาอันสั้นนั้น พยัคฆ์เพลิงสีชาดก็ไม่สามารถที่จะโต้ตอบได้

ลู่หยางที่แอบซ่อนตัวดูการสู้รบตรงหน้าอยู่

การสู้รบนี้ทำให้ลู่หยางที่แอบซ่อนตัวดูอยู่ใกล้ๆต้องกลั้นหายใจ ดวงตาเขาจ้องมองไปยังพยัคฆ์เพลิงสีชาดซึ่งกำลังจะถูกปราบโดยอสรพิษเกล็ดทมิฬ