Chapter 19-20 การทดสอบจำลองสถานการณ์ (3), การทดสอบจำลองสถานการณ์ (4)
Chapter 19: การทดสอบจำลองสถานการณ์ (3)
เทรย์กับกลุ่มของเขาเดินเข้าไปโดยทำเป็นไม่รู้ว่ามีอัศวินซ่อนตัวอยู่
และในตอนที่พวกเขาเดินออกมาพ้นกองใบไม้ใบหญ้าที่อยู่บนพื้น, พวกเขาก็หาพุ่มไม้และเข้าไปซ่อนตัวเพื่อยืนยันความสังสัยของพวกเขา
ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้, หลังจากผ่านไป 3 นาที...ก็มีอัศวินสองคนกระโดดขึ้นมาจากพื้น คนนึงไปทางซ้าย, ในขณะที่อีกคนมาทางพวกเขา
เทรย์ส่งสัญญาณให้คนของเขาสองคนไปจับตัวอัศวินอีกคนนึง, ในขณะที่คนที่เหลือให้จดจ่ออยู่กับอัศวินที่กำลังเดินเข้ามาหา
ในตอนที่อัศวินเดินผ่านที่ซ่อนของพวกเขาไป, เทรย์ก็พุ่งเข้าทางข้างหลังของอัศวินคนนั้นอย่างรวดเร็วและเอามือปิดปากของอัศวินคนนั้นเอาไว้ ในขณะที่ลูกน้องของเขารีบโจมตีจุดอ่อนของเขาอย่างรวดเร็วและชิงผ้าโพกหัวมาจากแขนของเขา
“ตอนนี้เจ้าถูกพิจารณาว่าตายไปแล้ว, อย่าลืมหล่ะคนตายพูดไม่ได้ ดังนั้นในตอนที่ข้าเอามือออกจากปากของเจ้า, เจ้าต้อง ห้ามพูดหรือส่งเสียงร้องออกมา...เข้าใจไหม?”
อัศวินพยักหน้าอย่างจำใจ ถึงยังไง, เขาจะทำอะไรได้อีกหล่ะ? ตอนนี้เขาเป็นแค่ศพแล้ว
จากนั้นพวกเขาก็ตั้งใจจะไปตรวจสอบดูว่ามีคนอื่นอยู่ในหลุ่มนั่นอีกรึเปล่า พวกเขาไม่สามารถถามอัศวินที่พวกเขาจับมาได้เพราะเขาถูกพิจารณาว่าตายไปแล้ว
ซึ่งเทรย์วางแผนว่าเขาจะทำการโจมตีเฉียบพลันด้วยการกระโดดพรวดเข้าไปในหลุมและลากตัวศัตรูออกมา
ในตอนที่เทรย์กระโดดเข้าไปนั้น, อัศวินหนุ่มก็ตกใจอยู่พักนึงก่อนที่จะพยายามป้องกันตัวเอง พวกเขาต่อสู้กันในหลุมเป็นเวลา 2 นาที, ก่อนที่เทรย์จะหาโอกาสชิงผ้าโพกหัวมาได้
มันไม่ใช่ว่าอัศวินคนนั้นอ่อนแอหรืออะไร อันที่จริง, จากมุมมองของคนดูนั้น, พวกเขามีพละกำลังพอๆกัน แต่เหตุผลเดียวที่เทรย์เอาชนะมาได้ก็เพราะความจริงที่ว่าเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้สูงกว่าอีกฝ่าย
ในตอนที่เขาจัดการเสร็จ, พรรคพวกของเขาก็ชิงผ้าโพกหัวจากอัศวินที่มุ่งหน้าไปอีกทางกลับมาได้
ด้วยผ้าโพกหัว 3 ผืนนี้, พวกเขาตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อจนกว่าจะชิงมาได้อย่างน้อย 10 ผืน
หลังจากที่พวกเขาเดินจากไปได้พักนึง, ลูเซียสก็ออกมาจากที่ซ่อนของเขาแล้วไปบอกอัศวินที่ตายแล้ว(โดนชิงผ้าโพกหัว)ให้ตรงไปรอที่จุดนัดพบจนกว่าการสอบจะสิ้นสุด
เทรย์เอ๋ย, ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดที่เจ้ามีคือสมองของเจ้า เจ้าหนุ่มนี่ฉลาดและช่างสังเกตุพอที่จะคาดเดาความคิดของศัตรูได้แล้วสินะ และถ้ารวมกับความสามารถในการต่อสู้ของเขา, ในอนาคตเขาจะต้องเป็นบุคคลที่ยากจะต่อกรด้วยอย่างแน่นอน
ลูเซียสคิด
[อาณาเขตของมาร์ค]
มีอัศวินกลุ่มนึงกำลังแอบตามเหยื่อของพวกเขาไปอย่างเงียบๆในขณะที่รอหาโอกาสชิงธงของพวกเขา
ในตอนแรก, พวกเขาคิดว่าอัศวินพวกนี้กำลังตามล่าศัตรูอยู่, ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะซ่อนตัวไปก่อน แต่หลังจากที่ผ่านไปพักนึง, พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าอัศวินพวกนี้ไม่ได้กำลังล่า, แต่พวกเขากำลังซ่อนตัวต่างหากหล่ะ
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าพวกเขามีธงกองอยู่ด้วยและไม่อยากให้ถูกจับได้ แต่ว่าพวกเขามีกัน 4 คน, ในขณะที่กลุ่มของเขามีแค่ 3 พวกเขาจำเป็นต้องเคลื่อนไหวให้เร็วจริงๆเพื่อทำงานของพวกเขาให้สำเร็จ
แม้ว่ามันจะเป็นภารกิจที่เสี่ยง, แต่พวกเขาเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงนี้
หนึ่งในทหารกลุ่มนี้ก็คือบิลลี่ เวน, ที่เป็นอัศวินภายใต้การบังคับบัญชาของพันเอกจอร์ช เขาคืออัศวินขี้อายที่เคยให้คำแนะนำเล็กๆกับแลนดอนในตอนที่ออกสำรวจเมืองเมื่อครั้งก่อน แต่ตอนนี้, เขากลายเป็นคนที่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
ศัตรูหาที่ซ่อนตัวดีๆพบและตัดสินใจที่จะพักที่นี่เป็นเวลาพักนึง แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะทิ้งตัวลงนั่งอยู่นั้นเอง, กลุ่มของบิลลี่ก็ปรากฎตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
บิลลี่รีบทำให้อัศวินคนแรกตัวชาอย่างรวดเร็วด้วยการกดจุดเขาและชิงผ้าโพกหัวมาได้ แต่ในตอนที่เขาจัดการเสร็จก็มีศัตรูอีกคนพุ่งเข้ามาหาเขา คนนี้เป็นคนมีฝีมือ การต่อสู้อย่างรุนแรงเริ่มขึ้นในทันทีและในขณะนั้นเองเขาก็เหลือบไปดูพรรคพวกอีกสองคนด้วยหางตาของเขา
พรรคพวกของเขานั้นเข้าโจมตีช้ากว่าเขาไปเล็กน้อยทำให้องค์ประกอบของการสร้างความตกใจไม่เห็นผลเท่าที่วางแผนเอาไว้
ทุกคนต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด, พยายามที่จะชิงผ้าโพกหัวของอีกฝ่าย บิลลี่กำลังคิดหาวิธีเข้าใกล้ผ้าโพกศรีษะที่ผูกเอาไว้ที่คอของศัตรูอยู่, ในตอนที่จู่ๆเขาก็เห็นว่าพรรคพวกของเขาคนนึงกำลังจะถูก ‘ฆ่า’ (ชิงผ้าโพกหัว)
ในตอนที่รู้สึกตัวนั้นเองเขาก็รีบเตะศัตรูของเขาแล้วพุ่งเข้าไปช่วยพรรคพวกคนนั้นได้สำเร็จอย่างทันท่วงที
ซึ่งพรรคพวกของเขาคนนั้นก็ใช้โอกาสนี้ชิงผ้าโพกหัวมาได้อย่างรวดเร็ว, ในขณะที่บิลลี่กลับไปต่อสู้กับศัตรูที่เขาเตะอัดไปอย่างรุนแรง
พรรคพวกที่เขาเพิ่งช่วยเอาไว้, ตัดสินใจที่จะไปช่วยพรรคพวกอีกคนนึงที่กำลังมีปัญหาในการจัดการกับศัตรูเหมือนกัน
บิลลี่ต่อสู้เป็นเวลา 7 นาทีก่อนที่จะชิงผ้าโพกหัวมาจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ ในตอนที่จัดการได้นั้นเขาก็มองอีกฝ่ายแล้วพูดออกมา
“ฝีมือเจ้าไม่เบาเลยนี่ ข้ารู้สึกเป็นเกีรยติจริงๆที่ได้สู้กับเจ้าในครั้งนี้ ที่ข้าชนะเจ้าได้นั้นคงเพราะวันนี้ข้าดวงดี, ขอบคุณนะ” บิลลี่พูดด้วยรอยยิ้ม
อีกฝ่ายยิ้มตอบ, แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงยังไงเขาก็ถูกพิจารณาว่าเป็นคนตาย แล้วคนตายจะพูดได้ยังไง?
ในตอนที่บิลลี่กับพรรคพวกของเขาจัดการเสร็จเรียบร้อย, พวกเขาก็วางแผนว่าจะรีบออกจากเขตนี้แล้วกลับไปที่ค่ายของจอร์ช การเดินอยู่แถวนี้พร้อมกับธงของศัตรูนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป
ในขณะนั้นเอง, แลนดอนกำลังเฝ้าสังเกตอยู่, เขาตกใจกับการพัฒนาของบิลลี่
นั่นมันคนที่ดูเหมือนดาราเกาหลีน่ารักๆไม่ใช่หรอ? ตอนนี้ร่างกายของเขาดูมีเสน่ห์เหมือนกง ยูเลย แม้กระทั่งท่าทีและกลิ่นอายที่ดูขี้อายของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความจริงจังและความเป็นชาย
แลนดอนชื่นชมในความคิดที่กล้าหาญและไร้ซึ่งความหวาดกลัวจริงๆ แม้ว่ามันจะเสี่ยงที่กลุ่ม 3 คนจะสู้กลุ่ม 4 คน, แต่พวกเขาก็ยังรับโอกาสนี้เอาไว้
และในตอนที่บิลลี่เห็นว่าพรรคพวกตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง, เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะรีบไปช่วยพวกเขา เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และทุ่มเทจริงๆ
คนแบบนี้เป็นคนที่สามารถตายเพื่อเพื่อนได้ในสงคราม แม้ว่ามันจะน่าชื่นชม, แต่แลนดอนก็ไม่ชอบที่พวกเขารับความเสี่ยงอย่างการยอมสังเวยชีวิตของตัวเองง่ายๆแบบนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือให้พวกเขาคิดหาวิธีการต่างๆในการช่วยพรรคพวกและช่วยตัวเองให้ได้อย่างปลอดภัย
ถ้าภารกิจใดก็ตามมีโอกาสสำเร็จต่ำกว่า 70%, แลนดอนก็ไม่อยากส่งพวกทหารไปทำงานนั้นแล้ว เหมือนที่เขาพูดกันว่ามันเป็นงานที่น่ายกย่อง, แต่มันก็เสี่ยงเกินไปอยู่ดี
ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น, ถ้าตอนนี้อาณาจักรส่งกองทัพหลายพันคนมาเพื่อฆ่าเขา, กับคนของเขาและเหล่าผู้ติดตาม, เขาก็คงจะพยายามหาวิธีดูแลความปลอดภัยของทุกคนด้วยการปล่อยให้พวกเขาหนีไป การสู้จนตัวตายโดยที่มีพลังอำนาจไม่พอนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรหล่ะ
แลนดอนเป็นคนที่ยึดในหลัก ‘มีชีวิตอยู่ในวันนี้เพื่อต่อสู้ในวันหน้า’
แค่เพราะไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้ในวันนี้, มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีวันจัดการกับศัตรูได้ในอนาคต สำหรับแลนดอน, สิ่งที่เขาต้องการก็แค่เวลากับระบบในการช่วยเขารับมือกับวิกฤตทั้งหมดที่จะตามมาในภายหลัง
และในตอนที่เขาพร้อมแล้ว, เขาก็จะตามหาว่าใครวางยาเขา ใช่แล้ว...เขายังรู้สึกหงุดหงิดที่โดนวางยาพิษในตอนที่เขามาถึงที่นี่ในตอนแรก
แม้ว่าเขาจะได้รับการรักษาแล้ว, แต่เขาก็ยังเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ดี ถ้ามีคนดีมา, เขาก็จะทำดีกลับไป แต่ถ้ามีคนร้ายมา, เขาก็จะร้ายกลับไปเป็นล้านเท่า เขาเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นขั้นสุด, และเขาก็รู้ถึงข้อเสียนี้ของตัวเองดี
*********************
Chapter 20: การทดสอบจำลองสถานการณ์ (4)
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว มันก็หมดเวลาแล้ว พวกเขาต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง, สังเกตและจับกลุ่มฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม
หลังจากนั้น, ทุกคนก็ได้มารวมตัวกันเป็น 3 แถวโดยมีพันเอกทั้งสามคนยืนอยู่หัวแถว ไม่มีใครมาสายเลย
แลนดอนได้วางกระเป๋าเอาไว้หน้าพันเอกกองละ 2 ใบ ใบนึงจะใช้สำหรับเก็บผ้าโพกหัวทั้งหมดของสมาชิกที่ยังรอดอยู่ในแต่ละกอง ส่วนอีกใบจะใช้สำหรับเก็บผ้าโพกหัวกับธงที่ชิงมาได้จากศัตรู
ในตอนที่ทั้งหมดถูกใส่ในกระเป๋าแล้ว, แลนดอนก็นับทีละใบต่อหน้าทุกคน, เพื่อให้พวกเขาได้รู้ว่ากองของตัวเองทำได้มากน้อยแค่ไหน
กองของจอร์ชนั้นเก็บได้ 2 ธงกับผ้าโพกหัวอีก 19 ผืน, กองของมาร์คได้ 1 ธงกับผ้าโพกหัวอีก 25 ผืน, ในขณะที่กองของแกรี่ได้ 1 ธงกับผ้าโพกหัว 27 ผืน
ผลลัพธ์ในภาพรวมของพวกเขานั้นอยู่ในระดับเดียวกันในสายตาของแลนดอน แม้ว่าจอร์ชจะชิงผ้าโพกหัวมาได้น้อยที่สุด, แต่เขามีธง 2 ผืน ในขณะที่แกรี่กับมาร์คมีคะแนนไล่เลี่ยกัน ซึ่งสรุปแล้วก็คือทุกคนผ่านการทดสอบนี้ไปได้อย่างงดงาม
ในตอนที่พวกอัศวินได้ฟังผลการสอบ, พวกเขาก็ดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา มันต้องรู้เอาไว้ก่อนว่านี่คือการสอบที่ยากที่สุดในชีวิตของพวกเขา
พวกเขาส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้และไม่คุ้นเคยกับยุทธวิธีสงครามเลย, แต่การฝึกที่พวกเขาตรากตรำมาก็เริ่มเห็นผลแล้ว
นอกจากนี้พวกเขายังเริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเองและวิธีการคิดของพวกเขา พวกเขานับถือพวกพ้องคนอื่นๆเป็นครอบครัว, และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทุ่มความรู้สึกให้กับความเป็นพี่น้องมากขนาดนี้
ตอนนี้พอพวกเขามาคิดดูดีๆก็รู้สึกว่า, อัศวินส่วนใหญ่ในเมืองหลวงนั้นเห็นแก่ตัว, พวกเขาคิดแค่วิธีทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นและร่ำรวยมากขึ้น ถ้าแข็งแกร่งไม่พอก็จะถูกคนอื่นเหยียบและจะถูกเย้ยหยันด้วย
แต่ที่นี่ในเบย์มาร์ดนั้น, พวกเขามีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับชีวิตที่ควรจะเป็น คนแข็งแกร่งควรจะปกป้องและให้ความช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแออยู่เสมอ...และไม่ว่าคนๆนั้นจะต่ำต้อยแค่ไหน, มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับขยะ
ตอนนี้มันพึ่งจะเป็นเวลา 6 โมงครึ่งซึ่งยังเช้าเกินกว่าที่การฝึกตามปกติของพวกเขาจะจบลง, ดังนั้นพวกเขารู้ว่ามันยังมีการทดสอบมากกว่านี้
“เนื่องจากเวลาเป็นสิ่งสำคัญ, ข้าจะขอเริ่มอธิบายการทดสอบขั้นต่อไปของวันนี้เลย หรือจะให้พูดก็คือสิ่งที่พวกเจ้าทำไปเมื่อก่อนหน้านี้คือ ‘การทดสอบช่วงที่ 1 ส่วน ก’ ในขณะที่ขั้นต่อไปจะเป็น ‘การทดสอบช่วงที่ 2 ส่วน ข’
แลนดอนพูด
“ข้าอยากให้พวกเจ้าทุกคนจับกลุ่ม 6 คนซึ่งในกลุ่มจะมีสมาชิกเป็นอัศวินจากแต่ละกอง, กองละ 2 คนรวมเป็น 6 คน การทดสอบก่อนหน้านี้เป็นการวัดการทำงานของพวกเจ้าในกองที่มีพันเอกของตัวเองบัญชาการอยู่, แต่รอบนี้, ข้าจะให้พวกเจ้าร่วมมือกับอัศวินคนอื่นๆที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพันเอกคนอื่น จงจำเอาไว้พวกเราทุกคนเป็นคนของเบย์มาร์ด ไม่มีใครสูงกว่าหรือต่ำกว่าใคร มันต้องมีพื้นที่ให้พัฒนาอยู่เสมอ, ดังนั้นจงขยันเข้าไว้”
แลนดอนพูดต่อ
พวกอัศวินคิดว่าแลนดอนพูดถูก, พวกเขาทุกคนทำเพื่อเบย์มาร์ด มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีพันเอกคนไหนดูแล, หน้าที่ของพวกเขาคือทำเพื่อเบย์มาร์ดอย่างถึงที่สุด
“เอาหล่ะตอนนี้จับกลุ่ม 6 คนตามที่บอกซะ และแน่นอนว่าพวกพันเอกจะจับกลุ่มกันเองแยกจากพวกเจ้าทุกคน”
พวกเขารีบจับกลุ่มกันอย่างรวดเร็วและรอฟังคำแนะนำเพิ่มเติม
“ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา, ข้าได้ฝึกพวกเจ้าเกี่ยวกับวิธีการใช้อุปกรณ์พื้นฐานที่ใช้ได้ด้วยพละกำลังของตัวเองแล้วใช้พวกมันเพื่อไต่เขาปีนหน้าผา และด้วยการใช้มือเปล่าเอง, พวกเจ้าทุกคนก็มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นทั้งด้านเรี่ยวแรง, ความยืดหยุ่น, ความแข็งแกร่งของจิตใจ, การประสานงานของกล้ามเนื้อ, พละกำลังของกล้ามเนื้อและสัมผัสในการปรับตัวต่อสิ่งต่างๆ แถมพวกเจ้าบางคนยังเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสูงหรือความตายก็ตาม”
แลนดอนมองคนของเขาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจและความมั่นใจ, เขารู้สึกได้ถึงความสำเร็จในตัวพวกเขา
เมื่อไม่กี่วันก่อน, เขาได้จ้างชาวบ้านกลุ่มนึงมาช่วยเขาสร้างชุดการทดสอบ สำหรับการทดสอบนี้, แลนดอนได้ติดตั้งมันแทบจะเหมือนกับด่านฝึกทหารที่ทหารโลกปัจจุบันใช้ฝึกกัน
“พวกเจ้าตามข้ามา, ข้าจะพาไปยังสถานที่สอบในรอบนี้” แลนดอนพูด
ในตอนที่พวกเขามาถึง, และเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า, พวกเขาก็พากันสับสนว่าการทดสอบจะออกมาเป็นอย่างไร
สำหรับด่านแรก, แลนดอนได้วางกองไม้ห้ากองแยกกันด้วยระยะห่างที่สั้นมาก มีแค่ 6 คนเท่านั้นที่สามารถกระโดดข้ามกองไม้หนึ่งกองพร้อมกันได้ ซึ่งพวกอัศวินก็เดากันว่าพวกเขาจะต้องข้ามกองไม้พวกนี้โดยไม่สัมผัสกับพวกมัน
การทดสอบต่อไปก็คือด่านกระโดดข้ามล้อยาง...พวกอัศวินจะต้องกระโดดไปเหยียบตามล้อต่างๆที่จัดวางเอาไว้โดยพยายามไม่ให้ตก แต่เนื่องจากยุคนี้ยังไม่มีล้อยาง, เขาจึงปั้นพิมพ์วงกลมขึ้นมาแทนโดยใช้ดิน, ใบไม้, ใบหญ้า, และกิ่งไม้ พวกอัศวินจะต้องกระโดดข้ามพิมพ์ทั้ง 20 ชิ้นนี้ให้ได้โดยห้ามตกก่อนที่จะไปยังการทดสอบต่อไป
ถัดจากนั้นเขาก็สร้างบาร์โหนที่ทำจากไม้เอาไว้ 5 บาร์พร้อมกับมีดินอุ้มน้ำอยู่ข้างล่าง เป้าหมายก็คือพวกอัศวินจะต้องข้ามดินอุ้มน้ำไปให้ได้โดยใช้บาร์โหน, และห้ามตกลงมาสัมผัสกับพื้น
และต่อมาก็คือกำแพงขนาดยักษ์ที่ทำมาจากตาข่าย, พวกมันถูกแขวนเอาไว้ข้างต้นไม้แก่แข็งแรงที่มีความสูงถึง 10 ฟุต (ประมาณ 305 เซนติเมตร) พวกอัศวินจะต้องไต่ขึ้นกำแพงนั่น, และปีนลงมาจากต้นไม้เหมือนกับการไต่เสาแล้วถึงจะไปยังด่านต่อไปได้
ซึ่งด่านต่อไปก็คือพวกเขาจะต้องคลานลอดตาข่ายยาว, ที่ถูกยึดเอาไว้จนแทบจะแนบกับพื้น และในที่สุด, พวกเขาก็จะต้องปีนหน้าผาที่อยู่ข้างภูเขาเพื่อไปให้ถึงยอด
ในตอนที่ไปถึงยอดแล้ว, พวกเขาก็จะได้เจอกับแม่ทัพลูเซียส, และจะได้รับไม้ท่อนนึงจากเขาและต้องรีบนำกลับมาส่งให้แลนดอน ซึ่งในตอนนี้เองภารกิจถึงจะสำเร็จ
“สำหรับการทดสอบนี้, ข้าได้จำลองให้เหมือนกับว่าเบย์มาร์ดกำลังอยู่ในช่วงทำสงครามและวิธีการเดียวที่จะปกป้องมันเอาไว้จากการล่มสลายได้ก็คือการนำของบางสิ่งที่สำคัญมากๆจากแม่ทัพลูเซียสกลับมาให้ข้าคนนี้ที่เป็นราชาของที่นี่ งานของเจ้าคือการฝ่าอุปสรรคทั้งหมด, รับของและนำมาส่งให้ข้าโดยไม่ให้เสียหาย”
แลนดอนมองพวกอัศวินที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นแล้วพูดต่อ
“แต่มีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ข้าอยากให้จำให้ขึ้นใจ ในตอนที่ปีนหน้าผานั้น, แต่ละกลุ่มจะมีเชือกให้ใช้แค่แปดเส้นเท่านั้น พวกเจ้าจะต้องรักษาเชือกของตัวเองเอาไว้เช่นเดียวกับสมาชิกกลุ่มของพวกเจ้า, หลังจากที่ปีนขึ้นไปถึงยอดนั้น, ถ้าสมาชิกกลุ่มของเจ้าไม่ครบคนแม่ทัพลูเซียสก็จะไม่มอบของให้พวกเจ้า พูดง่ายๆก็คือถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วขาดไปแม้แต่คนเดียว, จะถือว่าทั้งกลุ่มสอบตก”
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจถึงความจำเป็นในการที่ต้องทำงานกันเป็นกลุ่ม
“แล้วก็, การไปให้ถึงตัวแม่ทัพลูเซียสและกลับมา, ข้าคิดว่าใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็พอแล้ว ดังนั้นในตอนที่ครบ 15 นาที, การทดสอบก็จะจบลงเช่นกัน”
ตอนนี้พวกเขาเริ่มกังวลแล้วว่าจะทำได้รึเปล่า ในตอนที่แลนดอนเห็นสีหน้ากังวลของพวกเขา, เขาก็ตัดสินใจที่จะช่วยเรียกความมั่นใจให้พวกเขาด้วยการให้กลุ่มของพันเอกทำให้พวกเขาดูก่อน
อันที่จริง, ในตอนที่แลนดอนสร้างด่านอุปสรรคทั้งหมดนี้เสร็จ, เขาก็ได้พาลูเซียสกับพวกพันเอกมาดูและอธิบายให้ฟัง
จากนั้นเขาก็ให้พวกพันเอกลองเล่นดู, ซึ่งตอนแรกพวกเขาค่อนข้างช้า, แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าขั้นมืออาชีพแล้ว เพราะถึงยังไง, พวกเขาก็ไม่อยากให้พวกอัศวินลูกน้องมองเห็นพวกเขาทำพลาด, ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกหนักเป็นพิเศษ
“พวกเจ้าเห็นด่านอุปสรรคทั้ง 5 ด่านที่อยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าแล้วสินะ จำเอาไว้ว่ากำแพงตาข่ายนั้นมีให้พวกเจ้าทุกคนใช้ได้แค่ 3 จุดเท่านั้น และสิ่งเดียวที่พวกเจ้าทุกคนจะใช้ร่วมกันก็คือหน้าผา...ดังนั้นข้าจะให้เข้าสอบทีละ 5 กลุ่ม แต่ก่อนจะเริ่มข้าจะให้พวกเจ้าได้ดูพันเอกของพวกเจ้าทำการทดสอบให้ดูก่อนเป็นตัวอย่าง”
ในตอนที่พวกอัศวินได้เห็นพันเอกของพวกเขาร่วมมือกันด้วยความรวดเร็วนั้นเอง, พวกเขาก็รู้สึกทึ่งและมองพวกเขาด้วยสายตายกย่อง
ความเร็วในการปีนหน้าผาร่วมกันของพันเอกของพวกเขานั้นน่าประทับใจมาก, พวกเขารู้ดีว่าสำหรับตอนนี้ตัวเองไม่สามารถทำได้ไวขนาดนั้น แต่ไม่ว่ายังไง, ตอนนี้พวกเขาก็มั่นใจแล้วว่าการทดสอบนี้ไม่ได้เกินความสามารถของพวกเขา
ในตอนที่เหล่าพันเอกของพวกเขากลับมา, ทุกคนก็ตบมือให้และพูดสรรเสริญออกมามากมาย
“เอาหล่ะตอนนี้...5 กลุ่มแรกจงก้าวออกมาซะ, และเริ่มการทดสอบได้”