Chapter 17-18 การทดสอบจำลองสถานการณ์ (1), การทดสอบจำลองสถานการณ์ (2)
Chapter 17: การทดสอบจำลองสถานการณ์ (1)
ในช่วงเช้าตรู่ (เวลาตี 4), อัศวินกลุ่มใหญ่กำลังเดินทางตรงไปยังภูมิภาคตอนล่างด้วยแถวตอนเรียงสาม
พอมองดูพวกเขาแล้ว, แลนดอนก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาพัฒนาขึ้นได้ขนาดนี้ กล้ามของพวกเขาเริ่มขึ้นแล้วและพวกเขาก็มีระเบียบและพละกำลังมากขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ พวกเขาทุกคนมีการแสดงออกที่ดูสง่าและเข้มแข็ง, มีร่างกายที่ถึกทนและมีความตั้งใจที่แน่วแน่
โมโม่นั้นเป็นคนเดียวที่ยังไม่มีกล้ามขึ้น, แต่ถึงยังไงเขาก็ยังเป็นแค่เด็ก อย่างไรก็ตาม, คุณสมบัติอื่นๆได้ถูกปลูกฝังในตัวเขาหมดแล้ว, ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขาดคุณสมบัติในการเป็นทหารเลย เขาดูสมชายชาตรีมากขึ้นและดูมีความมั่นใจมากสำหรับเด็กอายุเท่านี้
ในขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังเดินทางอยู่นั้น, เสียงเดินของพวกเขาเบามากจนทำให้คิดว่าพวกเขาเป็นนักฆ่าไม่ใช่อัศวิน แลนดอนได้สอนให้พวกเขารู้ถึงความสำคัญของการอำพรางตัวและองค์ประกอบที่จะทำให้ศัตรูตื่นตกใจ
ในยุคนี้, อัศวินจะต่อสู้ด้วยความภาคภูมิใจและเกียรติยศที่ตัวเองยึดถือ....อย่างเช่นการแสดงการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของพวกเขาเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาแข็งแกร่ง พวกเขาคิดว่าการลอบเร้นนั้นเป็นการกระทำของพวกขี้ขลาดและไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง
แต่ว่าแลนดอนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ในสงคราม, การหาวิธีการที่ง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการกำจัดศัตรูในขณะที่ปกป้องพวกพ้องของตัวเอง, คือการแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริง ยิ่งมีการสูญเสียน้อยเท่าไหร่, มันก็ยิ่งดีเท่านั้น
อันที่จริง, แลนดอนได้สอนพวกเขาถึงวิธีการวางกับดักและคิดค้นกลยุทธ์สงครามต่างๆเอาไว้ด้วย แถมเขายังเน้นสอนเรื่องวิธีการทำให้คนอื่นสลบด้วยการโจมตีจุดสำคัญ, โดยเฉพาะการโจมตีที่ท้ายทอยของศัตรู
เนื่องจากไม่อนุญาตให้ใช้ดาบในการทดสอบส่วนแรก, พวกเขาจึงต้องใช้มือเปล่ากับสมองของพวกเขา ดังนั้น, เขาจึงเน้นสอนศิลปะการต่อสู้พื้นฐานและทักษะการป้องกันตัว
ในช่วงสองสัปดาห์ก่อนการทดสอบทหารนั้น, แลนดอนได้หาทำเลเป็นเนินเขาเล็กๆใกล้ๆกันสามแห่งที่อยู่ห่างจากพื้นที่เกษตรและที่ดินอื่นๆ ที่เนินเขาแต่ละแห่งนั้นจะถูกห้อมล้อมด้วยต้นไม้และมีพุ่มหญ้าเป็นจำนวนมาก, ทำให้มันเหมาะสำหรับการลอบโจมตีและวางกับดัก บางส่วนจะมีทรายดูดอยู่ด้วย, ในขณะที่ส่วนอื่นๆจะมีลำธารเล็กๆที่เห็นได้ชัดว่าทอดยาวไปถึงทะเล มันคือทำเลที่สมบูรณ์แบบ
แลนดอนได้ให้ทหารแต่ละกองร้อยคุมเนินเขาเล็กๆกองละแห่งเป็นฐานที่มั่นของพวกเขาและบอกให้พวกเขาสร้างเพิงไม้ของตัวเองทำเป็นฐานและเตรียมกับดักเอาไว้สำหรับการทดสอบที่จะมาถึง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกรายละเอียดการทดสอบกับพวกเขา, แต่พวกเขาก็เข้าใจในทันทีว่ามันคือการให้แต่ละกองร้อยมาต่อสู้กันเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มตั้งใจเตรียมตัวสำหรับการสอบที่จะมาถึง
ในตอนที่พวกเขามาถึง, แลนดอนก็มองเหล่าอัศวินที่จัดแถวตอนเรียงสามด้วยความพอใจมากๆ ตอนนี้พวกเขาปฏิบัติตัวเหมือนกับทหารของโลกปัจจุบันจริงๆ
“การทดสอบจะมีสองส่วน: ส่วนที่หนึ่งประกอบด้วยกลยุทธและการแทรกซึมฐานศัตรู, ในขณะที่ส่วนที่สองจะเกี่ยวกับทักษะดาบ วันนี้จะเน้นแค่ส่วนที่ 1, ส่วนพุ่งนี้จะเป็นส่วนที่ 2”
แลนดอนพูด
ในขณะที่เขาพูดแม่ทัพลูเซียสกับพ่อบ้านนาธานก็เอากล่องมาวางเบื้องหน้าแต่ละกองร้อย
“กล่องที่อยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าได้บรรจุผ้าโพกหัว, เชือกและธงของแต่ละกองร้อยเอาไว้ กองร้อยของจอร์ชจะใช้ผ้าโพกหัวสีแดง, กองร้อยของมาร์คจะใช้ผ้าโพกหัวสีเหลืองและกองร้อยของเกรย์จะใช้ผ้าโพกหัวสีม่วง นอกจากนี้ในแต่ละกล่องจะมีเชือกอยู่ 50 เส้นสำหรับใช้มัดนักโทษ...และแต่ละกองร้อยจะมีธง 5 ผืนที่มีสีเดียวกับผ้าโพกหัวของแต่ละกอง...ผ้าโพกหัวนั้นจะเอาไปมัดที่หัว, ข้อมือ, แขนหรือจะมัดที่ขาก็ได้...อยากมัดตรงไหนก็เชิญตามสบายเลย...เอาหล่ะตอนนี้ผูกผ้าซะ!!!!”
พันเอกของแต่ละกองร้อยรีบเข้ามาเอากล่องของตัวเองอย่างรวดเร็วและแจกจ่ายผ้าอย่างคล่องแคล่ว แลนดอนรู้สึกประทับใจกับภาพที่เห็น พวกอัศวินนั้นไม่ได้แตกแถวเลยพวกเขาแค่รอให้นายกองของตัวเองแจกจ่ายผ้ากับพวกเขา บางคนผูกเอาไว้ที่ขา, บางคนก็แขน, และบางคนก็ไว้ส่วนอื่นๆ แต่ไม่มีใครสวมเอาไว้ที่ศรีษะเลย แลนดอนยิ้ม พวกเขาฉลาดมาก
สิ่งที่เรียกว่าผ้าโพกหัวนี้เป็นแค่เศษผ้าที่ตัดมาจากเสื้อผ้าเก่าๆ
ในตอนที่แลนดอนเห็นว่าทุกคนผูกผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว, เขาก็พูดต่อ
“คืนนี้แต่ละกองร้อยต้องคิดแผนการรุกรับ เป้าหมายของแต่ละกองคือชิงธงของศัตรูมาให้ได้ 1 ผืนหรือชิงผ้าโพกหัวของศัตรูมาให้ได้อย่างน้อย 50 ผืน ข้าจะไม่ให้คำแนะนำหรือความช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับวิธีการซ่อนธงของพวกเจ้าและจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้นี้ด้วย ทราบ!!!!”
พวกเขาทำความเคารพแบบทหารอย่างรวดเร็วและตะโกนออกมา
“ทราบ”
“ดีมาก...ในระหว่างการต่อสู้, แม่ทัพลูเซียสกับข้าจะคอยเดินตรวจตาแต่ละค่ายเพื่อแอบสังเกตการกระทำของพวกเจ้าจากเงามืด และเมื่อจบการทดสอบ, ทุกคนจะถูกประเมินผลคะแนนออกมา”
แลนดอนตอบกลับ
ในตอนที่พวกเขาได้ยินสิ่งที่แลนดอนพูด, พวกเขาก็รู้สึกมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น
“ต่อไปจะเป็นกฏสำหรับการทดสอบนี้: พวกเจ้าห้ามใช้ดาบหรือของมีคม, ข้าอนุญาตให้ใช้ได้แค่ศิลปะการต่อสู้หรือทักษะป้องกันตัวเพื่อทำให้ศัตรูต่อสู้ไม่ได้เท่านั้น และการทำให้ศัตรูสลบก็ถือเป็นข้อห้ามเช่นกัน”
พวกเขาทุกคนตั้งใจฟังเพราะพวกเขาไม่อยากพลาดรายละเอียดที่สำคัญไป
“คนที่ถอดผ้าโพกหัวออกจะถูกพิจารณาว่าตายไปแล้ว...และถ้าคนไหนถูกจับได้และถูกชิงผ้าโพกหัวไป, ก็จะถูกพิจารณาว่าตายไปแล้วเหมือนกัน...ส่วนพวกที่ผ้าโพกหัวหลุดด้วยอุบัติเหตุเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในตอนที่พวกเจ้าถูกพิจารณาว่าตายไปแล้ว, จะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้นี้ได้อีก ซึ่งการให้ความช่วยเหลือกองร้อยของตัวเองหลังจากที่ถูกตัดสินว่าตายไปแล้วนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรงในการทดสอบของวันนี้”
เขามองพวกอัศวินและแผ่กลิ่นอายที่ทำให้เสียวสันหลังออกมา
“ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฏเหล่านี้จะถูกลงโทษเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ...และจะไม่ได้รับการเลื่อนยศในครั้งนี้ด้วย ดังนั้นห้ามฝ่าฝืนคำสั่งโดยเด็ดขาด...เพราะถึงยังไง, คนตายก็พูดไม่ได้และไม่ควรจะส่งผลกระทบกับการต่อสู้ด้วย”
ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่าผ้าโพกหัวที่พวกเขาได้รับมานั้นมีค่าเหมือนกับทองที่นำมากองกันเป็นภูเขา พวกเขาต่างก็ถามตัวเองในใจว่าตำแหน่งที่พวกเขาเลือกผูกผ้านั้นปลอดภัยพอที่จะซ่อนมันจากศัตรูรึยัง
“อีกเรื่องนึง, ระยะเวลาของการทดสอบนี้คือ 2 ชั่วโมง...ในตอนที่ครบกำหนดเวลา, ต่อให้พวกเจ้ายังทำการทดสอบไม่สำเร็จ, ทุกคนก็ต้องกลับมารวมตัวกันที่นี่ในทันที ถ้ามีคนมารวมตัวไม่ทันอัศวินทุกคนจะถูกลงโทษเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์, โดยไม่สนว่าจะอยู่กองร้อยไหนก็ตาม”
พวกเขาต่างก็พากันตกใจ นี่ก็แสดงว่าถ้ามีคนในกองร้อยอื่นมาสาย, พวกเขาก็จะถูกลงโทษด้วยหน่ะสิ?
อันที่จริงที่แลนดอนทำแบบนี้ก็เพื่อสร้างความสามัคคีให้กับอัศวินของเขา เขาอยากให้อัศวินทุกคนเป็นพี่น้องกัน, และเป็นคนที่คอยสอดส่องกันได้
“เอาหล่ะเริ่มการทดสอบได้, ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี!!!”
แลนดอนพูด
*********************
Chapter 18: การทดสอบจำลองสถานการณ์ (2)
[ค่ายของจอร์ช]
จอร์ชมองดูคนของเขาที่แบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่มเรียบร้อยแล้ว โดยกลุ่มแรกนั้นจะมี 12 คน, กลุ่มที่สามมี 36 คน, กลุ่มที่สามมี 20 คน, กลุ่มที่สี่มี 16 คนและกลุ่มที่ห้ามี 15 คน
“กลุ่ม 1 จะทำหน้าที่สอดแนมบริเวณรอบๆฐาน โดยจะต้องมีอย่างน้อย 3 คนประจำการอยู่ในด่านตรวจแต่ละจุด ถ้ามีจุดไหนเห็นศัตรูเข้ามา, จะต้องมี 1 คนที่รีบกลับมาเตือนพวกเรา, ในขณะที่อีกคนนึงให้แอบตามศัตรูไปอย่างเงียบๆจากเงามืด และคนสุดท้ายให้เฝ้าระวังอยู่ที่ด่านตรวจ, เผื่อในกรณีที่มีศัตรูกลุ่มอื่นเข้ามาอีก แล้วก็จำเอาไว้ให้ดี, ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ, ห้ามโจมตีศัตรูเป็นอันขาด...ให้คอยเฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆก็พอ ทราบ?”
“ทราบครับ ท่านพันเอก”
พวกเขาตอบกลับอย่างฉะฉาน
ในตอนที่พวกเขาสร้างกับดักนั้น, พวกเขาได้สร้างฐานลับเอาไว้ด้วยโดยการเอาดิน, ใบไม้, ใบหญ้าและกิ่งไม้มาปิดเอาไว้, เพื่อสอดส่องศัตรูโดยไม่ให้ถูกจับได้
“ต่อไปกลุ่ม 2 จะเน้นไปที่การแทรกซึมค่ายของศัตรู เนื่องจากพวกเจ้ามีกัน 36 คน, ข้าจะให้ 18 คนไปแทรกซึมค่ายของแกรี่, ส่วนอีกครึ่งจะไปแทรกซึมค่ายของมาร์ค จาก 18 คน, ให้พวกเจ้าแบ่งเป็นกลุ่ม 6 คนซะและแทรกซึมเข้าไปในค่ายจากทุกทางเข้า และถ้าตำแหน่งที่พวกเจ้าอยู่ตกอยู่ในอันตรายขึ้นมา, ให้รีบหนีและย้อนกลับมาที่ค่ายด้วยความระมัดระวัง”
“ทราบครับ ท่านพันเอก”
กลุ่ม 2 ตอบกลับ
“ต่อไปกลุ่ม 3 ข้าจะให้พวกเจ้าประจำการอยู่ตามจุดที่วางกับดักเอาไว้ โดยแต่ละจุดที่วางกับดักจะมี 3 คนคอยเฝ้าระวังอยู่ และในตอนที่ศัตรูติดกับ, ให้ชิงผ้าโพกหัวมาซะและจับพวกเขาเป็นนักโทษหรือไม่ก็ปล่อยพวกเขาไป ในตอนที่จับนักโทษกับชิงผ้าโพกหัวมาได้แล้ว, ให้ 1 คนรีบวิ่งกลับมาส่งผ้าโพกหัวให้โมโม่ และพอส่งเสร็จเรียบร้อยก็ให้ย้อนกลับไปยังตำแหน่งที่เจ้าประจำการอยู่”
“ทราบครับ ท่านพันเอก”
กลุ่ม 3 ตอบกลับ
“ต่อไปกลุ่มสี่พวกเจ้าจะมีหน้าที่คุ้มกันธง 4 ผืน, ส่วนอีกผืนข้าจะเป็นคนเก็บเอาไว้เอง...ข้าจะให้พวกเจ้าแบ่งเป็นกลุ่ม 4 คนกระจายไปรอบเนินเขาและคอยปกป้องธง จำเอาไว้ว่าอย่าเลือกตำแหน่งที่ศัตรูสังเกตเห็นได้ง่ายๆหล่ะ”
“ทราบครับ ท่านพันเอก”
พวกเขาเองก็ตอบกลับตามระเบียบ
“แล้วก็กลุ่มสุดท้าย, ข้าจะให้พวกเจ้ากลุ่ม 5 เป็นกลุ่มสนับสนุน: พวกเจ้าจะมีหน้าที่คุ้มการฐานหลักของพวกเรา, ปกป้องโมโม่และปกป้องตัวเอง จำเอาไว้โมโม่คือคนที่เก็บผ้าโพกหัวทั้งหมดที่ได้จากศัตรูเอาไว้ ถ้ามีศัตรูคนอื่นมาชิงผ้าโพกหัวทั้งหมดที่พวกเราอุตส่าห์หามาได้, พวกเราก็จะพ่ายแพ้ในศึกนี้ และถึงแม้ว่าข้าจะมั่นใจทักษะของตัวเองในฐานะอัศวินชั้นพันเอก, แต่พวกเราก็ต้องคิดเผื่อในกรณีที่คาดไม่ถึงเอาไว้ด้วย ดังนั้น, ในเมื่อข้ามีธงอยู่กับตัวหนึ่งผืน, มันก็ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเจ้าด้วยเช่นกันในการคุ้มกันข้า”
“รับทราบครับ ท่านพันเอก”
กลุ่ม 5 ตอบกลับ
[เขตรอบนอกฐานของแกรี่]
มีทหารกลุ่มนึงซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าและต้นไม้อย่างเงียบกริบ, พวกเขากำลังรอให้เหยื่อเดินทางเข้ามาอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาวางแผนที่จะลอบโจมตีศัตรูของพวกเขา
พวกเขาได้เอาโคลนมาทาที่ใบหน้า, คอและมือของพวกเขาพร้อมกับเอากิ่งไม้, ใบไม้และใบหญ้ามาละเลงศรีษะของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามจะปกปิดผิวหนังของตัวเองให้แนบเนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันคงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนเจอตัวพวกเขาด้วยทักษะการอำพรางเช่นนี้
เบอร์รี่ แจ็คคือหนึ่งในทหารเหล่านี้ เขายืนอยู่หลังต้นไม้ต้นนึง, กำลังรอให้เหยื่อเข้ามาติดกับ, ในขณะที่ถือกิ่งไม้เอาไว้เป็นอุปกรณ์เสริมช่วยในการพรางตัวของเขา ในตอนนั้นเองก็มีอัศวินทั้งหมด 4 คนเดินเข้ามาในอาณาเขตของพวกเขา
ในตอนที่ศัตรูเข้ามาใกล้พอ, เบอร์รี่กับกลุ่มของเขาก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
เบอร์รี่พุ่งเข้าไปอยู่ข้างหลังหนึ่งในคนพวกนี้, และใช้นิ้วกดใบหูส่วนล่างของชายคนนั้นเข้าไปตรงช่องระหว่างกรามกับคออย่างเฉียบคม นี่คือจุดที่เรียกว่า ‘ต่อมน้ำเหลือบริเวณคอ’ จากนั้นเขาก็กำหูเอาไว้ในกำปั้น, แล้วกระชากใบหูจากล่างขึ้นบนแล้วบิดเข้าหาตัวเขา
อัศวินที่โดนบิดหูนั้น, รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างชาในทันที...แล้วเขาก็ล้มลงไปคุกเข่ากับพื้นโดยไม่รู้สึกตัว
จากนั้นเบอร์รี่ก็กระชากผ้าโพกหัวของอัศวินคนนี้ออกอย่างรวดเร็วและใช้เชือกมัดเขาเอาไว้เป็นนักโทษ ในเวลานี้เองกลุ่มของเขาก็จัดการเสร็จเรียบร้อย, พวกเขาพาทหารที่จับได้ไปยังบริเวณรอบนอกฐานของพวกเขา พวกเขาคิดว่าในเมื่อตอนนี้อัศวินพวกนี้ถูกตัดสินว่าตายไปแล้ว, พวกเขาก็น่าจะไม่สามารถแทรกแซงค่ายของพวกเขาได้อีก ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยทหารพวกนี้ไปและกลับไปที่ฐานหลักของพวกเขา
ในขณะนั้นเองแลนดอนก็กำลังจับตาดูผ่านหน้าจอของระบบ, เขาจดจำเบอร์รี่กับกลุ่มของเขาเอาไว้ในใจ โดยเฉพาะเบอร์รี่...เพราะในตอนที่ศัตรูมาถึง, เขาเป็นคนที่ส่งสัญญาณให้กลุ่มของเขาโจมตี
ถ้าเบอร์รี่ช้าไปเพียงไม่กี่วินาที, การลอบโจมตีนี้ก็คงจะล้มเหลวไม่เป็นท่า นอกจากนี้ความรวดเร็วและความแม่นยำของเบอร์รี่ในตอนที่จัดการกับศัตรูเองก็อยู่ในระดับยอดเยี่ยม คนอื่นๆเองก็เก่งใช้ได้เหมือนกัน, แต่ทักษะของเบอร์รี่นั้นมันเป็นไปตามธรรมชาติ, มันเหมือนกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักฆ่า
แลนดอนรู้สึกพึงพอใจ
[ค่ายของจอร์ช]
ในตอนที่เทรย์กับกลุ่มของเขาออกมาจากค่ายของมาร์ค, พวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะไปตรวจสอบรอบๆอาณาเขตของจอร์ชก่อน พวกเขารู้ว่าพันเอกจอร์ชนั้นมีนิสัยคล้ายกับพันเอกมาร์คของพวกเขา, เขาจะต้องให้คนประจำการอยู่รอบๆเขตของตัวเองแน่ๆ
กลุ่มของเทรย์นั้นตรวจดูต้นไม้อย่างละเอียด, แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่บนนั้นเลย, ดังนั้นพวกเขาจึงตัดวามเป็นไปได้ที่ฝั่งจอร์ชจะใช้บ้านต้นไม้เหมือนกับพวกเขาออกไป ในค่ายของพวกเขานั้น, มาร์คได้สร้างบ้านต้นไม้สำหรับอำพรางเอาไว้บนยอดต้นไม้ด้วยดิน, หญ้าและใบไม้
ในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไปในเขตของจอร์ชนั้นเอง, เทรย์ก็เจอกองหญ้าแห้ง, ใบไม้และกิ่งไม้ที่ดูน่าสงสัยกองนึง
เหตุผลเดียวที่เทรย์รู้สึกเอะใจก็เพราะหญ้าพวกนั้นดูเหมือนจะโตผิดที่เมื่อเทียบกับหญ้ารอบๆ
“พวกเจ้าคิดว่ากองหญ้าตรงนั้นมันดูแปลกๆไหม?”
เทรย์ถาม
“อืมมม, ก็ดูปกตินะครับ...ท่านคิดว่ามันมีอะไรแปลกๆหรอ?”
หนึ่งในลูกทีมของเขาถาม
“ข้าคิดว่าอัศวินของพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ในนั้นหน่ะ”
เทรย์ตอบในขณะที่พยักหน้า
อีก 3 คนตกใจ...กองหญ้านั้นเล็กมากจริงๆ, จะมีคนไปซ่อนตัวข้างในได้ยังไงกัน? มันน่าจะมีแค่เด็กเล็กๆเท่านั้นที่เข้าไปได้ไม่ใช่หรอ?....
เทรย์ไม่มั่นใจว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้องรึเปล่าแต่มันก็คงไม่เสียหายอะไรถ้าทำการตรวจสอบซ้ำอีกรอบ
“ข้าสงสัยว่าพวกนั้นอาจจะขุดหลุมเอาไว้ตรงนั้น, แล้ววางพวกใบไม้ใบหญ้าเอาไว้บนหัวของตัวเองในขณะที่รอศัตรูเข้ามา...แล้วในตอนที่ศัตรูผ่านด่านตรวจไปแล้ว, พวกนั้นก็จะออกมาจากหลุมแล้วไปรายงานสิ่งที่เห็นกับพันเอกจอร์ช...ข้าว่าข้ามีแผนนะ”