บทที่ 43: อย่าเกรงกลัวไป ข้าไม่เคยข่มเหงผู้อื่น
ดาริอัส พี่ชายของเคอรี่ผู้เป็นอัศวินระดับกลางเป็นเป้าหมายของภารกิจนี้
ในวันนี้ เขาให้องครักษ์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางห้าคนและผู้ติดตามระดับเริ่มต้นยี่สิบคนออกล่าเป้าหมายที่อยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากเมืองชายแดนไป 15 ไมล์
วิลเลียมวางกระดาษสีเหลืองลงหน้ากองไฟเพื่อส่องมันให้สว่าง ก่อนข้อมูลของภารกิจจะปรากฏขึ้น
[ภารกิจกระตุ้นใหม่]
[ลอบสังหารไวเคาท์ดาริอัส]
[ระดับภารกิจ : C]
[รายละเอียดภารกิจ : กำจัดเป้าหมายของภารกิจและผู้ติดตามโดยไม่ปล่อยให้เหลือรอดชีวิตสักคน]
[รางวัลภารกิจ : ค่าประสบการณ์ 20000 หน่วย]
[ภารกิจล้มเหลว : เมื่อมีคนเหลือรอดไปได้]
“เป้าหมายภารกิจเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง และนี่เป็นเพียงภารกิจระดับ C ค่าประสบการณ์น้อยชะมัด!” วิลเลียมขมวดคิ้ว แต่นี่เป็นเพียงแค่สัญญากับเคอรี่เรื่องทาสเท่านั้น ไม่ใช่รางวัลภารกิจที่เขามองหา
ในกระบวนการของการขยายเมือง สิ่งที่ต้องการคือคนจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่าในยุคที่ไม่มีไฟฟ้าและเครื่องจักรกล กำลังคนเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดเลยก็ว่าได้ มิฉะนั้น อาณาจักรมนุษย์คงไม่มีการจำกัดการค้าทาส
นอกเสียจากว่าผู้วิเศษอย่างโมเสสจะช่วยสร้างเมืองด้วยเวทมนตร์ให้กับเขา ว่ากันแล้วผู้วิเศษที่รอบรู้คนนี้สามารถสร้างเมืองได้เร็วกว่าทาสหนึ่งแสนคน…
เนื่องจากเป็นการลอบสังหาร มันจะดีกว่าหากไม่พาคนไปเยอะเกินไป… วิลเลียมคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตะโกนออกไป “น็อกซ์ รวบรวมหน่วยลาดตระเวน 100 คน ให้พวกเขาเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เราจะไปจัดการอะไรสักหน่อย”
“ครับท่านลอร์ด” น็อกซ์วิ่งออกไป
ไม่ต้องสงสัยกับความภักดีของเหล่าเอลฟ์เลย ไม่ว่าวิลเลียมจะสั่งให้พวกเขาไปฆ่าผู้คน หรือแม้แต่การขโมยเล็กๆน้อยๆพวกเขาก็จะยังติดตามไป ไม่อย่างนั้น จะเรียกพวกเขาว่าองครักษ์ส่วนตัวได้อย่างไร?
หากมีการต่อสู้ แล้วด้านหลังของพวกเขาเป็นแม่น้ำ พวกเขาจะไม่หลบหนี แต่จะสู้จนตัวตาย
เพื่อให้สามารถทำสิ่งที่ดีร่วมกันอย่างมีความสุขหรือแม้กระทั่งทำสิ่งที่เลวร้ายร่วมกัน นั่นคือชีวิตขององครักษ์ส่วนตัวอย่างพวกเขา
สิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณค่าและมุมมองชีวิตของพวกเขา…
“พวกเขาจะชินกับมัน อย่างไรพวกเขาก็รู้ว่าฉันเป็นครึ่งเอลฟ์ที่มีข้อบกพร่องมากมาย” วิลเลียมยืดตัวใส่ชุดเกราะชั้นใน แล้วสวมชุดเกราะหนังสีน้ำเงินที่สวมใส่สบาย จากนั้นก็หยิบชุดอาวุธแห่งรุ่งอรุณทั้งสามชิ้นขึ้นมาและเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง
………………..
“ที่แห่งนี้แหละครับ นายน้อย” หน่วยลาดตระเวนระดับกลางชี้ไปยังสถานที่ใกล้เคียงและกล่าวว่า “ตามรายงานของหน่วยลาดตระเวน รังของหมาป่าดำกลายพันธุ์ควรอยู่ที่นี่”
“ข้าหวังว่ามันจะเป็นเพียงอสูรเวทย์ระดับกลาง มิฉะนั้น การล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ผลิคงไร้ความหมายแล้ว!” ดาริอัสหรี่ตาเล็กน้อย
มีบางคนหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ทำไมท่านไม่ให้ทาสระดับเริ่มต้นบางคนวิ่งเป็นเหยื่อล่อ แล้วท่านค่อยตามล่าทีหลังล่ะ?”
ดาริอัสปรบมือเบาๆ “ฮ่าฮ่า ความคิดดียิ่ง แต่มาดูกันว่าหมาป่าสายฟ้านั้นร้ายกาจแค่ไหน มันสามารถเอาชนะแม้กระทั่งหน่วยลาดตระเวนทั้งกลุ่มด้วยตัวของมัน!”
“ฮ่าฮ่า กลุ่มนั่นอ่อนแอเองต่างหาก!”
“มีนายน้อยเพียงคนเดียวก็เท่ากับหน่วยลาดตระเวนสิบกลุ่มแล้วครับ!”
ดาริอัสหัวเราะร่วน ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว เดินหน้าต่อและเบิกตาของพวกเจ้าไว้เสมอ หากเราปล่อยให้หมาป่าดำกลายพันธุ์หนีไปได้ พวกเจ้าจะกลายเป็นเหยื่อแทน”
“ครับท่านลอร์ด” นอกจากองครักษ์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางสี่คนแล้ว คนที่เหลือต่างสั่นกลัวเพราะท่านไวเคาท์ตรงหน้านั้นดูวิปลาสจริงๆ…
หรืออาจกล่าวได้ว่า
ขุนนางของพวกมนุษย์ส่วนใหญ่มักสืบทอดลักษณะแปลกๆมาเสมอ
…………………………..
เคอรี่มองคนสิบคนตรงหน้าเขา มีผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้นแปดคนและคนที่เพิ่งขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางสองคน พวกเขาทั้งหมดถูกฝึกขึ้นมาอย่างลับๆ
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เหล่าพี่น้องทั้งหลาย ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้วว่าข้าจะสามารถสืบทอดตำแหน่งท่านเคาท์ได้หรือไม่”
“พวกมันมีมากกว่า 20 คน แล้วเราจะหยุดยั้งพวกมันได้อย่างไร? ทำไมเราไม่เรียกคนมาเพิ่มกัน? เห็นได้ชัดว่าเรากำลังจะไปตาย” นักรบคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด
“ข้าไม่ได้บอกว่าเราต้องจัดการด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาจะมีบางคนมาช่วยพวกเรากำจัดเป้าหมาย เราเพียงแค่รับผิดชอบอยู่ที่นี่และป้องกันไม่ให้พวกมันหนีออกไป” เคอรี่ส่ายศีรษะเบาๆ เมื่อเขามองไปยังคนที่กล่าวขึ้นมา ร่องรอยความเย็นชาก็ประกายขึ้นในดวงตาของเขา
…………………………….
ลอทเนอร์มองไปยังที่ที่มีคนรวมตัวกันและคิดว่าพวกเขามาล่าอสูรเวทย์หรือล้างเผ่าเล็กๆใกล้เคียงอาณาเขต แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่ามันคือการลอบสังหารต่างหาก…
“ท่านลอร์ด ท่านเข้าใจคำว่า ‘ลอบสังหาร’ ผิดไปหรือไม่?” ลอทเนอร์กลัดกลุ้มเล็กน้อย
วิลเลียมยักไหล่และพูดอย่างงุนงงว่า “การลอบสังหารหนึ่งคน สองคน หรือร้อยคน มันแตกต่างกันด้วยเหรอ?”
“เอ่อ...เสียงจะไม่ดังเกินไปหรือ?”
“เสียงจะดังมากไหมน่ะเหรอ? หากท่านใช้พลังการต่อสู้และตะโกนในป่า ไม่มีใครมาช่วยท่านภายในสามร้อยเมตรหรอก แม้ว่าท่านจะตะโกนจนเสียงแหบแห้งก็ตาม!”
“แล้วทำไมข้าต้องตะโกนจนเสียงแหบแห้งด้วย? ลำคอข้าก็ยังดีอยู่มาก”
“...”
วิลเลียมเลิกคิ้ว ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลำคอของคุณดีมากกันล่ะ?
พวกเขาทั้ง 100 คนไม่มีใครที่ขี่ม้า เหล่าเอลฟ์เดินขบวนเข้าไปในป่า ซึ่งมันจะเร็วกว่าตอนที่พวกเขาขี่ม้า
เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ล้วนเป็นเอลฟ์หน่วยลาดตระเวน ซึ่งมีความรวดเร็ว และไม่มีใครที่สวมใส่เกราะเหล็กทั้งนั้น พวกเขาทั้งหมดสวมเกราะหนังทำให้ในขณะที่เดินบนพื้นหรือปีนต้นไม้อยู่นั้นไม่มีเสียงเลยสักนิด นอกจากนี้ความว่องไวของเหล่าเอลฟ์สูงมากและใช้ค่าสเตมินาเพียงเล็กน้อย
เมื่อใกล้จะเที่ยงวัน
ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะของพวกเขานั้นทั้งกลมและยิ่งใหญ่ แต่มีเพียงแสงอาทิตย์เพียงเล็กน้อยที่สามารถผ่านเหล่าใบไม้และเปล่งประกายบนใบหญ้าแห้งกรอบที่พื้นดินได้
กลุ่มถูกแยกเป็นกลุ่มละ 10 คน พวกเขาสามารถสอดแนมและต่อสู้ได้ทุกเวลา
วิลเลียมกล่าวอย่างชัดเจนว่าภารกิจครั้งนี้คือสังหารคน
องครักษ์เอลฟ์ต่างประหลาดใจ แต่เขาก็ได้อธิบายไปนิดหน่อยว่าดาริอัสเป็นขุนนางมนุษย์ไร้จริยธรรมที่ฆ่าอสูรเวทย์ และพวกเราตั้งใจที่จะฆ่าเขา…
แต่ดาริอัสเป็นอย่างว่าไว้จริงหรือ?
เรื่องนี้ไม่สำคัญแม้แต่น้อย เมื่อวิลเลียมบอกว่าดาริอัสเป็น ‘ขุนนางมนุษย์ผู้ชั่วช้า’ เหล่าเอลฟ์ก็จะคิดถึงอดีตที่น่าเศร้า พวกเขาไม่เคยอ่อนข้อให้กับขุนนางมนุษย์ประเภทนี้ หากพวกมันมีหมื่นคน พวกเขาก็จะฆ่าทั้งหมื่นคน ด้วยวิธีอันแสนบ้าคลั่งมากมาย พวกเขาจะสามารถผลัดกันทรมานเหยื่อได้…
เวลาผ่านไป
วิลเลียมรู้สึกโชคดี เขาได้พบเข้ากับดาริอัสและคนของมันก่อน
“เราจะเริ่มเลยหรือ?” ลอทเนอร์, วิลเลียม, และน็อกซ์หลบอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน
มุมปากของวิลเลียมขยับเล็กน้อย “ไม่ใช่ น็อกซ์ ไปบอกให้คนอื่นๆล้อมพวกมันไว้ และปล่อยให้หมาป่าสายฟ้าระดับกลางกินแรงพวกมันซักพัก”
เขาเฝ้าดูดาริอัสตะโกนและแผดเสียงไม่ให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญรอบๆหมาป่าสายฟ้าทำลายขนของมันเสียหาย
แต่ด้วยการกระทำแบบนั้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามคนถูกหมาป่าสายฟ้ากัด
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ผิวหนังถูกเผาไหม้จนเป็นสีดำและมีควันสีเขียวลอยออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไฟฟ้าจากหมาป่าช็อต
หมาป่าดำแยกเขี้ยวที่เต็มด้วยเลือดที่ไหลออกจากปากของมัน ดูเหมือนว่ามันจะพ่นสายฟ้าออกมาตลอดเวลา แม้ว่าศักยภาพทางสายเลือดของหมาป่าสายฟ้าจะเฉลี่ยเท่าๆกัน แต่รูปร่างและขนของมันนั้นดูดีเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกมีผู้เล่นหลายคนชอบที่จะจับลูกหมาป่าสายฟ้ามาเป็นสัตว์เลี้ยง
หากความภักดีของหมาป่าสายฟ้าที่โตขึ้นสูงมากพอ มันก็สามารถเป็นสุดยอดคู่หูได้อย่างแน่นอน มันเร็วและแข็งแกร่งมากเมื่อกัดคู่ต่อสู้ในระยะใกล้ แต่ค่าพลังชีวิตของมันเมื่อเทียบกับอสูรเวทย์ตนอื่นๆแล้วก็เปรียบได้กับน้องชายตัวเล็ก การเตะที่เอวของมันจะเป็นการโจมตีแบบติดคริติคอล…
การแสดงออกของดาริอัสนั้นเยือกเย็น เขามองดูหมาป่าสายฟ้าฆ่าคนของเขาไปทีละคนๆ และตอนนี้เขาก็หมดความอดทนแล้ว เมื่อเขายกคันธนูและลูกศรขึ้นมาข้างๆ เขาก็กดมือลงบนไหล่และพึมพำว่า “มีบางคนกำลังมา แม้ว่าจะไม่มีเสียงหรือเจตนาที่จะฆ่า ฉันก็ยังรู้สึกถึงมัน”
“ฮ่าฮ่า หรือว่าจะเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาโดยน้องชายที่น่ารักของฉันกัน? ฉันรู้ว่าเขานั้นไม่ซื่อตรงหรอก” ดาริอัสหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นยิงธนู หมาป่าสายฟ้าที่ไม่เหลือพลังที่จะสู้แล้วถูกยิงเข้าที่หัวด้วยลูกศรและเต็มไปด้วยเลือดที่พุ่งออกมา
เขาเดินไปที่ผลงานของเขาและมองไปรอบๆอย่างไร้ระเบียบ “ออกมา ในฐานะนักฆ่า ข้าชื่นชมทักษะการซ่อนตัวของพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าไม่ไปฆ่าน้องชายของข้าแทนล่ะ? ข้าจะจ่ายให้พวกเจ้าสองเท่าเลย ดีไหม?”
ยังคงมีแต่ความเงียบ
“พวกเจ้ากลัวอะไรกันหรือ? แม้ว่าข้าจะมีคนอยู่มากมาย แต่ข้าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้าเลย อย่างที่ข้ากล่าวก่อนหน้านั้นว่า ข้าจะจ่ายให้พวกเจ้าสองเท่าเพื่อให้ไปฆ่าน้องชายของข้า!” ดาริอัสตะโกนอีกครั้ง
ทันใดนั้นวิลเลียมก็โผล่ศีรษะออกมาจากต้นไม้และกล่าวอย่างไม่ชอบมาพากลว่า “จริงหรือ?”
ดาริอัสหรี่ตา “โอ้ เจ้าเป็นเอลฟ์หรือครึ่งเอลฟ์กันล่ะ? อย่าได้กลัวไปเลยเพื่อนตัวน้อย ข้าดาริอัสผู้ดำรงตำแหน่งไวเคาท์นั้นไม่เคยห่มเหงรังแกผู้อื่น!”
“โอ้ ออกมาทุกคน อย่าเกรงกลัวไป ไอ้ขยะนี่จะไม่รังแกผู้อื่น” วิลเลียมปรบมือ
เสียงการเคลื่อนไหวขยับไปมาดังขึ้น
เหล่าเอลฟ์ลาดตระเวนที่ติดอาวุธพรั่งพร้อมออกมาจากหลังต้นไม้
ดาริอัสตื่นตระหนกและกระวนกระวายใจ
ผู้เชี่ยวชาญระดับกลางสี่คน…
และคนอื่นๆอีกมากมาย…