บาทที่ 54
บาทที่ 54
ปืนยันต์ที่หงเซียวพัฒนานั้นมีเพียงแค่สองแบบนั้นก็คือปืนสั้นกับปืนยาว ซึ่งใช้วิธีการชาร์จพลังเซียนเข้าไปเป็นกระสุน ซึ่งเมื่อชาร์จเต็มแล้วจะสามารถยิงได้สามรูปแบบนั่นก็คือ
ถ้าเป็นปืนสั้นนั้นจะสามารถยิงด้วยพลังเซียนระดับสามชั้นปฐมเซียนได้สิบแปดครั้ง หรือยิงด้วยพลังเซียนระดับหกได้หกครั้ง หรือยิงด้วยพลังเซียนระดับเก้าได้สองครั้ง และทุกยี่สิบสี่ชั่วโมงมันจะสูญเสียพลังไปหนึ่งในสิบแปด ระยะยิงหวังผลอยู่ที่ห้าสิบเมตร
ปืนยาวนั้นจะสามารถยิงด้วยพลังเซียนระดับสามชั้นปฐมเซียนได้เก้าสิบนัด เทียบเท่ากับระดับหกได้สามสิบนัด หรือระดับเก้าได้สิบนัด ระยะยิงหวังผลอยู่ที่หนึ่งกิโลเมตร
ถึงแม้จะเป็นพลังเซียนระดับสามก็สามารถยิงมารระดับหกชั้นปฐมเซียนที่ไม่ทันระวังตัวได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายกลั่นพลังออกมาป้องกันอย่างเข้มข้นแล้วก็จะต้องยิงหลายนัด แต่ถ้าต้องการยิงให้ได้ผลเด็ดขาดสำหรับการยิงมารระดับหกชั้นปฐมเซียนที่ป้องกันตัวอย่างหนักก็ต้องยิงด้วยพลังเซียนระดับหก
ที่เขาพัฒนาปืนยันต์ขึ้นมานั้นก็เพราะว่าชาวบ้านที่เขาสอนพลังเซียนให้นั้นส่วนใหญ่มีระดับที่ต่ำ อยู่ในช่วงระดับหนึ่งถึงสามชั้นปฐมเซียนเป็นส่วนใหญ่ หากจะล่ามารระดับสูงก็ต้องใช้ปืนยันต์
ปืนยันต์ของเขานั้น การจะชาร์จพลังสำหรับผู้คนที่มีพลังเซียนระดับหนึ่งชั้นปฐมเซียนนั้นจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงสำหรับหนึ่งนัด และใช้เวลาลดลงสำหรับผู้ที่มีพลังเซียนสูงมากขึ้น และสำหรับผู้ที่มีพลังเซียนระดับเก้าชั้นปฐมเซียนทั่วไปนั้นก็จะเติมกระสุนปืนยาวได้เต็มภายในสิบวินาที
ปืนที่ซีชี่และเหมยเหมยนำไปนั้นเป็นปืนสั้นห้าร้อยกระบอกและปืนยาวหนึ่งร้อยกระบอก พวกเธอแจกให้กับหมู่บ้านเจ็ดหมู่บ้านที่มีกองกำลังรวมอยู่ที่ประมาณเจ็ดร้อยคนอยู่ในระดับหนึ่งถึงสามชั้นปฐมเซียน
กองกำลังมารในปราสาทที่พวกเธอจะพาชาวบ้านไปบุกนั้นมีมารอยู่ประมาณสองร้อยคน และมีมารในชั้นมัชฌิมเซียนระดับต้นเป็นเจ้าของปราสาท
สองสาวให้ชาวบ้านชาร์จพลังปืนแสงหนึ่งวันหนึ่งคืนพร้อมทั้งฝึกใช้งานอาวุธขณะที่เธอวางแผนบุกปราสาท
พวกชาวบ้านกว่าเจ็ดร้อยคนบ้างถือปืนสั้นบ้างปืนยาววิ่งลัดเลาะไปตามแนวป่ามุ่งหน้าไปยังตัวปราสาทที่เห็นอยู่ลิบๆซึ่งหากมองเผินๆจะเห็นเป็นเพียงกลุ่มหมอกสีดำปกคลุมอาณาเขตพื้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยสายตาของผู้ฝึกวิชาเซียนอย่างพวกเขาจึงสามารถมองทะลุไปถึงปราสาทได้อย่างง่ายดาย
พวกเขายังไม่ได้ใช้คาถาหมอกวิญญาณ ดังนั้นวิญญาณรายล้อมรอบตัวพวกเขาจึงไม่กลับกลายเป็นหมอกควันให้อีกฝ่ายเห็นได้ พวกเขาวิ่งเข้าไปจนเกือบถึงเขตของหมอกสีดำแล้วก็หยุดชะงักไว้
“เตรียมตัวยิง” เหมยเหมยส่งสัญญาณผ่านเชือกเซียนไปยังหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งเขาก็กระจายความคิดไปยังทุกคนในกลุ่มของเขาทันที
ทุกคนพากันเกร็งพลังเซียนขึ้นมา ร่ายคาถาหมอกวิญญาณ และใช้ร่างวิญญาณถือปืนยันต์ เพราะว่าร่างวิญญาณนั้นมีความแม่นยำกว่าให้พวกเขาเล็งอาวุธเอง คนที่ใช้ปืนยาวลอยตัวขึ้นจนไปยอดไม้ยกปืนขึ้นประทับบ่าและเล็งออกไปยังเป้าหมายที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้กับปราสาท ทั้งบังคับวิญญาณให้ลอยต่ำกว่ายอดไม้และไม่รุกล้ำเข้าไปในเขตหมอกสีดำ ส่วนผู้ที่ใช้ปืนสั้นต่างพากันหลบซ่อนอยู่เบื้องล่างทั้งไม่ให้วิญญาณลอยสูงกว่ายอดไม้ด้วยเช่นกัน
เพราะว่าอาวุธนี้เป็นแสงสว่างที่ไม่ทำอันตรายต่อสิ่งของวัตถุต่างๆทั้งไม่อาจทะลุผ่านไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลอยตัวขึ้นไปที่ยอดไม้ เพื่อไม่ให้เกิดการบดบัง ซึ่งนี่ถือว่าเป็นจุดอ่อนของอาวุธนี้
สองหญิงสาวอยู่ในร่างวิญญาณลอยขึ้นไปเกาะยอดไม้อยู่เช่นกัน ด้วยว่าเธอเป็นระดับเก้าชั้นปฐมเซียนซึ่งเป็นระดับสูงสุด ดังนั้นเธอจึงสามารถรับรู้ได้ทั่วทั้งปราสาทโดยไม่ต้องใช้ดวงตาซึ่งเป็นความสามารถทับซ้อนจากวิชาเซียนหลายวิชา
“เตรียมตัว… ยิง” เหมยเหมยกล่าว
ฟุบ ฟุบฟุบ แสงจากปืนยันต์แสงสิบกว่ากระบอกยิงออกไปในทันที และแสงสว่างก็พลันปรากฏขึ้นบนอกของมารที่เดินลาดตระเวนอยู่ พวกมารพากันหน้าเปลี่ยนไปและรีบนั่งลงโคจรพลังทันที
ความจริงแล้วแสงไม่ได้ทำอันตรายคน แต่เมื่อมารเหล่านี้แพ้ ไฟ สายฟ้า และแสง แสงพวกนี้จึงเพียงแค่สลายพลังมารบนชีพจรบนร่างของมารพวกนี้และเป็นเหตุให้วิญญาณที่ฝังอยู่บนชีพจรไร้การควบคุมและหลุดออกไปจากชีพจรนั้น และเมื่อชีพจรนั้นกลายเป็นชีพจรธรรมดา ระบบวิชามารก็กลายเป็นวิชาพิการ พลังมารที่ไหลเวียนอยู่ในร่างก็พลุกพล่านปั่นป่วนและสร้างอันตรายต่อร่างกายของพวกมันเอง
“อ๊ากกกก” “โอย” เหล่ามารนั้นนั่งอยู่บนพื้นได้ไม่นานนัก บ้างก็กลิ้งเกลือกไปบนพื้น บ้างก็สิ้นสติ บ้างก็กระอักเลือด ที่ร้ายกว่านั้นก็คือร่างระเบิดออก
เหล่ามารในปราสาทที่ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของมารลาดตระเวนได้ต่างพากันพุ่งกายออกมาจากปราสาทเข้าหาเหล่ามารที่สิ้นสภาพเหล่านั้นด้วยความเคยชิน
ทันทีที่ระบบในร่างกายของพวกมารสิ้นสภาพ หมอกมารที่ปกคลุมอยู่จนดำมืดก็กลายเป็นช่องเปิด พวกชาวบ้านต่างพากันวิ่งเข้าไปตามช่องเปิดนั้น และยิงไปยังเป้าหมายที่โผล่ออกมาให้เห็น
ฟุบ ฟุบ ฟุบ ยังพุ่งตัวเข้าไปไม่ถึง พวกมารก็พบว่ามีแสงสว่างเกิดขึ้นบนอกของตนเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกถึงชีพจรบนอกก็ขาดหายไป ร่างที่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงก็ตกลงเฉียงสู่พื้นจากความสูงกว่าสิบเมตร
ชาวบ้านที่ถือปืนสั้นไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป พวกเขาวิ่งออกจากราวป่าเข้าสู่ที่ราบก่อนถึงปราสาท มองเป็นเป็นเหมือนหมอกเมฆฝนโดยการนำของซีชี่ ในขณะเดียวกันชาวบ้านที่ถือปืนยาวก็ลอยตัวอยู่ในระดับยอดไม้ติดตามมาด้านหลังด้วยการนำของเหมยเหมย
ฟุ่ม หมอกสีดำระเบิดออกจากปราสาท ครอบคลุมไปนับกิโลเมตร นี่เป็นหมอกจากความสามารถของชั้นมัชฌิมเซียน แสดงให้เห็นว่าเจ้าของปราสาทรู้ตัวแล้ว
“บังอาจ พวกเจ้ามดปลวก มีเพียงแค่เครื่องรางก็ริบังอาจมาบุกปราสาทข้ารึ” มารเจ้าของปราสาทส่งเสียงกึกก้องไปทั่วพื้นที่นับกิโลเมตร
ด้วยอำนาจสัมผัสของซีชี่และเหมยเหมย พวกเธอรู้ว่าเจ้าของปราสาทกำลังออกมาจากโถงปราสาทพุ่งออกมาด้านหน้า
เหมยเหมย ยกปืนของเธอชี้ไปยังปากทางออก และกล่าวว่า “เล็งไปที่ปากทางออก เป้าหมายหลักกำลังออกมาแล้ว ยิงด้วยความแรงสูงสุด ยิงได้เลยถ้าเห็นเป้า”
ในเวลานั้นซีชี่ได้นำพวกชาวบ้านวิ่งตะบึงจนเกือบถึงปากทางปราสาทแล้ว เธอส่งเสียงไปหาผู้นำของแต่ละกลุ่มว่า “เป้าหมายหลักกำลังออกมา เตรียมตัวปะทะ ปรับระดับกระสุนไประดับสูงสุด หากยิงกระสุนหมดแล้วให้ล่าถอยในทันที”
ผู้นำแต่ละคนส่งเสียงต่อไปยังทุกคนในกลุ่มของตนเอง ต่างพากันส่งความรู้สึกเข้าไปในปราสาท ไม่นานพวกเขาก็จับสัมผัสการคงอยู่ของอีกฝ่ายได้
ผู้นำมารไม่ได้ออกมาในทันทีเพราะว่าสัมผัสพบว่า คนของตนเองที่ตกตายไปนั้นต่างมีแสงเรืองอยู่บนตัว นั่นย่อมหมายความว่านี่เป็นยันต์แสงอะไรบางอย่างที่สามารถป้ายแสงไปบนตัวพวกเขาได้จากระยะไกล เขาส่งคนของตนเองให้กรูกันออกมาก่อน
คนสนิทของผู้นำมารนั้นมีไม่มากนักเพียงยี่สิบกว่าคน ทันทีที่พุ่งตัวออกมายังไม่ทันถึงประตูทางออก พวกมันต่างก็พากันรู้สึกว่าพลังมารปั่นป่วนจนล้มลงไปบนพื้น
ผู้นำมารที่วิ่งตามมาทีหลังก็พบเห็นเช่นกันว่าบนร่างของคนของตนเองอยู่ๆก็พลันมีแสงสว่างขึ้นและชีพจรมารก็ถูกทำลาย มันสยิวกายอย่างหนาวเหน็บรีบถอยกรูดกลับเข้าไปในทันที
เหมยเหมยนั้นใช้ก้าวอนุภาคไปปรากฏบนยอดปราสาทพร้อมกับเรียกให้ผู้ใช้อาวุธยาวตามมาประจำบนยอดปราสาท ขณะที่ซีชี่นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ปากทางเข้าและนำบุกเข้าไปในปราสาทติดตามไปด้านหลังของผู้นำมาร
ฟุ่บ เพียงเห็นหลังของอีกฝ่าย ปืนในมือซีชี่ก็ระเบิดแสงออก
น่าเสียดายเป็นจังหวะที่ผู้นำมารกระโจนเข้าไปในทางด้านข้าง แสงนั้นจึงเพียงกวาดโดนแขนที่แกว่งไปด้านหลังของผู้นำมาร แต่ถึงกระนั้นด้วยมารไม่ได้เกร็งกำลังต้านรับไว้ แขนข้างนั้นก็กลายเป็นแขนธรรมดาในทันที
ผู้นำมารหวาดหวั่นยิ่ง ยันต์ประหลาดในมือคนพวกนี้มีความสามารถสร้างแสงที่กระทั่งชั้นมัชฌิมเซียนก็ยังไม่อาจป้องกันตัวได้ แต่ขณะจะออกไปจากปราสาทก็ยิ่งหวั่นไหวเมื่อพบว่าบนยอดปราสาทมีคนคอยจ้องมองตนเองอยู่
ชาวบ้านต่างพากันกรูไปทุกทิศทางจัดการกับทุกคนที่ขวางหน้า กระทั่งเชลยก็ยังไม่เว้นเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้เป็นมารปลอมปนมา ซึ่งถ้าหากว่าเป็นมารปลอมปนมา คนพวกนั้นก็จะมีวิญญาณพุ่งออกมาจากร่าง
ผู้นำมารเห็นว่าตนเองไม่มีทางหนีจึงหันมาหาซีชี่เมื่อหลบทางแยกในปราสาทจุดหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าเป็นจุดที่ปืนแสงนั้นยังยิงไม่ได้จนกว่าซีชี่จะก้าวมาถึงทางแยก
พรึบ แต่ที่เขาพบก็คือวิญญาณดวงหนึ่งที่ลอยข้างกายพลันเปลี่ยนเป็นดวงหมอกขนาดใหญ่กว่าสามเมตรและตวัดกระบี่เพลิงใส่ตนเอง
เกร็งพลังยกมือรับอย่างฉุกละหุก ลืมไปว่ามือนั้นไม่มีพลังมารอยู่บนนั้น
“อ๊ากกก” มือขาดออก
ฟุบ แสงสว่างส่องเข้าไปเต็มใบหน้าและดวงตาของผู้นำมาร ดูราวกับหัวของผู้นำมารเป็นหลอดไฟ จากปืนยันต์ที่ซีชี่จ่อยิงในระยะประชิด
ด้านหลังของผู้นำมารตนนี้ ภูตตนหนึ่งกำลังเงื้อกระบี่เพลิงตวัดฟันเข้าไปยังก้านคอของผู้นำมารโดยไม่รีรอ