บทที่ 27 นี่ถือเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง?
เมื่อเห็นเย่โม่ไม่ได้ปฏิเสธแบบนี้ หนิงชิงเชวี่ยก็ถอนหายใจ...เขามีแฟนแล้ว เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะทำเรื่องแบบนี้ไหม แต่ในเมื่อเย่โม่เองก็ดูจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับแฟนของเขา ตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่แล้ว ถือเสียว่าให้โอกาสเขาไปอยู่กับแฟนก็แล้วกัน
หนิงชิงเชวี่ยไม่อาจหาเหตุผลหรือคำอธิบายดีๆ ได้ เธอจึงกัดฟันพูดออกมาตรงๆ “ฉันอยากจะแต่งงานกับนาย!”
สิ่งที่เธอไม่คาดคิดไว้ก็คือเย่โม่ไม่ได้แสดงท่าทางประหลาดใจอะไรเลย ท่าทางสงบนิ่งของเย่โม่ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงเอ่ยถามเสียงเบา “นายไม่แปลกใจเลย? ไม่อยากถามอะไรสักคำเลยหรือ?”
ถึงตัวเย่โม่ในตอนนี้จะไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์เพทุบายอะไร แต่ความคิดของหนิงชิงเชวี่ยมีหรือจะหลุดรอดไปจากสายตาเขาได้ เขาหวนคิดไปถึงครั้งแรกที่หวังอิ่งเล่าให้เขาฟังเรื่องที่หนิงชิงเชวี่ยเอาเขาไปเป็นโล่ห์เพื่อกันไม่ให้คนอื่นมาขอเธอแต่งงาน ทั้งการที่คืนนี้เธอเป็นคนขอมากับเขาเอง รวมถึงการที่ขอเขาแต่งงานด้วยแบบนี้ เมื่อรวบรวมเรื่องราวเข้าด้วยกันแล้วค่อยๆ วิเคราะห์ดูแล้ว เย่โม่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าที่หนิงชิงเชวี่ยมาหาเขาก็เพราะต้องการเอาเขาไปเป็นโล่ห์อีกแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีอันสงบนิ่งไม่พูดไม่จาของเย่โม่แล้ว หนิงชิงเชวี่ยก็ยิ่งนั่งไม่ติดที่ เธอพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิด “ฉันไม่ได้จะขัดขวางเรื่องของนายกับแฟนหรอก ฉันแค่อยากให้คนอื่นๆ รู้ว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน จนถึงจดทะเบียนสมรส ถ้ายังไงให้ฉันไปอธิบายให้แฟนนายฟัง...”
คิดจะเอาเขาเป็นโล่ห์อย่างที่คาดไว้ เย่โม่ที่หมดความสนใจก็โบกมือไปมา “เธอไม่ต้องไปอธิบายให้ใครฟังหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับซู่เวย...”
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ในใจเย่โม่จะอยากบอกปฏิเสธ แต่เมื่อได้เห็นดวงตาอันเศร้าสร้อยของหนิงชิงเชวี่ย เย่โม่ก็รู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง ถึงแม้ในใจของผู้หญิงคนนี้จะคิดใช้ประโยชน์จากเขา แต่เธอก็ไม่ได้ปิดบังอะไร อีกอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจว่าจะถูกใช้ประโยชน์ในรูปแบบนี้อยู่แล้ว แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เขาช่วยเหลือเธอก็เพราะ ดวงตาอันเศร้าสร้อยของเธอที่ดูคุ้นเคยทำให้เขารู้สึกใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าหนิงชิงเชวี่ยเจออะไรมาบ้าง แต่ในเมื่อถึงกับทำให้เธอตัดสินใจเลือกทางนี้แล้วล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเธอไม่สามารถทนรับมันได้
หนิงชิงเชวี่ยเมื่อเห็นเย่โม่มีท่าทางลังเลเธอก็รีบเสริมขึ้น “ฉันจ่ายเงินให้ได้นะ ไม่ได้ให้นายช่วยฟรีๆ หรอก”
“เอาเถอะ! ผมตกลง จะไปจดทะเบียนสมรสเมื่อไหร่ก็แล้วแต่เธอเห็นว่าเหมาะสมแล้วกัน แต่ผมหวังว่าเธอจะไม่พูดเรื่องของผมให้คนอื่นฟัง” เย่โม่ตอบรับอย่างไม่แยแส ราวกับเรื่องที่พูดไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเองแม้แต่น้อย
หนิงชิงเชวี่ยมองเย่โม่อย่างตื่นเต้นยินดี เธอไม่คิดเลยว่าเย่โม่จะตอบตกลงโดยไม่ถามอะไรเธอเลยแบบนี้ ไม่ว่าเย่โม่จะคิดอะไรอยู่ก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณเขามากอยู่ดี ส่วนเรื่องที่เขาพูดถึง หนิงชิงเชวี่ยเข้าใจว่าเขาไม่อยากให้เธอบอกเรื่องนี้กับซู่เวย
“ในบัตรนี้มีเงินอยู่ห้าหมื่นหยวน นายเอาไปใช้ก่อนเถอะ รหัสคือ 575757” หนิงชิงเชวี่ยหยิบบัตรยื่นให้เย่โม่
เย่โม่รับบัตรมาแล้วพูดเยาะเย้ยตัวเองเล็กๆ “ดี! ในเมื่อจ่ายเงินมาแล้ว เราก็เป็นคู่ค้ากัน ไว้เธอคิดว่าข้อตกลงนี้สำเร็จเมื่อไหร่เธอก็ค่อยไปแล้วกัน ผมต้องไปพักผ่อนแล้ว”
เธอมองไปยังแผ่นหลังอันอ้างว้างของเย่โม่ที่เดินจากไป หนิงชิงเชวี่ยก็รู้สึกบีบหัวใจขึ้นมาราวกับว่าเธอได้ทำอะไรผิดไปสักอย่าง แล้วมันคือเรื่องอะไรกัน? หนิงชิงเชวี่ยนั่งอยู่บนเตียงของเย่โม่ด้วยอาการสับสน หรือเพราะว่าที่เธอคิดก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้อง เย่โม่พอเห็นเงินของเธอถึงได้ตอบตกลงแบบนั้น ดูท่าว่าหลี่มู่เหมยจะตัดสินเขาไว้ไม่ผิดเลย
เมื่อเย่โม่เดินมาถึงภายในสวนซู่เวยก็ได้เข้าห้องของเธอไปแล้ว เขายกบัตรในมือขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าบางอย่างได้ปะทุขึ้นในใจ เวลาตอนที่รับบัตรนี้มาเขาเกิดความหุนหันอยากจะโยนมันใส่หน้าหนิงชิงเชวี่ยไปซะให้จบๆ แล้วไล่เธอออกไป เหตุผลที่เขาปล่อยให้เธอเข้ามาหรือแม้แต่ช่วยเธอแบบนี้ ก็เพราะเขาดันหวนนึกไปถึงดวงตาอันโศกเศร้าและท่าทางช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ของอาจารย์ลั่วอิ่งนั่นเอง
เขาส่ายหัวไปมา แล้วหนิงชิงเชวี่ยทำอะไรผิดล่ะ? ในความคิดของเธอบางทีทำแบบนี้อาจจะถูกต้องแล้วก็ได้
ห้องก็ยกให้หนิงชิงเชวี่ยแล้ว เย่โม่ก็ไม่มีที่อื่นให้ไปอีก โชคดีที่ตัวเย่โม่เองมักจะฝึกฝนอยู่ทางทิศเหนือภายในสวนด้านหลัง ตรงนั้นมีต้นไม้เก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง ทุกครั้งที่เย่โม่ฝึกใต้ต้นไม้ต้นนี้เขาจะรู้สึกใจสงบทุกครั้ง
ทั้งคืนนั้นเย่โม่ได้นั่งลงใต้ต้นไม้เพื่อฝึกฝน เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณในตัวแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย เย่โม่ยิ้มบางๆ อย่างอดไม่อยู่ ความหดหู่คับข้องใจเมื่อคืนได้จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย คราวหลังมาฝึกตรงนี้ทุกเย็นก็ไม่เลวเลย ดูเหมือนต้องมีแรงผลักดันจึงจะขยันจริงๆ
โดยไม่แม้แต่จะรอหนิงชิงเชวี่ยตื่นขึ้นมาตกลงเรื่องเวลาแต่งงาน เย่โม่ก็ชิงไปมหาวิทยาลัยก่อนเสียแล้ว
หลังจากที่เย่โม่วิ่งไปมหาวิทยาลัยแล้ว หนิงชิงเชวี่ยและซู่เวยก็เพื่งตื่น หลังจากพวกเธอทักทายกันทั้ง 2 คนก็รู้สึกเขินอายต่อกันอยู่บ้าง ในความคิดของพวกเธอเมื่อคืนเย่โม่ได้ไปนอนกับคนตรงหน้ามา อาจพูดได้ว่าเป็นหนิงชิงเชวี่ยที่รู้สึกประหลาดใจมากกว่าซู่เวย ไม่ใช่ว่าเย่โม่เสื่อมสมรรถภาพหรือไง? แล้วเขาจะไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นได้ยังไงกัน? แต่คำพูดแบบนี้เธอเองก็ไม่กล้าถามออกมาเหมือนกัน
เย่โม่อ่านหนังสือในห้องสมุดมหาวิทยาลัยได้ครึ่งวัน ตอนบ่ายเขาก็ไปนอนที่หอพัก ตกเย็นก็ถูกชือซิวลากไปกินข้าวที่ร้านอาหาร เพราะเขาได้คูปองร้านอาหารจู่เว่ยมานั่นเอง
“เมื่อวานนายสุดยอดมากเลยนะเย่โม่! รู้อะไรไหม หลังจากที่นายเดินออกไปเยี่ยนเยี่ยนก็โกรธจนหน้าซีดไปเลย ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์เย็นชาคนนั้นปล่อยเธอออกคลาสก่อนล่ะก็ ฉันว่าเยี่ยนเยี่ยนคงจะอับอายจนอยากมุดดินหนีแล้ว เออจริงสิ! หญิงสาวที่มาหานายเมื่อวานคนนั้นเป็นใครล่ะ เธอสวยมากจริงๆ คงไม่ใช่ดาราที่ไหนหรอกนะ ไม่สิ ต่อให้เป็นดาราก็ยังไม่สวยเท่านี้เลย” ชือซิวพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่โม่เท่านั้นเขาถึงจะแสดงท่าทางโอเวอร์แบบนี้ออกมา
เย่โม่ยิ้มแล้วตบบ่าของชือซิว “ฉันนอนมาทั้งบ่ายจนหิวแล้ว รีบไปกินข้าวกันเถอะ”
ชือซิวถอนหายใจออกมาอย่างกะทันหัน “เอาจริงๆ นะเย่โม่ ฉันยังรู้สึกเป็นห่วงนายอยู่เลย แล้วนายไม่รู้สึกร้อนใจเลยหรือไง อีกไม่นานพวกเราก็จะเรียนจบกันแล้ว แต่การสอบของนายเทอมที่แล้ว อย่าว่าแต่ได้ตำแหน่งที่เท่าไหร่เลย ฉันคิดว่าแม้แต่ใบจบการศึกษานายก็คงไม่ได้หรอก นายยังจะมานอนเล่นแบบนี้อีก”
เย่โม่ไม่โกรธสักนิด “กังวลแล้วได้อะไร? ถ้ากังวลแล้วมีประโยชน์ล่ะก็ฉันจะทำมันทุกวันเลย ช่างเถอะ ฉันมีหนทางของตัวเองแล้ว ถ้าหลังจากเรียนจบแล้วไม่มีงานทำก็มาหาฉันได้ ฉันจะรับผิดชอบเลี้ยงนายเอง”
“พุฟ!... ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้ต้องการแค่มีกินเท่านั้น ญาติคนหนึ่งของฉันบอกว่าจะช่วยหางานในหน่วยงานราชการให้ฉัน นายอิจฉาล่ะสิ ไปกันเหอะ ฉันเริ่มได้กลิ่นหอมจากร้านอาหารแล้ว” พูดถึงตรงนี้ชือซิวก็รีบลากเย่โม่มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารทันที
ร้านอาหารจู่เว่ยถือว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในมหาวิทยาลัยหนิงไห่ อาหารข้างในรสชาติดีและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ถึงสีสัน กลิ่น และรสชาติจะเทียบไม่ได้กับร้าน ‘บ้านทะเลสาบตะวันตก’ แต่เย่โม่ก็ชอบสไตล์ของร้านนี้อยู่ไม่น้อยเลย
ชือซิวมีแค่คูปองร้านอาหารราคาสองร้อยหยวนเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับ 2 คนแล้ว ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเย่โม่กับชือซิวจะถือว่าไม่เลว แต่ก็นานๆ ครั้งถึงจะได้มานั่งกินอาหารด้วยกันแบบนี้ เย่โม่สั่งเหล้าขาวมา 2 ขวด พวกเขา 2 คนกินอาหารเสร็จก็เป็นเวลา 1 ทุ่มแล้ว
ชือซิวคอไม่แข็งมากนัก เหล้าขาวทั้ง 2 ขวดส่วนใหญ่ก็เป็นเย่โม่ที่ดื่มจนหมด
ตอนที่เย่โม่กำลังพาชือซิวที่กำลังกรึ่มๆ ออกมาจากร้านอาหารจู่เว่ยอยู่นั่นเอง เขาก็ได้ไปเห็นเจิ้งเหวินเฉียวกำลังเดินเข้าห้องน้ำพอดี ถึงจะเห็นแค่ด้านหลังแต่ด้วยสายตาระดับเย่โม่แล้ว แค่เขามองก็รู้แล้ว
ครั้งที่แล้วถูกเจ้าคนแซ่เจิ้งคนนี้เล่นงาน ถึงแม้เขาจะไม่เป็นอะไรเลยแต่เย่โม่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ มาวันนี้ได้พบกับเจิ้งเหวินเฉียวแล้วไหนเลยเย่โม่จะปล่อยให้ลอยนวล
เขารีบพาชือซิวไปทิ้งไว้บนเตียงในหอพัก หลังจากนั้นเขาก็รีบกลับมาด้านนอกของร้านอาหารทันที เขาคาดว่าตระกูลของเจิ้งเหวินเฉียวคนนี้คงมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย ดังนั้นแล้วเวลาเขาสั่งสอนชายคนนี้ใส่หน้ากากเสียหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว
ถ้าเย่โม่เลือกได้เขาคงจะฆ่าคนๆ นี้แน่นอน แต่เขาก็รู้ดีว่าหากฆ่าเจิ้งเหวินตัวเขาก็จะถูกสงสัยเอาได้ สั่งสอนให้นอนหยอดข้าวต้มไปทั้งชีวิตน่าจะดีที่สุดแล้ว
เย่โม่รอได้ไม่นานก็เห็นเจิ้งเหวินเฉียวกำลังเดินออกจากร้านอาหารพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย