บทที่ 304 หลีกเลี่ยงวิกฤตในครั้งนี้
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนในตอนที่เจียงอี้กลับสู่สำนักจิตอสูร เจียงหยุนไฮ่ก็ได้ถ่ายทอดศาสตร์แปรผันดวงจิตให้กับเขา
หลังจากที่กลับไปฝึกวิชาบนยอดเขาเทพธิดา เจียงอี้ก็ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการฝึกฝนมันจนเข้าใจอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าที่จะลองใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตสุ่มสี่สุ่มห้าเนื่องจากเงื่อนไขในการปลดปล่อยวิชานั้นอันตรายเกินไปเพราะเขาจำเป็นต้องแลกมาด้วยการสละเสี้ยวของดวงจิตออกไปบางส่วน
หากว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขาจะไม่ยอมใช้มันเด็ดขาด
ผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวทั้งสามเร้นกายอยู่ภายในกองทัพและลอบโจมตี ที่จริงแล้วการโจมตีก่อนหน้านี้ของพวกเขานั้นทรงพลังมาก ถ้าเจียงอี้ไม่ได้ใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิต เกรงว่าร่างของเขาคงจะแหลกสลายไปแล้ว
ฟิ้ววว!
ร่างของเขาสาดแสงก่อนที่จะหายไปจากตำแหน่งเดิม เห็นได้ชัดว่าการหลบหนีครั้งแรกประสบความสำเร็จ!
โฮกกก!
หัวสิงโตยักษ์แผดเสียงคำราม แต่เพราะจู่ๆร่างของเจียงอี้ก็แวบหายไปอย่างกะทันหัน มันจึงกระแทกใส่กองทัพที่อยู่เบื้องหลังและส่งผลให้พวกเขาลอยกระเด็นไปไกลก่อนที่ร่างจะระเบิดกลายเป็นหมอกเลือด!
ตู้มมมมม!
เห็นได้ชัดเลยว่าทหารผู้น่าสงสารหลายร้อยคนเหล่านั้นเป็นเครื่องสังเวยที่อาณาจักรเสินหวู่ยอมจ่ายออกไปเพื่อสังหารเจียงอี้
เพียงเท่านี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าเมื่อสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยว มันจะสามารถรีดเค้นแสนยานุภาพขั้นสุดยอดออกมาซึ่งมีพลังทำลายล้างเทียบได้กับการโจมตีทั่วไปของยอดฝีมือขอบเขตจินกังเลยทีเดียว
เมื่อหัวสิงโตระเบิดออก พื้นดินก็แตกกระจาย เศษเลือดเนื้อบินว่อนอยู่รอบบริเวณนั้น มันช่างเป็นภาพที่ชวนให้อาเจียนยิ่งนัก
“หืม?!”
เมื่อฝุ่นควันเริ่มจางหายไป พวกเขาก็รีบกวาดตามองสิ่งที่น่าจะเป็นเศษซากของเจียงอี้อย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปราวกับเจอผีกลางวันแสกๆเพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจหาร่างของเขาพบ!
“มันอยู่นั่น!”
หนึ่งในผู้บัญชาการขอบเขตเสินโหยวตะโกนออกมาด้วยความหวาดผวาพร้อมกับชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
เมื่อพวกเขาหันไปก็พบว่าเจียงอี้ยืนอยู่ตรงนั้นและไร้ซึ่งรอยขีดข่วน เขาอยู่ห่างออกไปจากตำแหน่งเดิมหลายกิโลเมตร
ทันใดนั้นบรรยากาศทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบสนิทจนสามารถได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตกลงบนพื้น
เขาทำได้ยังไง?
นี่มันท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว! หากเจียงอี้สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้เช่นนี้ ใครเล่าที่จะสังหารเขาได้!?
ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายกองทัพเท่านั้นที่ตกตะลึง เพราะแม้แต่ตัวเจียงอี้เองก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สิ่งที่เขาประหลาดใจไม่ใช่เพราะตัวเองประสบความสำเร็จในการใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตเป็นครั้งแรก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ… หลังจากที่ปลดปล่อยมันออกไปแล้ว แทนที่ส่วนหนึ่งของดวงจิตของเขาจะสูญสลายไป มันกลับส่องแสงสีทองสว่างและยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์!
เป็นไปได้ยังไง?!
เจียงหยุนไฮ่กล่าวว่าศาสตร์แปรผันดวงจิตเป็นดาบสองคมที่ต้องแลกส่วนหนึ่งของดวงจิตเพื่อการหลบหนีในพริบตา แต่พอถึงคราวใช้จริงมันกลับไม่เป็นเหมือนที่เขาพูด
เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเกี่ยวข้องกับ… ไข่มุกวิญญาณเพลิง?
เมื่อเจียงอี้เพ่งมองแสงสีทองที่ห่อหุ้มดวงจิตของเขาไว้และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง
ทุกครั้งที่มีคนจ้องจะโจมตีดวงวิญญาณของเขา ไข่มุกวิญญาณเพลิงก็จะส่งพลังงานลึกลับออกมาและปกป้องมันไว้ แต่ครั้งนี้นั้นต่างออกไป เพราะเจียงอี้ตัดสินใจเผาผลาญดวงจิตดวงตนเอง แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าไข่มุกวิญญาณเพลิงจะยังปกป้องเขาไว้ได้!
สรุปแล้วไข่มุกวิญญาณเพลิงกับดาบมังกรเพลิงคือสมบัติระดับใดกันแน่? แต่ที่เขามั่นใจคือมันจะต้องไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน!
เจียงอี้ลอบกลืนน้ำลาย เขาหวนนึกถึงหินวิญญาณเพลิงที่อยู่ในไข่มุกวิญญาณเพลิง จักรพรรดินีอสูรกล่าวว่ามันไม่ใช่วัตถุภายในทวีปเทียนชิง
นอกจากนี้ยังมีดาบมังกรเพลิงซึ่งไม่สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าเมื่อใช้รวมกับไข่มุกวิญญาณเพลิงแล้วจะสามารถแสดงศักยภาพที่เทียบได้กับสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าหากค่ายกลที่อยู่ภายในได้รับการซ่อมแซมล่ะ มันจะปลดปล่อยแสนยานุภาพสะท้านโลกระดับใดออกมากัน?
เจียงอี้ไม่กล้าที่จะจินตนาการและไม่มีเวลาที่จะทำเช่นนั้นด้วย เขายิ้มออกมาพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจรัส จากนั้นก็คำราม
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ผู้ใดที่ต้องการชีวิตข้า—มันผู้นั้นจะต้องตาย!”
ฟิ้วว!
ดวงตาของเจียงอี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานพร้อมทั้งจิตสังหารอันท่วมท้นที่ปะทุออกมาจากร่างกายของเขา
เขาไม่ใช้เพลิงโลกาอีกต่อไป แต่เลือกที่จะใช้ดาบมังกรเพลิงเพื่อบุกเบิกเส้นทางตรงหน้า
“ปังงงง!”
“อ๊ากกก!”
มังกรวายุและมังกรเพลิงที่แหวกว่ายอยู่ในอากาศได้ผสานกันและสังหารผู้คนไปหลายร้อย ยิ่งเมื่อรวมกับอิทธิฤทธิ์ของเจตจำนงสังหาร พลังทำลายระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทหารระดับล่างจะต้านทานได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ฆ่า!”
เมื่อผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวทั้งสามเห็นเจียงอี้เข่นฆ่าทหารของอาณาจักรเสินหวู่ไปมากมาย ดวงตาของพวกเขาก็ลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะและพุ่งเข้าหาเจียงอี้พร้อมกัน
ในเวลาเดียวกันนั้น จังหวะกลองศึกก็เปลี่ยนไปพร้อมกับรูปแบบการประสานของพวกไท่สื่อเจินที่เปลี่ยนแบบแผน
บรรดาทหารขอบเขตจื่อฝู่ต่างก็ถูกสั่งให้ถอยไปอยู่แนวหลัง ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวต่างก็ล้อมวงเข้ามาเพื่อที่จะลงมือสังหารเจียงอี้
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารนายน้อยผู้นี้ได้รึ?”
เจียงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยัน ก่อนที่ฝ่ายศัตรูจะทันได้เข้ามาประชิดตัว จู่ๆร่างของเขาก็เปล่งแสงสีขาวพร้อมกับหายวับไปจากตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
ฟึ่บ!
“โฮกกกก!”
ร่างของเขาไปปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรจากตำแหน่งเดิม ในเวลาเดียวกัน มังกรเพลิงทั้งสองตัวที่ไม่รู้ว่าถูกปลดปล่อยไปตั้งแต่เมื่อใดก็เริ่มทำการกวาดล้างทหารระดับล่างของอาณาจักรเสินหวู่อีกครั้ง
“นี่…”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้สามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาได้เป็นครั้งที่สอง สีหน้าของบรรดาผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวก็ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
หากมีความสามารถเช่นนี้ ใครจะสังหารเขาได้? นี่พวกเขาทำได้เพียงแค่มองดูทหารกล้าของอาณาจักรถูกสังหารไปเรื่อยๆจริงๆหรือ?
ทุกการลงมือของเจียงอี้ จะต้องมีทหารอย่างน้อยสองถึงสามร้อยคนที่ตายไป หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้เป็นกองทัพที่มีกำลังพลถึงสองแสนนาย แต่เกรงว่าพวกเขาคงจะถูกกวาดล้างทั้งหมดภายในเวลาไม่เกินสี่ชั่วโมง!
ความสามารถเข้าขั้นบ้าบอเช่นนี้มีอยู่ในทวีปนี้ด้วยหรือ? เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นเต๋าแห่งกฎเกณฑ์มิติขั้นสูงสุด?
ผู้เชี่ยวชาญจากอาณาจักรอื่นเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น พวกเขาเองก็ตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน ทักษะวิชาของเจียงอี้อยู่เหนือกว่าความเข้าใจของพวกเขาทั้งหมด
ต่อให้ยอดฝีมือขอบเขตจินกังมาเห็นด้วยตัวเอง เกรงว่าก็คงจะมีปฏิกิริยาไม่ต่างกันมากนัก
สุ่ยโย่วหลานมีความสามารถในการฉายภาพเสมือนออกไปได้ไกลกว่าหลายหมื่นกิโลเมตรซึ่งนับว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้วและมีข่าวลือว่ามันคือรูปแบบเต๋าระดับสูง
แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เจียงอี้แสดงออกมานั้นน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าความสามารถของสุ่ยโย่วหลานเสียอีก สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายมันได้คือ มันจะต้องเป็นรูปแบบเต๋าระดับสูงสุดในตำนาน!
แต่คำถามคือ… ไม่ใช่ว่าผู้ที่สามารถหยั่งถึงรูปแบบเต๋าระดับสูงสุดได้จะต้องเป็นชนชั้นราชันสวรรค์หรือเทียบเท่าไม่ใช่หรือ? หรือว่าเจียงอี้จะไปถึงขอบเขตนั้นแล้ว?
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ดวงตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยความฉงนปนสงสัย แต่ไม่นานนักก็มีใครบางคนได้ข้อสรุปออกมา
พวกเขาคาดเดาว่าความสามารถท้าทายสวรรค์เช่นนี้จะต้องเป็นจักรพรรดินีอสูรหรือไม่ก็อีเพียวเพียวที่เป็นคนถ่ายถอดให้เป็นแน่
ในอดีต มารดาของเจียงอี้คือจอมยุทธหญิงผู้เลื่องชื่อที่โด่งดังไปทั่วทั้งทวีป ในเวลานั้นขั้วอำนาจมากมายต่างก็รวมรวบข้อมูลเกี่ยวกับนางจนในที่สุดก็ตกผลึกสองจุดที่น่าสนใจ
หนึ่งคือนางมีสิ่งประดิษฐ์ชั้นสูงจำนวนมากในครอบครอง ส่วนอีกข้อหนึ่ง นางครอบครองทักษะวิชาอันแปลกประหลาดซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของในทวีปนี้แน่นอน
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
อย่างไรก็ตามเจียงอี้หาได้สนใจสายตาของคนเหล่านั้นไม่ เขายังคงดำเนินการเข่นฆ่าทหารระดับล่างต่อไปเรื่อยๆและเลี่ยงที่จะเข้าปะทะกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่สูงกว่าขั้นที่ห้า
สิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาโล่งใจไม่น้อย เพราะก่อนที่เขาจะกวาดล้างกองทัพของอาณาจักรเสินหวู่ได้สำเร็จ เกรงว่าเมืองเซี่ยยวี่คงจะถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ชนชั้นผู้บัญชาการทั้งหมดต่างก็เผยความดุร้ายออกมาทางสายตาและสั่งโจมตีสุดกำลัง ในเวลาเดียวกันผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่แต่เดิมไม่ได้เคลื่อนไหวก็เริ่มแห่กันเข้าไปในเมืองเซี่ยยวี่ทันที
แม้ว่าเจียงอี้จะเป็นตัวแปรที่ไม่อาจมองข้ามได้ แต่ถ้าพวกเขาสามารถทำลายเมืองได้ก่อน เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์ทันที
เซี่ยอู๋หุ่ยเองก็ไม่กล้ารอช้าและออกคำสั่งทันที
“แม่ทัพไท่สื่อ เจ้าไม่ต้องไปสนใจเจียงอี้แล้ว รีบนำทัพและเข้าไปทำลายเมืองเซี่ยยวี่เร็วเข้า เมื่อมันถูกทำลายจนสิ้น ข้าอยากจะรู้นักว่าไอ้สวะเจียงอี้จะเอาชนะกองทัพที่มีทหารนับล้านได้ยังไง!”
“วันนี้ ไม่ว่ามันจะมีความสามารถที่ท้าทายสวรรค์มากแค่ไหน มันก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงวิกฤตในครั้งนี้ได้!”
……