บทที่ 305 ความตายของเซี่ยอู๋หุ่ย
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ฆ่า!”
เมื่อเหล่าแม่ทัพต่างออกคำสั่งลงมา กองทัพที่เข้มแข็งกว่าล้านคนต่างก็เคลื่อนทัพแม้กระทั่งแม่ทัพหลงแห่งจักรวรรดิมังกรเวหา กองทัพพันธมิตรนั้นเหนือกว่ากองทัพอาณาจักรต้าเซี่ยนัก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนทหารหรือจำนวนผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะใช้วิธีที่รวดเร็วที่สุดฆ่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในเมืองเซี่ยยวี่และเพื่อทำลายล้างอาณาจักรต้าเซี่ย
เมื่อผู้เชี่ยวชาญของกองทัพพันธมิตรเคลื่อนไหว สถานการณ์ทั้งหมดก็เปลี่ยนไป แต่เดิมอาณาจักรต้าเซี่ยถูกปราบปรามไว้อยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ พวกเขาต้องสู้ภายใต้การกดดันอีก มันสามารถเรียกได้ว่าเป็น....การปิดล้อมสังหาร
อาณาจักรต้าเซี่ยมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวสักกี่คนกัน? ไม่แม้แต่จะถึงหมื่นคน และนี่คือหลังจากที่ตระกูลซูได้สะสมพละกำลังมาหลายปีหลังจากเกิดสงครามครั้งก่อนซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่ต่ำกว่าขั้นที่ห้าและนับได้เพียงประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยคน
ตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนับผู้เชี่ยวชาญในกองทัพพันธมิตร เพียงแค่จักรวรรดิมังกรเวหาเพียงทัพเดียวก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวประมาณแปดพันคนแล้ว โดยที่คนมากกว่าพันคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้า สำหรับกองทัพของอาณาจักรอื่นๆนั้น หากไม่ได้ดูเกินความเป็นจริงแต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันกับทุกทัพแล้วมันก็ถือเป็นตัวเลขที่น่ากลัวเช่นกัน!
ปึง! ปึง!
ฟึ่บ ฟั่บ!
มีเสียงระเบิดอยู่ทั่วทุกที่และมีคนตายเกลื่อนอยู่ทุกหนแห่ง เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากกองทัพพันธมิตรก็เร่งรุดหน้าไปยังแนวหน้าของทัพ เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับกองทัพของอาณาจักรต้าเซี่ยแล้วมันเป็นเหมือนกับสิงโตที่พุ่งเข้าไปยังฝูงลูกแกะ มันเป็นเหมือนการนองเลือด โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวแห่งจักรวรรดิมังกรเวหาที่สวมศาสตราวุธนั้นทำให้พวกเขายิ่งสามารถเฉือนมนุษย์ออกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดายราวกับตัดแตงโม
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
แม้จะเจอกรณีนี้ อาณาจักรต้าเซี่ยก็ยังไม่ได้กำหนดเส้นทางและพวกเขาทั้งหมดก็วิ่งตรงไปยังกองทัพพันธมิตรราวกับปีศาจที่บ้าคลั่ง ผู้คนหลายคนมองไปยังเจียงอี้ผู้ที่กำลังสังหารกองทัพอาณาจักรเสินหวู่ที่อยู่ไกลออกไป ขณะเดียวกันก็เผยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา พวกเขารู้ดีว่ายิ่งพวกเขายื้อเวลาไปได้มากเท่าไหร่ เหล่าศัตรูก็จะถูกเจียงอี้ฆ่าไปได้มากเท่านั้น
การหนีก็อาจจะนำไปสู่ความตาย การต่อสู้ก็อาจจะนำไปสู่ความตายเช่นกัน แล้วทำไมพวกเขาจะไม่ลองเสี่ยงกันดูล่ะ? อย่างน้อย พวกเขาก็สามารถลากผู้คนลงหลุมไปพร้อมกับพวกเขาได้มากขึ้นเช่นกัน
ซูรั่วเสวี่ยยังคงยืนอยู่บนกำแพงเมืองขณะที่ซูตี๋หวังได้กลับไปยังพระราชวังหลวงเรียบร้อยแล้ว ระหว่างช่วงเวลานั้น หัวใจของซูตี๋หวังนั้นแทบแตกสลายเมื่อเขาได้ยินว่าเหล่าองค์ชายองค์หญิงของตระกูลซูถูกกำจัดไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถรับมันได้อีก เมื่อซูตี๋หวังไม่อยู่ ซูรั่วเสวี่ยก็กลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดไปโดยปริยาย นางมีสีหน้าที่เยือกเย็นและเมื่อนางมองไปรอบๆนางก็ตะโกนออกมาว่า “จงฟังเสียงกลอง!”
ปึ้ง ปัง ปึ้ง!
กำแพงเมืองได้สะท้อนเสียงกลองรบแปลกๆออกมาอย่างรวดเร็ว เสียงกลองนี้เป็นจังหวะมาก แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมือนสัญญาณให้สู้ต่อหรือถอยหลังเลย
ฟึ่บ ฟั่บ!
เมื่อเสียงกลองรบนี้ดังขึ้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรต้าเซี่ยก็เปลี่ยนรูปขบวนของพวกเขาทันที ทหารมากมายรีบแหวกทางออกเป็นสองฝั่งทันทีและเปิดพื้นที่ขนาดใหญ่ที่หน้าประตูเมืองทางเหนือ ผู้เชี่ยวชาญตระกูลซูกว่าสองร้อยคนรีบพุ่งเหินออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อแนวหน้าของอาณาจักรต้าเซี่ยกำลังต่อต้านกองทัพพันธมิตรให้ถอยไป ดวงตากว่าครึ่งของพวกเขาก็เปล่งประกายสดใส
ฟึ่บ!
ในขณะเดียวกัน ซูรั่วเสวี่ยและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอีกยี่สิบคนที่เหลือต่างก็บินเหินออกไปในขณะที่ดวงตาของพวกเขาก็ส่องแสงสีม่วงออกมาเช่นกัน
“แสงแห่งเสน่ห์เทวะ! ถอย!”
“ถอยเร็วเข้า!”
ฟึ่บ ฟั่บ!
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเหล่าตระกูลซูทำให้เหล่าแม่ทัพของทัพพันธมิตรต่างรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และมีแม่ทัพมากมายที่ตะโกนออกมาขณะที่ผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนพากันหนีไปเป็นสองฝั่ง
ฟึ่บ ฟั่บ!
แสงสีม่วงกว่าร้อยสายส่องแสงทอออกมาและเปลี่ยนเป็นลำแสงร้อยเส้น แสงพวกนี้มีความเร็วราวสายฟ้าและเมื่อมันส่องสว่าง มันก็ตรงไปสู่กองทัพพันธมิตรทันที การนองเลือดมากมายได้เกิดขึ้นมาในทันที
ฟึ่บ ฟึ่บ!
จอมยุทธทุกคนที่ถูกแสงสีม่วงนั้นจะเกิดรูขนาดยักษ์ตามร่างกาย หากพวกเขาถูกแสงจ่อไปที่หัว หัวของพวกเขาก็จะโบ๋ในขณะที่ร่างกายของพวกเขาจะยังยืนอยู่ที่เดิม ซึ่งพวกเขาจะกลายเป็นศพไร้หัวในทันที
แสงสีม่วงนั้นสามารถยิงออกไปได้ไกลกว่าสามพันเมตร ทหารทุกคนที่อยู่ในรัศมีของแสงสีม่วงจะมีรูยักษ์อยู่ที่ตัวของพวกเขา จริงๆแล้ว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่นั้นยังไม่สามารถแม้แต่จะรู้สึกเจ็บปวดหรือกรีดร้องออกมาได้ก็ตายไปเสียแล้ว
โหดเหี้ยม!
เจียงอี้เหลียวไปมองเล็กน้อยและดวงตาสีเลือดของเขาก็มีความสงสัยผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง นี่เป็นเพียงคนแค่ร้อยคนที่ปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะออกมาก็ฆ่าศัตรูไปได้อย่างน้อยก็สองพันกว่าคนในคราวเดียว หากมีมากกว่าหมื่นคนที่สามารถปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะออกมาได้ การฆ่ากองทัพนับล้านมันจะง่ายมากมั้ยนะ?
ฟึ่บ ฟั่บ!
หลังจากปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะและ เหล่าผู้เชี่ยวชาญตระกูลซูก็ถอยร่นกลับไปอย่างรวดเร็วในขณะที่คนกลุ่มด้านหลังสมาชิกตระกูลซูก็เร่งรุดไปข้างหน้าและยังคงระดมยิงแสงแห่งเสน่ห์เทวะต่อไป แสงสีม่วงกว่าร้อยสายถูกยิงออกมาอีกครั้งซึ่งยังไม่ได้ฆ่าศัตรูอีกกลุ่มหนึ่ง
สิ่งที่แปลกก็คือ.....
ในช่วงระยะเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมากมายได้ปล่อยพลังโจมตีของพวกเขาออกมา แสงสีม่วงจะเจาะทะลุการโจมตีโดยแก่นแท้พลังไปโดยไม่มีการระเบิดใดๆ
นอกจากนี้ เมื่อการโจมตีด้วยแก่นแท้พลังเหล่านี้ถูกยิงไปยังสมาชิกตระกูลซู เหล่าทหารของอาณาจักรต้าเซี่ยที่อยู่ใกล้ๆจะพากันกระโดดขึ้นมาป้องกันการโจมตีและใช้ร่างกายของพวกเขาเป็นโล่กำบังแก่นแท้พลังเหล่านั้น
ฟึ่บ ฟั่บ!
เหล่าตระกูลซูจะผลัดกันยิงแสงแห่งเสน่ห์เทวะไปเรื่อยๆและฆ่ากลุ่มกองทัพพันธมิตรขณะที่กองทัพพันธมิตรจะปลดปล่อยการโจมตีด้วยแก่นแท้พลังออกมาเพื่อฆ่าหทารอาณาจักรต้าเซี่ยที่จะกระโดดมาตายอย่างต่อเนื่อง การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นการต่อสู้แบบล้างผลาญ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกมันหมดทางเลือกแล้วหรอ? พวกมันจะสามารถปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะได้กี่ครั้งกันเชียว? รอจนกว่าพลังวิญญาณของพวกมันจะหมดลงและการต่อสู้ในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเช่นกัน!”
เซี่ยอู๋หุ่ยไม่ได้ก้าวออกไปข้างหน้าและเพียงแค่สังเกตสถานการณ์จากระยะไกลในขณะที่เขาก็ถูกทหารอารักษ์ขาขอบเขตเสินโหยวปกป้องเขาอยู่
เจียงอี้นั้นก็ยังคงสังหารกองทัพอาณาจักรเสินหวู่ต่อไปแต่เซี่ยอู๋หุ่ยไม่รู้สึกว่าตนเองสูญเสียเลย เขาหันกลับไปพูดกับเว่ยกงกงอย่างเงียบๆว่า “เว่ยกงกง เจ้าจงแอบไปที่นั่นและเมื่อพวกมันปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะไปประมาณสิบครั้งแล้ว ข้าว่าพวกมันคงจะอ่อนแอและคงหมดแรง เจ้าจงไปจับซูรั่วเสวี่ยนั่นมาให้ข้า ข้าต้องการนำตัวนังสารเลวนั่นกลับไปทรมานเป็นๆ”
“พะยะค่ะ!”
เว่ยกงกงพยักหน้าและซ่อนตัวเข้าไปในกองทัพทันที และรุดหน้าไปยังซูรั่วเสวี่ย
“หืม?”
เมื่อเขาอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรเขาก็ใจสั่นระริกและรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยนี้ ทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปมองในจุดที่เจียงอี้อยู่ด้วยความเร็วสูง
“ไม่ได้การล่ะ!”
ในขณะนั้น ร่างของเจียงอี้ก็หายวับไป เขาใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตอีกครั้ง ในเสี่ยววินาทีต่อมา เขาก็อยู่ห่างจากเซี่ยอู๋หุ่ยเพียงไม่กี่ร้อยเมตร เว่ยกงกงก็คำรามออกมาด้วยความหวาดกลัว “องค์รัชทายาท! หนีไปเดี๋ยวนี้!”
“หืม?”
เหล่าหน่วยลับที่อยู่ข้างๆเซี่ยอู๋หุ่ยต่างก็ตื่นตัวขึ้นมาในเวลานั้น พวกเข้าทุกคนต่างมีสายตาที่ตกใจและประหลาดใจเนื่องจากพวกเขาคิดว่าเจียงอี้กลัวที่จะเข้าหาผู้เชี่ยวชาญใดๆที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าขั้นที่ห้าของขอบเขตเสินโหยว ทำไมเขาถึงกล้าย้ายไปใกล้เซี่ยอู๋หุ่ย?
ฟึ่บ!
หน่วยลับขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดสามคนกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาสองคนรีบไปที่เจียงอี้ในขณะที่อีกคนพาเซี่ยอู๋หุ่ยถอยกลับด้วยความเร็วสูง
“ตายยย!”
ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้ถูกตวัดลงไปอย่างกระทันหันขณะที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาส่องสว่างในเวลาเดียวกัน เขายังไม่ได้ใช้หินวิญญาณเพลิงเลย และคราวนี้เขาหยิบมันออกมาสามก้อนแล้วโยนมันไปข้างหน้า
“หนี!”
ช่วงเวลาที่เจียงอี้นำหินวิญญาณเพลิงออกมา หน่วยลับขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดต่างก็หวาดผวา ความร้อนที่สูงขึ้นอย่างน่ากลัวทำให้พวกเขาได้กลิ่นความตายที่กำลังเยื้องกรายเข้ามา หากพวกเขายังคงวิ่งเข้าหาเจียงอี้ต่อไป พวกเขาอาจจะสามารถฆ่าเจียงอี้ได้ แต่พวกเขาจะต้องตายแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะหลบหนีดีกว่า
“อ๊ากก อ๊ากกกก อ๊ากกก!”
ขณะที่หินวิญญาณเพลิงบินไปข้างหน้า เหล่าทหารและผู้บัญชาการทั้งหมดต่างส่งเสียงกรีดร้องออกมา ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดทั้งสองนั้นสามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายของพวกเขากำลังถูกแผดเผา แต่ความเร็วในกาตอบสนองของพวกเขานั้นยังถือว่าเร็วและยังสามารถหลบหนีไปได้
ช่างเฉียดฉิวนัก!
พวกเขาทั้งสองมองหน้ากัยและเห็นดวงตาที่ดีใจหลังจากรอดชีวิตมาได้ แต่ในไม่ช้าความสุขของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นความกลัวอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเห็นร่างของเจียงอี้หายไปอีกครั้ง พวกเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วและตะโกนออกมาว่า “องค์รัชทายาท ระวัง!”
บุฟ!
ทั้งสองตะโกนออกมาช้าเกินไป ร่างของเจียงอี้นั้นได้ไปปรากฏอยู่ใกล้เซี่ยอู๋หุ่ยและสิ่งแรกที่เขาทำก็คือหยิบหินวิญญาณเพลิงออกมา
“ไม่ ไม่นะ.....”
เมื่อเซี่ยอู๋หุ่ยเห็นเจียงอี้ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็รู้สึกตกตะลึงอย่างรู้ซึ้ง และเมื่อเขาเห็นหินวิญญาณเพลิง เขาก็ตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง
“งั้นก็มาตายด้วยกันซะ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่กำลังแบกเซี่ยอู๋หุ่ยอยู่นั้นรู้สึกได้ถึงความร้อนที่น่าหวาดกลัวจากหินวิญญาณเพลิงในขณะที่เขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่า ไม่ต้องพูดถึงเซี่ยอู๋หุ่ยหรอก แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถหลบหนีไปได้
เขาจึงไม่ได้หลบหนีและวิ่งตรงไปยังเจียงอี้แทน เขายกฝ่ามือขึ้นมาและยิงแก่นแท้พลังออกจากนิ้วสองนิ้วของเขาโดยเล็งไปที่หัวใจและหัวของเจียงอี้ ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ เขามั่นใจว่าเจียงอี้จะตายก่อนที่เขาจะมีโอกาสใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตย้ายตัวเองหนีไป
.....