SB:ตอนที่ 10 ขายจิตวิญญาณ
SB:ตอนที่ 10 ขายจิตวิญญาณ
อีกด้านหนึ่ง ราคาของการเลื่อนระดับเตาหลอมหมื่นอสูรก็ทำให้ลู่หยางหม่นหมองและแทบจะหมดแรง เพราะต้องใช้แก่นผลึกระดับกลางถึง 100 แก่น หรือ แก่นผลึกระดับสูง 10 แก่นซึ่งแก่นผลึกเหล่านั้นพบได้แต่ในร่างของอสูรดุร้ายระดับกลาง และอสูรดุร้ายระดับสูงเท่านั้น ถึงแม้ว่าอัตราการแปลงระหว่างแก่นผลึกระดับปฐมภูมิกับแก่นผลึกระดับกลางเป็น 10 : 1 แต่ครั้งนี้ การเลื่อนระดับเตาหลอมหมื่นอสูรไม่สามารถใช้แก่นผลึกระดับปฐมภูมิ 1,000 แก่นได้ สำหรับหินผลึกนั้น ลู่หยางลืมมันไปอย่างสิ้นเชิง
“เฮ้อ!” เวลาใช้เงินน่ะคล่องนัก แต่เวลาจะหาเงินมาน่ะช่างยากเย็นแสนเข็ญ!” ลู่หยางมองไปที่แก่นผลึกที่เหลืออยู่ 7 แก่นด้วยความหดหู่และถอนหายใจ ในการที่จะทำโลหิตของต้าเฮยให้บริสุทธิ์สู่ระดับชั้นยอด เขาจะต้องปรับแต่งสัตว์เลี้ยงสงคราม 10 ตัวที่เป็นชนิดเดียวกันและอยู่ระดับเดียวกัน เขาได้เตรียมสัตว์เลี้ยงสงครามเช่นที่ว่านั้นไว้แล้ว 10 ตัวแต่ จำนวนแก่นผลึกที่ต้องใช้นั้นยังขาดอยู่อีกมาก เตาหลอมทุกตัวนั้นต้องใช้แก่นผลึกระดับเดียวกัน 10 แก่นเพื่อที่จะปรับแต่งสัตว์เลี้ยงสงครามหนึ่งตัว
“…”
เมืองฉิงเหอ
“นายท่านเฟิง! ท่านต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ข้า ไอ้บัดซบลู่หยางทำให้แขนทั้งสองของข้าพิกลพิการไปแล้ว” หลี่ยี่คุกเข่าลงแทบเท้าหลี่เฟิง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ดวงตาเคียดแค้นของเขาทำให้หลี่เฟิงรู้สึกอึดอัดไปหมด
“ไอ้เศษขยะ! เจ้าทำให้ข้าอารมณ์เสียทุกครั้งที่เห็นหน้าเจ้า ไสหัวไปซะ! ครั้งนี้เจ้าทำให้ข้าถูกหลบหลู่อย่างมาก! หลี่เฟิงเตะหลี่ยี่ออกไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและดูถูก
“นายท่านเฟง ท่านจะไม่สนใจข้าไม่ได้เราตกลงที่จะเอาคืนกันแล้ว และข้ายังได้ขายน้องสาวของข้าให้กับท่านแล้ว แถมเซวียหลิงหลิงยังสัญญาที่จะให้กับท่าน บัดนี้ข้าพิการไปแล้ว ท่านจะเมินเฉยต่อข้าไม่ได้!” สีหน้าของหลี่ยี่เต็มไปด้วยความกลัว เขาขยับมาข้าหน้าราวกับหมาบ้า และเพราะแขนของเขาไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกายได้เขาก็เลยล้มลง ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะประจบประแจงหลี่เฟิง เขาได้ขายน้องสาวของเขาให้กับหลี่เฟิง บอกได้เลยว่าชายผู้นี้ช่างเห็นแก่ตัวอย่างมาก
“บัดซบ!” “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไปตามทางของเจ้าได้แล้ว!”หลี่เฟิงรู้สึกกราดเกรี้ยวขึ้นมาทันที่เมื่อเห็นท่าทีราวกับหมาบ้าของหลี่ยี่
เขาเตะหน้าอกหลี่ยี่อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อลงแล้วจากไปอย่างโกรธ
“โอ๊ยย!” หลี่ยี่กองอยู่กับพื้นราวกับหมาตัวหนึ่ง หน้าเขาแนบอยู่กับพื้นและมีเลือดกบปาก เขาร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่งและเจ็บปวด
เป็นเพราะความทรยศครั้งก่อนของเขา ทุกๆคนก็เริ่มที่จะรังเกียจดูหมิ่นเขาตั้งแต่ที่เขาพิการ บัดนี้เขาสูญสิ้นทุกสื่งทุกอย่างแล้วเว้นแต่ร่างกายที่พิการของเขา
“หลี่เฟิง ไอ้เวรเอ๊ย! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า เป็นความผิดของเจ้าทั้งหมดเจ้าสมควรตาย! แล้วยังไอ้ลู่หยางอีก พวกเจ้าทั้งหมดสมควรตาย! ให้ตายเถอะ! ข้าจะฆ่าเจ้า!” “โว๊ยยยย!” หลี่ยี่เป็นบ้าไปแล้ว ความเกลียดแค้นของเขาทำให้ผู้คนหวาดกลัวราวกับว่าเขากำลังจะทำลายโลกทั้งใบนี้
“หึหึ ช่างเป็นความโกรธแค้นที่แรงกล้าอะไรอย่างนี้ ไม่เลว ไม่เลวเลย!” เสียงหัวเราะเย็นชาคล้ายกับของนกฮูกตัวหนึ่งดังขึ้นในห้องว่าง มันดังมาจากที่ห่างไกล จากซ้ายไปขวา ทำให้ไม่สามารถที่จะจับต้นตอของเสียงนั้นได้
“นั้นใครน่ะ?” ใครกำลังพูด? “ออกมาสิ ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้า!” หลี่ยี่รู้สึกตกใจ แต่หลังจากนั้นก็คำรามอย่างดุร้าย ราวกับว่าเขาไม่ใช่ทั้งคนหรือผี
“ช่างเป็นจิตวิญญาณที่ชั่วร้าย ช่างเป็นจิตวิญญาณที่บ้าคลั่ง ฮ่าฮ่า! รสชาตินี้วิเศษซะจริง” หมอกควันสีดำก้อนหนึ่งปรากฎขึ้นทันใดในห้อง เผยให้เห็นคนในชุดดำ ทั่วร่างกายของเขาเปล่งประกายความชั่วร้ายและเย็นชา ราวกับว่าเป็นวิญญาณชั่วร้ายมาจากนรกทำให้หลี่ยี่ผู้ซึ่งกำลังบ้าคลั่งรู้สึกสะพรึงกลัวไปหมด และพูดออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวว่า “ท่าน ท่าน ท่านคือใคร?” หลี่ยี่ใจหายเล็กน้อยขณะที่ยังตัวสั่นอยู่ เขาจ้องไปที่ชายชุดดำด้วยความกลัว
“หื้ม!” ชายชุดดำไม่ได้พูดอะไร เขาสูดหายใจ และเฝ้ามองควันดำสายหนึ่งที่ผุดขึ้นจากศรีษะของหลี่ยี่ และถูกดูดเข้าไปในร่างของเขาโดยชายชุดดำ เขาครวญครางด้วยความพอใจเหมือนคนติดยา
แน่นอน เสียงครวญครางเช่นนี้ทำให้หลี่ยี่ขนลุกไปหมด และรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของเขาหายไปทันที ต่อจากนั้นเขารู้สึกตัวเขาเองกำลังลอยขึ้น
“โอ้! ท่านกำลังทำอะไร?” หลี่ยี่ตกใจมาก ตอนนี้เขากำลังลอยอยู่ในอากาศจริงๆ แต่ร่างของเขายังคงนอนอยู่ที่พื้นนั่น สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
หลังจากนั้นไม่นาน เขารู้สึกเหมือนโลกหมุนอยู่รอบๆเขาราวกับว่าเขากำลังจะจมลงไปในน้ำวนมืดมิด
“เอาล่ะ เจ้าปีศาจมืด!” จิตวิญญาณคนผู้นี้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ปล่อยเขาไป!” ในขณะนั้น อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงนั้นเย็นชาพอกันแต่แฝงไว้ด้วยความมีอำนาจ
“ปัทโธ่เอ้ย! จิตวิญญาณที่ชั่วร้ายและมีพิษสงเช่นนั้น… มันน่าเอร็ออร่อยมาก!” ชายชุดดำมองไปที่ชายชุดดำอีกผู้หนึ่งที่เพิ่งปรากฎกายขึ้น
“พวกท่าน … พวกท่านเป็นใครกัน?” แล้วข้าลอยออกมาจากร่างของข้าได้อย่างไร?” หลี่ยี่รู้สึกเหมือนพระอาทิตย์ได้ปรากฏขึ้นใหม่จากหุบเหว เขาตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเขาโปร่งแสงและร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยพลังงานที่มืดดำ
“หึ หึ เด็กน้อย นี่เป็นวิญญาณของเจ้า ข้าเพิ่งจะซึมซับมันจากร่างของเจ้า!” ภายใต้ผ้าโพกศรีษะสีดำนั้น ดวงตาละโมบทั้งสองถลนออกมา ผ้าสีดำบนหน้าอกมีรูปหัวกะโหลกสีขาว และที่ผ้าคลุมหลังสีดำมีรูปหัวผีรูปใหญ่ ดูน่าสะพรึงกลัวมาก
ชายชุดดำอีกผู้หนึ่งก็แต่งกายแบบเดียวกัน
“เอ่อ!” พวกท่าน…พวกท่านเป็นปีศาจเรอะ? อย่า อย่ากินข้านะ! ข้าขอร้อง!” หลี่ยี่กลัวมากจนใจสั่น สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้นมันยากเกินที่เขาจะเข้าใจ
“เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะปล่อยเจ้าไป!” ชายชุดดำอีกคนพูดอย่างเย็นชา
“เมตตาข้าเถอะ!” จะให้ข้าทำอะไรให้ข้าก็ยอม!” หลี่ยี่อ้อนวอน
“หึ หึ! ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องขายวิญญาณให้กับเรา!” ปีศาจดำหัวเราะ
“ข้ายอม! ข้ายอม!” หลี่ยี่ตอบไม่ลังเล
“อืม! อย่าขัดขืน!” ชายชุดดำอีกคนค่อยๆผงกหัวขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีแดงกล่ำคู่หนึ่ง
“ฮึ้บบ!” ดวงตาสีเลือดคู่นั้นพลันปล่อยรังสีสีแดงสองเส้นพุ่งเข้าสู่ร่างวิญญาณของหลี่ยี่และดึงเอาแสงสีดำออกมาอย่างรวดเร็วและถูกดูดเก็บเข้าไว้ในน้ำเต้าสีดำของชายชุดดำ
ร่างวิญญาณของหลี่ยี่กลับคืนสู่ร่างของเขา ดวงตาลืมขึ้นเปล่งประกายตื่นเต้นเร่าร้อน ชายชุดดำเก็บน้ำเต้าและเดินไปข้างหน้าหลี่ยี่ เขายกมือซีดขาวของเขาและวางบนศรีษะของหลี่ยี่ และถ่ายเทพลังงานที่ทรงอำนาจและชั่วร้ายดำมืดเข้าไป แขนที่พิการของหลี่ยี่หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้รับพลังงานด้านมืดนี้เข้าไป
หลี่ยี่ส่งเสียงคำรามต่ำๆอย่างตื่นเต้น ลายเส้นน่ากลัวมากมายปรากฏบนใบหน้าของเขา มีเงาของศรีษะผีร้ายกำลังร้องคำรามอยู่ข้างหลังศรีษะของเขา
“ขอบคุณสำหรับพลังที่ประทานให้กับข้า นายท่าน!” หลี่ยี่ลิงโลดนักเมื่อรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งของเขา นัยตาฉายแสงเร่าร้อนขึ้นขณะคุกเข่าอยู่ข้างหน้าชายชุดดำ
“อืม! เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ” ชายชุดดำพยักหน้าบอก
“ขอบคุณ นายท่าน ก่อนอื่นข้าต้องไปแล้ว!” ความร้ายกาจแปล๊บเข้ามาในดวงตาของหลี่ยี่ เขาล่าถอยไปอย่างนอบน้อม
ชายชุดดำรอจนกระทั่งหลี่ยี่จากไปแล้วก็พูดขึ้นทันทีว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าตรวจดูวิญญาณของเขาแล้ว นอกจากเขาแล้วยังมีเจ้าเด็กเหลือขออยู่อีกหนึ่งคนชื่อว่าลู่หยางที่อยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าสารลับจะอยู่ในตัวของเจ้าเด็กนั่น!”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะรออะไรล่ะ ไปจับตัวเจ้าเด็กนั่น!”ข้าอยากรู้นักวิญญาณของมันจะรสชาติเป็นยังไง จึ๋ย จึ๋ย…“ชายชุดดำเรียกปีศาจดำ”มันก็แค่ผู้ควบคุมอสูรขั้นปฐมภูมิ ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว ท่านกับข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเองหรอก ที่แห่งนี้อยู่ภายใต้รัศมีครอบคลุมของใจกลางแคว้น พลังงานด้านมืดรอบๆตัวเราอ่อนเกินไป พวกเราไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะทำให้แผนของท่านหัวหน้าพังยับเยินและท่านกับข้าก็จะต้องตาย!” ชายชุดดำอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เฮ้! เฮ้! ถึงแม้ว่าพลังของหุบเหวจะแข็งแกร่ง มันก็ไม่ใช่อะไรที่ข้าจะใช้ได้ตามใจชอบ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งไปกว่านั้นก็คือแคว้นเซียงหยางเป็นเพียงแคว้นระดับสาม” ปีศาจดำหัวเราะ
“…”
“อืมมม!” สำหรับคนพิการไร้ประโยชน์เช่นเจ้าผู้ซึ่งทำอะไรก็ล้มเหลวแถมยังทำให้ข้าเสียหน้าอีก แล้วเจ้ายังจะมาให้ข้าช่วยอีกเรอะ? คงจะได้หรอก!” หลี่เฟิงเดินออกจากบ้านของหลี่ยี่ด้วยใบหน้าบึ้งตึง สบถไปตลอดทาง
ที่จริงครั้งนี้เขามาที่เมืองชิงหยางด้วยภารกิจที่บิดาของเขามอบหมายให้ ทิศทางของภารกิจนั้นว่างเปล่า และยิ่งเมื่อถูกทำให้กลัวถึงขั้นต้องวิ่งหนีหางจุกตูดแล้วนั้นทำให้เขาเสียหน้ามาก และนี่ก็ทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นในใจ ระหว่างนี้ เขาพำนักอยู่ที่บ้านของเขาในเมืองฉิงเหอ และบ่อยครั้งที่มาระบายความโกรธกับน้องสาวของหลี่ยี่
“ให้มาหาใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นแม้แต่เงาหัว! ลืมมันซะ กลับไปที่แคว้นเซียงหยางเถอะ!” หลี่เฟิงอารมณ์เสียและหมดความอดทน เขาไม่ทำภารกิจแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ก่อนกลับ ข้าต้องไปเมืองชิงหยางไปชำระแค้นกับไอ้ลู่หยาง เจ้าซุนวูน่าจะไปนานแล้ว!” หลี่เฟิงฉุกคิดขึ้นมา ฉายแววชั่วร้ายขึ้นมาทันที
“นี่ นี่ นายท่านเฟิง ท่านต้องการให้ข้าช่วยจัดการลู่หยางนั้นให้มั้ย?” เสียงเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลังของหลี่เฟิง
“ระยำเอ้ย!” เจ้าบ้านนอก! ทำไมข้าต้องให้เจ้าช่วย?” ทีแรกหลี่เฟิงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เขาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างหายไปแล้วหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
“บ้าเอ้ย ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้วเหรอ?” “ช่างมาตามรังขวานข้า เจ้าอยากตาย....” หลี่เฟิงเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างหลัง และก่อนที่เขาเกือบที่จะระเบิดขึ้นมานั้น หน้าอกของเขาก็ถูกทิ่มแทงด้วยกรงเล็บสีดำ
“เจ้า... มือของเจ้า... เจ้าทำได้ยังไง...” “เป็นไปไม่ได้....” หลี่เฟิงมองคนตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าพลังชีวิตของเขาค่อยๆจางหายไป