คาถาที่ 26 : จิตวิญญาณซาตาน
ภายในห้องหนึ่งของคอนโดใจกลางเมือง
ร่างของชายหนุ่มสามร่างกำลังนอนหลับเพลินไม่ได้สติอยู่บนเตียงคิงไซส์ ร่างที่นอนอยู่ริมสุดขยับตัวพลิกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีนของตัวเอง ก่อนเจ้าตัวจะเริ่มได้สติพึมพำอะไรออกมาเบา ๆ อย่างหงุดหงิด
ใครโทรมาวะ คนจะหลับจะนอน ...
ร่างนั้นหยิบมือถือขึ้นมาก่อนกดรับสายแล้วพูดอย่างงัวเงีย
“โหล... อ่อ เฮ้ย ! พี่เต้ ครับ ฟองโอเคครับ ... ครับ ...ครับ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ตาสว่างทันทีหลังจากกดวางสายลง พี่ชายของแฟนสาวเขานั่นเอง โทรมาเช็กว่าน้องสาวตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้าน สายตาเลื่อนไปมองเวลาที่หน้าจอมือถือก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว
“เชี้ย ! ไอ้อิฐ !” เสียงอุทานดังลั่นมาจากปากของเด็กหนุ่มหน้านิ่ง เมื่อพบว่าหมอนข้างที่ตัวเองกอดอยู่มันไม่ใช่หมอนข้างแต่เป็นคนต่างหาก เล่นเอาเด้งตัวออกแทบไม้ทัน
โอ๊ย ! มึนหัวชะมัด ... ไม่น่ากินไปเยอะเลย เพราะไอ้ชาแท้ ๆ
ชายหนุ่มลุกขึ้นมาจากเตียง ยืดแข้งยืดขาก่อนเปิดประตูเดินออกไปด้านนอกห้อง
สภาพห้องที่เขาเห็นตรงหน้าทำให้เจ้าตัวถึงกับตกใจ ข้าวของเฟอร์นิเจอร์รอบห้องเละเทะดูไม่ได้ราวกับเมื่อคืนมีสงครามอะไรเกิดขึ้น และที่หน้าตกใจไปกว่านั้นคือร่างของแฟนสาวของเขาเองนอนสลบอยู่บริเวณประตูทางเข้าห้อง
“ฟอง ! เกิดอะไรขึ้น ตื่นก่อน ฟอง !” ร่างนั้นพุ่งเข้าไปหาแฟนสาวตัวเองอย่างเป็นห่วง
“คีย์”
ใบหน้าของหญิงสาวมองหน้าแฟนหนุ่มอย่างงุนงงหลังจากลืมตา พลางเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหัว ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นกังวลแทน
“คีย์แย่แล้ว ชา! ชาถูกผู้หญิงคนหนึ่งกับกลุ่มคนชุดขาวจับตัวไป !”
“ว่าไงนะ ! ... ไอ้ชาถูกจับตัวไป ตั้งแต่เมื่อไรฟอง แล้วพวกมันทำอะไรฟองหรือเปล่า”
ไม่พูดเปล่า คนถามพลิกตัวแฟนสาวของตัวเองไปมา หาร่องรอยของการถูกทำร้าย เจ้าตัวคงจะลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นยมทูตเหมือนกัน ไม่ว่าบาดแผลจะเล็กใหญ่แค่ไหน เวลาก็สามารถช่วยเยียวยาให้หายได้อย่างรวดเร็ว
“เมื่อคืน หลังจากพวกเรากลับมาไม่นานนี่แหละ ฟองไม่เป็นไรหรอก แค่ถูกปืนยาสลบไปสามเข็ม แต่ชานี่ซิ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไงบ้างแล้ว” ฟองนมพูดพร้อมหยิบเข็มฉีดยาปลายแหลมสามอันข้างตัวขึ้นมาโชว์ให้คนถามดู
“ปืนยาสลบ ? หรือว่าจะเป็นพวกนักล่าแม่มด”
คีย์บอร์ดพึมพำออกมาเบา ๆ เขาจำได้เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนอิฐไปร้านเหล้ากับชาบู ที่ยูตะกับพิมพ์นาราเข้ามาลอบทำร้ายชาบูในลักษณะคล้ายกัน คงจะเป็นพวกนักล่าแม่มดไม่ผิดแน่ เมื่อคืนเขาไม่น่าเมาจนขาดสติขนาดนี้เลย คิดแล้วก็หัวเสียขึ้นมาอีก
“น่าจะใช่ ยามันออกฤทธิ์ไวมาก เหมือนไว้เตรียมจัดการกับพวกที่มีพลังเหนือธรรมชาติโดยเฉพาะ”
คีย์บอร์ดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับยกมือขึ้นมาคลึงขมับตัวเอง
“เฮ้อ ... เวรกรรมของไอ้ชา มีแต่เรื่องซวย ๆ ว่าแต่ฟองพอจะจำลักษณะท่าทางของผู้หญิงคนนั้นได้ไหม” เจ้าตัวถามต่อ
“เท่าที่จำได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นฝรั่ง แต่งหน้าจัด ทาปากแดงมาก อ่อ มีอยู่อย่างหนึ่ง ชาเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าน้า น่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน”
คำตอบที่ได้กลับมาทำเอาคีย์บอร์ดขมวดคิ้วด้วยความงุนงง น้าไหน เท่าที่เขารู้จักครอบครัวชาบูมา แม่ของชาบูเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว แล้วน้าที่พูดถึงนั่นคือใคร
“น้า ?”
แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของคีย์บอร์ด เจ้าตัวลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดกลับไปยังห้องนอนที่เขาเพิ่งเดินออกมาไม่นาน ปล่อยให้ฟองนมมองตามไปด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าแฟนตัวเองจะรีบไปไหน ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นเดินตามเข้าไปในห้อง
ทันทีที่เข้าไปถึง คีย์บอร์ดก็พุ่งตัวไปเขย่าตัวเพื่อนลูกครึ่งที่นอนหลับสบายอยู่ริมเตียง
“แมท ! ตื่น ไอ้แมท !”
“หืม งืม อะไรวะ มีเรื่องอะไร โอ๊ยมึนหัวจังวะ” คนถูกปลุกพึมพำขึ้นมาอย่างงัวเงีย
“ไอ้ชาถูกจับตัวไป”
สิ้นคำพูด ร่างที่งัวเงียกำลังจะเผลอหลับต่อก็เด้งตัวขึ้นมามองหน้าคนพูดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสติที่กลับมาสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อีกครั้ง
“ฮะ ! มึงพูดอีกทีซิ”
“เข้าเรื่องเลยนะ กูคิดว่าน้ามึงเป็นคนจับตัวไอ้ชาไป มึงเคยบอกพวกกูว่าครอบครัวมึง มึงเหลือน้าแค่คนเดียว” คีย์บอร์ดพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด คนฟังเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่สามที่ได้ชื่อว่าเป็นน้าขึ้นมาก็หน้าเสีย
น้า ... งั้นเหรอ
“มึงพูดเรื่องอะไรวะ น้ากูงั้นเหรอ ...” แมทธิวพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เจือไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง แต่ลึก ๆ เขาก็แอบสงสัย และกลัวมาตลอด ว่าสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นสักวัน ทั้ง ๆ ที่หลอกตัวเองมาตลอดว่าทุกอย่างมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญแท้ ๆ
“อ้าว น้าครับ มาตั้งแต่เมื่อไร” แมทธิวเป็นคนพูด ก่อนลุกขึ้นเก็บแท่งเทียนที่ล้มระเนระนาด
“นี่ทำพิธีกันอยู่เหรอ น้าเข้ามาเห็นแมวของเราวิ่งไปชนเทียนจนมันดับน่ะ นี่ก็กะจะไปหาไฟแช็กมาจุดให้ใหม่” ซิลเวียพูด
คืนนั้นเขาล็อคห้องอย่างดี แถมเก็บเจ้าแมวชาดำเย็นใส่กรงไว้เรียบร้อย ไม่มีทางที่มันจะออกมาได้ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย คิดว่าอาจจะเป็นเพราะความสะเพร่าของตัวเองแท้ ๆ แถมน้าเขายังคอยถามเรื่องชาบูกับเขามาโดยตลอดราวกับเป็นห่วงเป็นใย อะไรหลายสิ่งหลายอย่างมันทำให้เขาสับสน และงุนงงไปหมด
“แล้วชาเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เขาแปลก ๆ ไปหรือเปล่า แล้วพวกแม่มดดำยังโผล่มาอีกไหม”
“ก็ไม่นะครับ ปกติดี หลังจากแม่มดดำปล่อยนกเป็นร้อยตัวมาโจมตีครั้งนั้น พวกนั้นก็หายเงียบไปเลย ดูท่าพวกนั้นจะยังไม่พร้อม”
“อื้ม งั้นเหรอ คอยดูแลชาดี ๆ”
และเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ยูตะและพิมพ์นาราจะมาตามล่าชาบู เขาก็ได้ยินน้าคุยโทรศัพท์กลับใครบางคน
“We’ve got a big problem at here. Send the witch hunters to Thailand. Well … That’s book was destroyed, I believe that there is some evil energy transferring to his body. We have to kill him.
“น้าคุยกับใครอะครับ” เสียงดังขึ้นขัดจังหวะจากคนเป็นหลาน
“I’ll call you later”
“อ่อ น้าคุยกับแม่มดขาวคนอื่น ปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะ”
ตอนนั้นเขาได้ยินไม่ชัดและจับใจความได้แค่ประโยคสุดท้ายที่ว่าต้องฆ่าใครสักคน ...
เขาเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นมาโดยตลอด
ถ้าเรื่องทุกอย่างมันคือเรื่องจริง ... งั้นวันที่เทียนดับ ซิลเวียก็ต้องการจะฆ่าเขาไปพร้อมกับชาบูด้วย
น้าทำจริง ๆ เหรอ ... น้าต้องการจะฆ่าเขาไปด้วยงั้นเหรอ
“แมท ! มึงจะเงียบอีกนานไหม มีสติหน่อย !” คีย์บอร์ดเขย่าร่างของแมทธิวเรียกสติเมื่อเห็นเจ้าตัวนั่งนิ่งใจลอยอยู่นาน จนทำให้เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
ตอนนี้ร่างของอิฐที่นอนอยู่ก็เริ่มรู้สึกตัว เจ้าตัวยันตัวตื่นขึ้นมามองรอบ ๆ ห้องอย่างมึนงง เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว สายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างสามร่างที่เป็นเพื่อนเขากำลังพูดคุยกันเสียงดังอย่างเคร่งเครียด
“ฟองบอกว่าเมื่อคืนมีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งบุกเข้ามาที่นี่พร้อมพรรคพวก แล้วไอ้ชาเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าน้า มันก็ต้องเป็นน้ามึงนั่นแหละ !”
“คีย์ใจเย็น ๆ แมทคงช็อกมากน่ะ” ฟองนมแตะไหล่คีย์บอร์ดเป็นเชิงปราม เพราะรู้สึกว่าตอนนี้เจ้าตัวจะส่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นตวาดไปแล้ว
“กะ กู ... กูขอโทษ กูไม่อยากจะเชื่อว่าน้ากูเป็นคนทำ” แมทธิวพูด
คีย์บอร์ดสูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างใจเย็น ก่อนค่อย ๆ พูดออกไป เขาก็รู้แหละ ว่าแมทธิวไม่ได้ผิดอะไรด้วย และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกนักล่าแม่มด แต่อารมณ์ตอนนี้มันหงุดหงิดจนพาลไปทั่ว เพราะคนที่จับตัวชาบูไปเป็นน้าแท้ ๆ ของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
“แมทมึงฟังกูนะ มึงรู้อะไรบ้าง เล่ามาให้หมด” คีย์บอร์ดพูด
“กูสงสัยเขามาสักพักแล้ว แต่ไม่เคยปักใจเชื่อเลยสักครั้งว่าเขาจะทำร้ายพวกเราได้ลง เขาดีกับกูมาตลอด”
“มึงเข้าใจปะวะไอ้คีย์ กู ...” แมทธิวทำท่าเหมือนจะพูดต่อแล้วก็เงียบ ความรู้สึกผิดถาถมเข้ามาในจิตใจ สถานการณ์แบบนี้ถ้าไม่เกิดกับตัวเองก็คงไม่รู้หรอก คนหนึ่งก็คนในครอบครัว อีกคนก็เพื่อน ต่อให้คนในครอบครัวจะทำผิดมากก็เถอะ
“กูเข้าใจมึงไอ้แมท กูรู้ว่าตอนนี้มึงรู้สึกแย่แค่ไหน แล้วมึงก็อยากจะปกป้องเขาด้วย แต่ตอนนี้มึงต้องบอกข้อมูลเกี่ยวกับน้ามึงมาให้หมด เขาน่าจะอยู่ที่ไหนได้บ้าง พวกเราจะได้ไปตามถูก”
“เอาเข้าจริง ๆ กูก็รู้แค่ข้อมูลเบื้องต้นของเขา ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพวกนักล่าแม่มด น้ากูเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย พักอยู่ที่หอพักอาจารย์ของมหาวิทยาลัย ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ นั่นคือทั้งหมดที่กูรู้” แมทธิวตอบออกไปตามความจริง นั่นคือทั้งหมดที่เขารู้ มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของน้าเขาคืออะไร
“แล้วงี้จะตามไปช่วยมันถูกได้ไงวะ” คีย์บอร์ดพูดออกมา ก่อนถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยใจ ตอนแรกก็คิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้างเพราะเห็นเป็นน้าหลานกัน แต่ดูท่าแมทธิวจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“เออ จริงซิ พี่ยูตะ กับพี่พิมพ์ไง พวกเขาเป็นนักล่าแม่มด น่าจะรู้อะไรดี ๆ บ้าง” แมทธิวพูดเมื่อคิดอะไรดี ๆ ออก
“โทรเลย ๆ” คีย์บอร์ดเร่ง
“มันเกิดอะไรขึ้นครับเนี่ยพี่ฟอง เกิดอะไรขึ้นกับไอ้ชา” อิฐลุกขึ้นไปคุยกับฟองนมแทน เมื่อเห็นทั้งแมทธิวและคีย์บอร์ดกำลังคุยกันอย่างเคร่งเครียดก็ไม่อยากขัดจังหวะ ว่าแล้วฟองนมก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้อิฐฟัง
“แล้วนี่ใยไหมรู้เรื่องยังครับเนี่ย หรือยังไม่ตื่น” อิฐถามถึงแฟนเพื่อนของตัวเอง พลางคิดว่าชีวิตชาบูเพื่อนเขามันช่างซวยแสนซวยเหลือเกิน เพื่อนเขานี่มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งเจอผีพรายหลอกลงทะเล เคยโดนของจนเกือบตาย ถูกแม่มดดำหมายหัวไว้วันจันทรุปราคา แถมตอนนี้ยังมาเจอพวกนักล่าแม่มดจับตัวไปอีก เห็นทีคงต้องทำบุญสะเดาะเคราะห์ครั้งใหญ่หลังจากผ่านพ้นเรื่องพวกนี้
“ยังเลย เดี๋ยวพี่ไปปลุกเอง” ฟองนมตอบ ถ้าใยไหมตื่นมาคงต้องเป็นห่วงไอ้ชามากแน่ ๆ เฮ้อ ...
อาคารตึกสูงหลายชั้นตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง ภายนอกเป็นเพียงบริษัทยาขนาดใหญ่ แต่ใครจะรู้ว่าด้านบนของชั้นที่ 6 คือห้องทดลองลับของสมาคมนักล่าแม่มดที่ถูกก่อตั้งในไทยมายาวนานเกือบ 10 ปี ถึงแม้จำนวนแม่มดที่อพยพมาที่ประเทศนี้จะมีไม่มาก แต่เพราะการแย่งชิงหนังสือของพวกแม่มด ที่จิตวิญญาณของซาตานถูกขังไว้ในนั้นถูกส่งต่อมาที่นี่ ทางสมาคมจึงลงทุนสร้างห้องทดลองลับขนาดใหญ่ไว้ที่นี่ด้วย และซิลเวียก็ได้แม่มดดำมาทดลองอยู่หลายสิบคนเลย ระหว่างที่ใช้หนังสือเล่มนั้นเป็นตัวล่อ ทางสมาคมให้จัดการพวกแม่มดดำก่อน เพราะจัดการได้ง่ายกว่าพวกแม่มดขาวที่มักจะหาเบาะแสได้ยากกว่า แต่พวกมันทั้งหมดก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่บนโลกทั้งนั้น ตามปณิธานของสมาคม
ในสมัยยุคกลาง สมาคมคือพวกบ้าคลั่งศาสนาที่มองพวกแม่มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมควรจะกำจัดทิ้ง เพราะลบหลู่ความเชื่อในศาสนาของตนเอง แต่ในปัจจุบันก็มีกลุ่มคนอีกประเภทหนึ่งที่รับไม่ได้กับความแตกต่างอันนี้ กลัวว่าสักวันคนพวกนี้จะอยู่เหนือกว่า มันเลยทำให้สมาคมดำรงอยู่มาเรื่อย ๆ
จากการเผาทั้งเป็น จนนำไปสู่การทดลอง ...
ภายในห้องสีขาว ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในสภาพเปลือยท่อนบนกำลังนอนนิ่งมองผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกาวน์สีขาวที่ถือมีดผ่าตัดอย่างหวาดระแวง
“จะ จะทำอะไรผมอะ” ผมร้องออกมาอย่างตะกุกตะกักเมื่อเห็นมีดผ่าตัดถูกยกขึ้นมาเหนือหน้าท้องของตัวเอง ใบหน้าสวยยิ้มกว้างก่อนทำหน้าคิด ฉับพลันมือเรียวที่ถือมีดอยู่ก็เปลี่ยนตำแหน่งคมมีดไปที่แขนข้างซ้ายของผมแทน ปลายคมของมีดกรีดลงไปช้า ๆ ตั้งแต่หัวไหล่ลากยาวจนไปถึงกลางมือของผมจนเกิดเป็นเส้น ก่อนเลือดของผมจะค่อย ๆ ไหลซึมออกมา แผลของผมเริ่มเปิดออก มันเป็นแค่รอยกรีดแบบไม่ลงลึก แต่นั่นคือมีดผ่าตัด มันทำให้ผมเจ็บและทรมานจนต้องร้องออกมา
“โอ๊ย !”
“ฉันอยากจะรู้จัง ไอ้พลังจิตวิญญาณซาตานที่พี่ฉันเคยบอก มันจะอยู่ตรงไหนในร่างกายแก ตอนแรกกะรอแกตายก่อนแล้วค่อยทดลอง แต่แกก็รอดมาได้ทุกครั้ง งั้นก็ขอแบบเป็น ๆ นี่แหละ”
ริมฝีปากสีแดงสดยังคงพูดไปเรื่อย ๆ ก่อนมีดอันนั้นจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่แขนข้างขวาของผมต่อ ก่อนกระบวนการนั้นจะเริ่มอีกครั้ง มันเจ็บเหลือเกิน ผมอยากจะบ้า ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ นี่มันเหมือนผมถูกจับไปอยู่กับฆาตกรโรคจิตชัด ๆ
“แก ! แกมันโรคจิต ! ปล่อยนะเว้ย !”
“อ๊าก !”
ร่างของผมกระตุกเฮือกใหญ่เพราะกระแสไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมา เมื่อกี้ผมพยายามจะใช้เวทมนตร์ทำให้ของแถวนั้นลอยขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ผล
“พวกแม่มดแย่งกันมาเกือบร้อยปี แถมพี่สาวฉันปกป้องมันแทบตาย สุดท้ายมันก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน ถ้าพลังนั่นมันสามารถถ่ายโอนได้จริง ฉันก็ต้องหาทางเอามันออกมาให้ได้”
“อ๊าก !”
ผมร้องออกมาอีกครั้งเมื่อร่างกายถูกช๊อตไปทั้งร่างจากฝีมือคนตรงหน้า
“แถมให้ ! บอกแล้วใช่ไหม ฉันไม่ชอบเด็กดื้อ”
สติผมแทบจะหมดลง หลังจากถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าครั้งล่าสุด ตาผมกำลังจะปิดภาพตรงหน้ามันเลือนลางเหลือเกิน
แต่ผมกลับได้ยินเสียงของตัวเองพูดขึ้นมาในหัวอย่างชัดเจน
แกจะยอมให้มันทำกับแกแบบนี้เหรอ...
เสียงนั้นพูดต่อ
ให้ฉันออกไปซิ
ให้ฉันออกไป ...