SB:ตอนที่ 8 หลี่เฟิงผู้วิปริต
SB:ตอนที่ 8 หลี่เฟิงผู้วิปริต
หลี่เฟิงอาศัยอยู่ในแคว้นเซียงหยางตั้งแต่ยังหนุ่ม ดังนั้นเขาดูถูกสามัญชนพวกนี่ที่อยู่ท้องถิ่นที่ห่างไกล
“โอ้?” ลู่หยางเลิกคิ้ว เขาไม่รู้จักชายหนุ่มผู้นี้ แต่เขารู้จักผู้ครองเมืองฉิงเหอ
“นายท่านเฟิง ช่วยข้าด้วย!” หลี่ยี่ร้องให้หลี่เฟิงช่วย เขาถูกลู่หยางจู่โจมจนลืมไปว่าเขายังมีผู้หนุนหลังอยู่
“เอ้า! ไม่ว่าจะยังไง เจ้าก็ยังเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเมืองฉิงเหอ ดังนั้นเจ้าก็ถือว่าเป็นลูกบ้านคนนึงของข้า!” หลี่เฟิงสูดจมูกแสดงอาการดูถูก แล้วหันไปที่ลู่หยางและพูดขึ้นว่า “ถูกมั้ยลู่หยาง? เรามาจบเรื่องนี้เถอะ” เวลาที่เขาพูด สายตาของเขากวาดจ้องไปที่เรือนร่างของซู่หลิงหลิง
“ท่านแม่! ท่านป้าหวัง เราไปหาท่านหมอหลิวให้ท่านดูบาดแผลของท่านลุงซ่วงกันเถอะ!” ลู่หยางขมวดคิ้ว เมื่อมองไปที่แขนที่ขาดของหลี่ต้าซวง บาดแผลของเขาช่างสาหัสนักและไม่มีเวลาที่จะมาชักช้า
หลี่เฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าลู่หยางเป็นคนมีสำนึกดี เหนืออื่นใดพ่อของเขาเคยเป็นผู้นำของเมืองและเป็นผู้ควบคุมอสูรที่แข็งแกร่งคนหนึ่งด้วย
“ชายหนุ่มคนนั้นเป็นบุตรชายของผู้ว่าหลี่แห่งเมืองฉิงเหอ! ชูววว-!”
“ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านผู้ว่าหลี่อยู่ที่แคว้นเซียงหยางก่อนหน้านี้ มันแปลกจริงๆ หลี่ยี่มาอยู่ที่นี่เพื่อมาเรี่องการแต่งงาน แต่ทำไมหลี่เฟิงก็มาอยู่ที่นี่ด้วย?”
“…”
“ไอ้ระยำเอ้ย! เร็วๆเข้า ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้” หลี่ยี่กลับมาอวดดีขึ้น เขารู้ว่าเมื่อหลี่เฟิงอยู่ ลู่หยางจะไม่กล้าทำร้ายเขา
“อืมมม? ช่างโอหังนัก ก็ในเมื่อเจ้าได้ตัดแขนของท่านลุงซ่วงไป เจ้าก็ควรจะทิ้งอะไรบางอย่างไว้เหมือนกัน!” ลู่หยางมองอย่างเย็นชา เขาไม่ได้คิดที่จะปล่อยหลี่ยี่ไปและเขาก็ไม่สนใจที่หลี่เฟิงพูดด้วย
“อ้ากก!” ด้วยพละกำลังที่ระเบิดขึ้นในมือทั้งสองของเขา หลี่ยี่ร้องโหยหวนขึ้นมาทันใดด้วยความทรมาน แล้วแขนทั้งสองข้างของเขาก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาสลบไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ร่างของลู่หยางซึ่งได้รับพลังถึงสองครั้งแข็งแกร่งมากทำให้แขนของหลี่ยี่แขนทั้งสองข้างของเขาพิกลไปทันที
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ทำให้หลี่เฟิงรู้สึกชาไปหมด เขาคิดว่าเจ้าเด็กชนบทคนนี้จะเป็นเด็กดี มีสำนึก มีวิจารณญาณแต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าลู่หยางเจะไม่สนใจคำพูดของเขาเลย บัดนี้เขารู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจนร้อนฉ่า เขาเพิ่งออกตัวไปปกป้องหลี่ยี่เมี่อสักครู่นี้เอง และมีท่าทีกับลู่หยางราวกับที่ปฏิบัติกับเหล่าผู้รับใช้ แต่มาบัดนี้ ผู้รับใช้ในสายตาของเขากำลังต่อต้านเขา นี่ไม่ใช่เหมือนถูกตบหน้าเหรอ?
คนอื่นๆก็รู้สึกตกกะลึงไปเหมือนกัน พวกเขาไม่คิดว่าลู่หยางจะกล้าไม่แยแสหลี่เฟิง ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเขาเป็นนายน้อยผู้สูงศักดิ์
“ใครใช้ให้เจ้าทำ? เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าเพิ่งพูดไปเรอะ?” หลี่เฟิงจ้องไปที่ลู่หยาง เขารู้สึกโกรธเพราะคนที่มีสถานะสูงอย่างเขาใส่ใจเรื่องหน้าตาเป็นที่สุด
“ท่านเป็นใครกัน? แล้วทำไมข้าต้องฟังท่านด้วย?” ลู่หยางเบ้ปาก “ถ้าท่านพูดกับข้าดีๆ บางทีเราอาจจะคุยกันได้ แต่ถ้าท่านยังยืนยันที่จะทำตัวเย็นชา งั้นข้าก็เสียใจด้วย”
.“ใครกัน? รึคำพูดนี้ออกมาจากสัตว์ที่แปลงร่างมา!”
.“บ้าเอ้ย! เขาเป็นแค่เศษฝุ่นขี้ปะติ๋วที่กลายมาเป็นผู้ควบคุมอสูรด้วยการกินเม็ดยาเข้าไป วันนี้ล่ะ นายน้อยผู้นี้จะแสดงให้เจ้าเห็นถึงพลังอำนาจที่แท้จริงของผู้ควบคุมอสูร” ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลี่เฟิงบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธตามมาด้วยเสียงคำรามของหัวใจสองดวงที่สั่นระริกอยู่ ทันใดนั้น อสูรดุร้ายสองตัวก็ปรากฏกายขึ้น ตัวหนึ่งคือหมาป่าจันทราเงินและอีกตัวคือหมูป่าโลหิตแดง
“บูม!” อสูรดุร้ายสองตัวกลายเป็นลำแสงสองเส้นวิ่งเข้าสู่ร่างของหลี่เฟิงก่อให้เกิดพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัว
“ท่านหลี่เฟิงสามารถควบรวมกับสัตว์สงครามสองตัว!” การควบรวมร่างนี้เป็นหนึ่งในวิชาที่เป็นพื้นฐานที่สุดและมีพลังที่สุดของผู้ควบคุมอสูร ยิ่งมีสัตว์สงครามมาผนึกรวมมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งปล่อยพลังได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การที่จะควบรวมกับสัตว์ยิ่งมากขึ้น ร่างกายของผู้ควบคุมสัตว์จะต้องแข็งแรงมากพอ ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสามารถทนทานต่อการเข้าครอบครองของสัตว์สงคราม แต่สภาพทางกายภาพของลู่หยางตอนนี้สามารถทนได้เพียงแค่กับสัตว์สงครามตัวเดียว
“อันที่จริงแล้ว ท่านก็สมที่เป็นนายน้อยแห่งตระกูลยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งเดินออกจากแคว้นเซียงหยาง” ลู่หยางมีท่าทีที่เคร่งขรึมขณะที่รู้สึกถึงความกดดันที่ไม่คาดคิดจากหลี่เฟิง
“ท่านแม่!” “ทุกคน เร็วเข้า ออกไป!” ลู่หยางรวมเข้ากับต้าเฮยทันที พร้อมกับเรียกสัตว์สงครามตัวอื่นอีก
“โธ่เอ้ย หยาง !” เอ้อโกวจื่อ และผู้คนที่เหลืออยู่เห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วรู้สึกหวาดวิตกมากและไม่อยากที่จะจากไป
“จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้นวันนี้! ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีสัตว์อีกหนึ่งตัว แต่น่าเสียดายที่เจ้าสามารถหลอมรวมได้เพียงแค่ตัวเดียว! ฮ่า ฮ่า! ตายซะ!” สัตว์สงครามตัวมหึมาของลู่หยางไม่ได้อยู่ในสายตาของหลี่เฟิงเลย
หลี่เฟิงเปล่งประกายรัศมีเจิดจ้าจนทำให้ลู่หยางต้องหรี่ตา และกล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเกร็งเขม็ง
ขณะที่การประลองกำลังจะอุบัติขึ้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมากลบบรรยากาศที่มืดมน
“ฮ่า ฮ่า! หลี่เฟิง ทำไมเจ้ามาถึงเมืองชิงหยางแล้วไม่บอกข้า ข้าจะเป็นเจ้าบ้านให้เจ้าอย่างดีที่สุด!” ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินผ่านประตูเข้ามา
“ท่านซุนวู” สีหน้าของหลี่เฟิงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นว่าคนที่มาคือใคร จริงๆแล้วมีร่องรอยของความกลัวฉายอยู่ในแววตาของเขา
“ก็อย่างที่ข้าบอก จะไม่มีโฉมงามใดใดไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ไหนได้ยังไง? แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมยังเป็นบุตรีของตระกูลเซวียล่ะ? คนเขาพูดกันว่าหลี่เฟิงชอบยุ่งกับภรรยาของคนอื่น นี่เปลี่ยนบุคลิกท่าทีไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” ซุนวูโพล่งขึ้นและสายตาจับจ้องไปที่เรือนร่างของซู่หลิงหลิงด้วยความฉงนสงสัย
“บ้าเอ้ย!” “ข้าอยากรู้แล้วว่าทำไมหลี่ยี่ถึงมาสู่ขอเจ้าที่นี่ เป็นไปได้ว่าเขาต้องการส่งเจ้าให้หลี่เฟิงหลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ใช่มั้ย? นี่มันแปลกแปลกจริงๆ!” ลู่หยางโพล่งขึ้นมา เขาต้องยอมรับว่าสมองของสหายเขาแล่นเร็วดีจริง
“บ้าฉิบ!” “เป็นเจ้าจริงเรอะ? ผู้คนเมืองนี้ช่างรู้จักเล่นซะจริง!”
“ไม่ต้องสงสัย หลี่ยี่มาสู่ขอให้หญิงคนนี้ ดูเหมือนจะจริง!”
“ก็เขารูปหล่อและยังเป็นผู้ควบคุมอสูร ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่ธรรมดาเช่นนั้น ข้าสงสัยว่าหลี่ยี่จะรู้มั้ยนะ?”
“ข้าคิดว่าเขาต้องรู้แน่นอนแล้วเขายังตกลงตามคำขอของหลี่เฟิง เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นบุตรชายของท่านผู้ว่าหลี่ สำหรับคนที่ร้ายกาจและทรยศเช่นเขาถ้าอยากจะทำให้หลี่เฟิงพอใจมันก็เป็นไปได้ที่เขาจะขายภรรยาของเขาเอง!”
“…”
ฝูงชนเริ่มส่งเสียงดังขึ้นอื้ออึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าเพื่อนหมาป่าที่เห่าหอนอย่างดัง
สีหน้าของคนในครอบครัวเซวียโดยเฉพาะอย่างยิ่งเซวียหลิงหลิง เริ่มซีดเผือดเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของฝูงชนที่จ้องมาอย่างแปลกๆ ถ้าอย่างนั้นเมื่อนางแต่งงานกับหลี่ยี่ นางก็อาจจะกลายเป็นของเล่นของหลี่เฟิงไป แล้วนางจะสู้หน้าใครใครได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ นางยังรู้สึกภูมิใจกับการที่จะได้แต่งงานกับผู้ควบคุมอสูรพร้อมกับอนาคตที่สดใส
“ท่านซุนวู! อย่าพูดเหลวไหล ท่านอยากตายเรอะ?” ใบหน้าของหลี่เฟิงแดงกล่ำ ดวงตาของเขาแทบจะลุกเป็นไฟ เขาหวังจะฉีกซุนวูและซากของเขาออกเป็นพันพันชิ้น
“เฮ้อ! มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเวลาถูกเปิดโปงก็ต้องโกรธ ข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของท่านผู้ว่าหลี่จริงๆแล้วเป็นอสูรภายใต้เสื้อผ้าอาภรณ์ เขาช่างพิกลเกินไปจริงๆ หลี่ยี่ก็ช่างน่าอนาถนัก!” ลู่หยางส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ
“ไอ้น้องชาย เจ้าเปิดเผยความจริงเร็วนัก นี่มันชั่วร้ายจริงๆ วิปริตเกินไปเนอะ!” ซุนวูตะโกนและกระพริบตาให้ลู่หยาง
สีหน้าของหลี่เฟิงเปลี่ยนเป็นเขียวและขาวสลับกันไป เขาก็เป็นอย่างนั้นเช่นที่ซุนวูพูดจริง เขาชอบที่จะยุ่งกับภรรยาของผู้อื่น และเขาก็ถึงขั้นวิปริตจนไม่ได้เป็นความลับในแวดวงขุนนางในแคว้นเซียงหยาง อย่างไรก็ดีมันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะมาเปิดโปงกัน
“ไปกันเถอะ!” หลี่เฟิงขึงตาใส่ทั้งสองอย่างดุร้าย กัดฟันกรอด เดินจากไปด้วยใบหน้าสีเขียว
ทุกๆคนรู้สึกโล่ง พวกเขาคิดว่าจะมีการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาไม่คาดคิดวว่าหลี่เฟิงจะเดินจากไปอย่างหางตก
“ท่านซุนวู…หรือจะป็นคนจากครอบครัวซุน?”
“ดูเหมือนว่าบุตรชายของท่านผู้ว่าซุนจะชื่อซุนวูนะ หรือนี่จะป็นท่านนายน้อยซุน!”
“ท่านใช่บุตรชายของท่านผู้ว่าซุนหรือไม่?”
ท่ามกลางฝูงชนนั้น ชายสูงวัยสองสามคนมองตรงมาที่ซุนวูแล้วรู้สึกตื่นเต้นกันขึ้นมาราวกับว่านึกอะไรบางอย่างออก
ผู้ว่าซุนเทียนหยางได้รับความเคารพนับถืออย่างมากเสมอมาจากพลเมืองของเมืองชิงหยาง และเมื่อห้าปีก่อน เขาได้ช่วยให้เมืองชิงหยางไม่ถูกทำลาย
“ฮ่าฮ่า” “ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ” ซุนวูหัวเราะ ตั้งแต่ที่เขาย้ายเข้ามาที่แคว้นเซียงหยาง เขาก็ง่วนอยู่กับการฝึกตนและไม่ได้กลับไปหลายปี
“ท่านคือนายน้อยซุนสินะ ขอบคุณท่านสำหรับเรื่องเมื่อกี้นี้” ลู่หยางมองมาที่ซุนวู รู้สึกตกใจ เขากุมมือเข้ากันแล้วหัวเราะ
“นายน้อยอะไรกัน ข้าควรจะแสร้งทำเป็นแก่กว่าเจ้าสองสามปี แล้วเรียกเจ้าว่าน้องชาย ไอ้น้องชาย เจ้าทำได้ดีมาก ทำให้หลี่เฟิงโกรธฮ่าฮ่า!” ซุนวูตบไหล่ลู่หยางแล้วหัวเราะ
“ข้าแค่ทนไม่ไหว!”ลู่หยางส่ายหัวแล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นวิตกกังวล บอกว่า “ท่านพี่ซุน ท่านลุงซวงได้รับบาดเจ็บ ข้าต้องไปเดี๋ยวนี้แล้ว”
“เฮ้! ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” ซุนวูกล่าว
คนกลุ่มนี้ก็ได้พาหลี่ต้าซวงไปหาท่านหมอหลิวในเมือง แม้ว่าบาดแผลของหลี่ต้าซวงจะสาหัสนัก แต่หมอหลิวก็เชี่ยวชาญพอที่จะรักษาเขาให้หายได้ แต่เขาคงจะใช้ชีวิตในอนาคตต่อไปด้วยความลำบากเพราะเหลือแขนข้างเดียว เขาจะทำงานหนักไม่ได้ หรือจะออกล่าสัตว์ตามลำพังในหุบเขาก็ไม่ได้