บทที่ 300 สายโลหิตสูญสิ้น
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ในเช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพของจักรวรรดิมังกรเวหาก็ได้เดินทางมาถึงอย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่ากองทัพของจักรวรรดินั้นไม่ได้ใหญ่โตนัก
พวกเขาส่งทหารมาเพียงสามหมื่นนายเท่านั้น แต่กลับปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามมากกว่ากองทัพที่มีกำลังพลสามแสนนายเสียอีก
ในบรรดาทหารทั้งสามหมื่นนาย อ่อนแอสุดก็ยังเป็นถึงนักสู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่แล้ว และมีถึงแปดพันนายที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว นอกจากนั้นยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้าหรือสูงกว่าอยู่อีกหนึ่งพันนาย
ไม่นานนัก กองทัพของอาณาจักรเสินหวู่ก็ตามมาสมทบ พวกเขาประกอบไปด้วยทหารจำนวนสองแสนนายและผู้นำทัพในครั้งนี้ก็คือเซี่ยอู๋หุ่ย แน่นอนว่าเขาจะต้องมีแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงอย่างไท่สื่อเจินคอยอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ
เซี่ยถิงเวยยังคงคาดหวังในตัวเซี่ยอู๋หุ่ยอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงยอมให้บุตรชายเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา
ในขณะเดียวกันเขาก็อยากให้บุตรชายได้สะสมประสบการณ์รบจากสงครามจริงอันหาได้ยากยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เจียงอี้ได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเซี่ยอู๋หุ่ยต่อหน้าทหารจำนวนนับไม่ถ้วนและยังบังคับให้เขาต้องละทิ้งคนของตัวเองไว้เบื้องหลังเพื่อหนีเอาตัวรอด
แม้ว่าจะพยายามปกปิดข่าวมากแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายเกินไป การที่เขาแสดงให้เห็นถึงความขี้ขลาดตาขาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นำทัพ ภาพเหล่านั้นได้ฝังลึกลงไปในใจของทหารแห่งอาณาจักรเสินหวู่นานแล้ว จะมีทหารคนใดบ้างที่อยากจะทุ่มเทชีวิตให้กับเจ้านายที่ทอดทิ้งตัวเองได้อย่างไร้เยื่อใย?
ในเวลาต่อมากองทัพที่สามก็เคลื่อนพลมาถึงด้านนอกกำแพงเมืองเซี่ยยวี่ พวกเขาคือกองทัพของอาณาจักรเซิ่งหลิงที่ประกอบไปด้วยทหารสองแสนนายซึ่งได้รับคำสั่งจากแม่ทัพเฒ่าโดยตรง
ตลอดทางกองทัพอาณาจักรเซิ่งหลิงนับว่าเป็นกลุ่มที่โหดเหี้ยมและดุร้ายมากที่สุด เนื่องจากการก่อจลาจลของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรก่อนหน้านี้ หากไม่นับอาณาจักรต้าเซี่ย มันก็คือพวกเขานี่แหละที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ดังนั้นพวกเขาจงลงมือเข่นฆ่าอย่างไร้ปรานีเพื่อล้างแค้น
เมื่อถึงยามบ่าย อาณาจักรเทียนเซวี่ยน อาณาจักรเป่ยเหลียงและอาณาจักรเป่ยหมางต่างก็ตามมาสมทบจนครบ
เมื่อรวมทุกกองทัพเข้าด้วยกันก็มีกำลังทหารมากกว่าหนึ่งล้านนายเลยทีเดียว!
กองทัพที่รวมตัวกันอยู่รอบเมืองเซี่ยยวี่หนาแน่นมากจนแทบไม่มีที่ให้ขยับตัว เกรงว่าแม้แต่ผึ้งตัวเดียวก็ไม่อาจบินผ่านเข้ามาได้
ที่ด้านบนของกำแพงเมืองเซี่ยยวี่เต็มไปด้วยทหารของอาณาจักรต้าเซี่ย พวกเขาทั้งหมดเข้าประจำตำแหน่งและพร้อมที่จะทำศึกตลอดเวลา
เมื่อนับรวมทั่วทั้งอาณาจักรแล้ว พวกเขาเหลือทหารเพียงแค่สามแสนนายเท่านั้น พวกเขาต่างก็ผูกผ้าสีดำไว้ที่มือราวกับว่าพร้อมที่จะสู้ตายกับข้าศึกที่กำลังจะบุกเข้ามา
ภายใต้การคุ้มกันของผู้เชี่ยวชาญตระกูลซู ซูตี๋หวังได้ขึ้นมาบนกำแพงเมืองทางเหนือพร้อมกับซูรั่วเสวี่ยผู้ซึ่งสวมชุดลายดอกบัวหิมะ ในเวลานี้ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเศร้าและรู้สึกไม่เป็นธรรม
พวกเขาถูกใส่ร้ายป้ายสีและไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้จึงทำให้ต้องถูกกองทัพของอาณาจักรอื่นปิดล้อม
นี่คือช่วงเวลาที่อาณาจักรต้าเซี่ยตกต่ำที่สุด ต่อให้คิดย้อนกลับไป พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อแน่ว่าอาณาจักรจะต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้
ด้านนอกกำแพง จิตสังหารอันเยือกเย็นหลั่งไหลออกมาจากทหารนับล้านชีวิต พวกเขาจ้องเขม็งเข้ามาภายในกำแพงเพื่อเสาะหาต้นตอของผู้ที่ทำให้ทวีปเกือบพินาศวอดวาย
“เซี่ยอู๋หุ่ย?”
สายตาของซูรั่วเสวี่ยตกกระทบอยู่บนร่างของชายหนุ่มผู้ซึ่งสวมชุดเกราะสีทองและมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันอยู่บนใบหน้า
รัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่ที่ครั้งหนึ่งเคยเอ่ยคำสาบานว่าจะปกป้องนางไปชั่วชีวิต แต่บัดนี้เขากลับเป็นผู้นำทัพมาเหยียบย่ำบ้านเกิดของนางและต้องการที่จะสังหารครอบครัวของนางเสียเอง!
ตึง! ตึง! ตึง!
กองทัพทั้งหกเรียงรายกันอยู่ที่ประตูเมืองทางทิศเหนือ เมื่อซูตี๋หวังปรากฏตัวออกมา ผู้นำทัพของจักรวรรดิมังกรเวหาหรือก็คือแม่ทัพหลงก็เดินออกมาด้านหน้าเช่นกัน
เขาชี้ปลายหอกไปด้านหน้าพร้อมกับคำรามด้วยเสียงอันกู่ก้อง
“ซูตี๋หวัง! เจ้าคือคนบาปแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์! การลักพาตัวธิดาแห่งจักรพรรดินีสัตว์อสูรนำมาสู่การก่อจลาจลของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรและยังทำให้ทั่วทั้งทวีปต้องตกอยู่ในอันตราย”
“หากเจ้าสำนึกในความชั่วช้าของตัวเองก็จงเปิดประตูเมืองและยอมแพ้ซะ! บางทีเจ้าอาจจะยังสามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ มิฉะนั้นเมืองเซี่ยยวี่ทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแม่น้ำเลือด!”
ทางด้านแม่ทัพเฒ่าแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขาพุ่งออกมาพร้อมกับม้าศึกคู่ใจ จากนั้นก็ตะโกน
“ซูตี๋หวัง! ชาวเซิ่งหลิงนับแสนชีวิตต้องถูกสังเวยไปภายในหายนะที่เจ้าก่อขึ้น หากเจ้าไม่เปิดประตูเมืองและยอมจำนนแต่โดยดี ตาเฒ่าผู้นี้จะทำให้แน่ใจว่าเมืองเซี่ยยวี่แห่งนี้จะต้องสูญหายไปจากแผนที่โลกตลอดกาล!”
ผู้นำทหารทั้งหมดได้ก้าวออกมาและกล่าวอ้างถึงความชอบธรรมซึ่งต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่าให้ซูตี๋หวังยอมจำนน
ทั้งหมดนี่ก็เนื่องมาจากอาณาจักรต้าเซี่ยยังคงหลงเหลือกองทัพที่มีจำนวนทหารถึงสามแสนนายและยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกจำนวนไม่น้อยซึ่งสั่งสมมานานหลายปี
หากพวกเขาทำสงครามกันขึ้นมาจริงๆ แน่นอนว่าฝ่ายพันธมิตรหนึ่งจักรวรรดิห้าอาณาจักรย่อมเป็นฝ่ายได้ชัยอยู่แล้ว แต่พวกเขาเองก็จะต้องสูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน
ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดหากคำพูดข่มขู่ของพวกเขาได้ผลและไม่ต้องสูญเสียกำลังพลไปอย่างสูญเปล่า
แต่ไม่น่าเชื่อว่ามีเพียงเซี่ยอู๋หุ่ยเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเงียบ เขาเพียงแค่จ้องมองซูตี๋หวังและซูรั่วเสวี่ยซึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองอย่างใจเย็น
หลังจากที่ได้รับประสบการณ์มาก่อนหน้านี้ เขาก็เติบโตขึ้นไม่น้อยและตระหนักได้ว่าคมหอกและคมดาบนั้นมีน้ำหนักมากกว่าคำพูด
เมื่อเห็นอดีตคู่หมั้นไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา ร่างของซูรั่วเสวี่ยก็สั่นเทาด้วยความโกรธ จากนั้นนางก็ตะโกนสุดเสียง
“เซี่ยอู๋หุ่ยในฐานะผู้นำทัพแห่งอาณาจักรเสินหวู่ เจ้าไม่คิดจะกล่าวอะไรออกมาเลยหรือ? หรือเจ้ากำลัง… รู้สึกผิด?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยอู๋หุ่ยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะตอบกลับไป
“ทำไมข้าจะต้องรู้สึกผิดด้วย? ข้ามีความตั้งใจที่จะแต่งงานกับเจ้าและครองคู่กันในชีวิตนี้ แต่เพราะเสด็จพ่อของเจ้าได้กระทำบาปอันไม่อาจให้อภัยได้ ข้าจึงถูกบังคับให้ต้องมายืนอยู่ตรงนี้!”
“หากต้องให้เลือกระหว่างศีลธรรมกับความรู้สึกส่วนตัว ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องเลือกอย่างแรกและข้ามาที่นี่ก็เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้บริสุทธิ์ที่ตายไป!”
“สารเลว!”
ราชาซูตี๋หวังกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ แต่ทันใดนั้น จู่ๆเขาก็เหมือนกับจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ไม่ใช่ว่าในสงครามเมื่อยี่สิบปีก่อน ซูตี๋กั๋วถูกจับเป็นเชลยศึกหรือ? อาณาจักรต้าเซี่ยต้องจ่ายออกไปจำนวนมหาศาลเพื่อไถ่ตัวเขากลับมา แต่ซูตี๋หวังจำได้ว่าตอนนั้นพรสวรรค์ของซูตี๋กั๋วไม่ได้โดดเด่นนัก
แต่ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่ปีต่อมาเขาจะบรรลุเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดผู้ยิ่งใหญ่
แรกเริ่มเดิมที ซูตี๋หวังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมซูตี๋กั๋วถึงได้มีส่วนร่วมในการลักพาตัวธิดาของจักรพรรดินีสัตว์อสูร แต่ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
แท้จริงแล้วซูตี๋กั๋วทรยศอาณาจักรตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนและยอมเป็นตัวหมากให้อาณาจักรเสินหวู่คอยชักใย
เมื่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวจิ้งจอกน้อยพบว่าแผนการล้มเหลว พวกเขาก็ได้เตรียมแผนสำรองไว้โดยใช้อาณาจักรต้าเซี่ยเป็นแพะรับบาป!
“เจียงเปี๋ยหลี!”
ทันใดนั้นเงาร่างของชายผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่ในใจของซูตี๋หวัง อีกทั้งยังเป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้เขาฝันร้ายมาตลอดหลายสิบปี มีเพียงอัจฉริยะปีศาจจากอาณาจักรเสินหวู่ผู้นี้เท่านั้นที่จะสามารถวางแผนการอันชั่วร้ายและแยบยลขนาดนี้ได้
แต่แล้วยังไง? แม้ว่าความจริงจะถูกเปิดเผย แต่ซูตี๋หวังก็ไม่คิดที่จะกล่าวอะไรออกมาเพราะทราบดีว่ามันสายเกินไปแล้ว เขาทำได้แค่สาปแช่งและสลักความแค้นลงไปในหัวใจก่อนจะตายเท่านั้น
ทันใดนั้นภาพลักษณ์ของราชาผู้ขี้ขลาดได้สูญสลายไปและถูกแทนที่ด้วยความอาฆาตพยาบาทขณะเอ่ย
“จะพูดให้มากความไปใย? หากอยากจะบุกนักก็เข้ามาเลย! ชาวต้าเซี่ยจะตายในฐานะวีรบุรุษและจะไม่ยอมก้มหัวให้พวกเจ้าเยี่ยงคนขี้ขลาด!”
“แต่จงจำไว้ให้ดี หนี้แค้นในครั้งนี้จะถูกลูกหลานตระกูลซูชดใช้คืนเป็นร้อยเท่าในอนาคต!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
แม่ทัพเฒ่าแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ซูตี๋หวัง เจ้าคิดว่าตระกูลซูยังเหลือทายาทให้กลับมาแก้แค้นได้อีกรึ? จริงสิ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าสมาชิกตระกูลซูทั้งเก้าร้อยกว่าชีวิตของเจ้าได้ไปพบยมบาลหมดแล้ว!”
“หากไม่เชื่อ ก็จงถามองค์ชายอู๋หุ่ยไม่ก็แม่ทัพหลงดู!”
“แค่ก…”
เมื่อได้ยินคำพูดอันโหดเหี้ยมดังกล่าว ดวงตาของซูตี๋หวังก็เบิกกว้างขณะที่กระอัดเลือดออกมาก่อนจะหมดสติไปเพราะไม่อาจรับความจริงได้
“ท่านแม่… พี่น้องของข้า…”
ร่างอันบอบบางของซูรั่วเสี่ยแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับคนตาย นางโซเซไปข้างหลังจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
แม้แต่สมาชิกตระกูลซูที่เหลือเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน พวกเขาทั้งโกรธแค้นและโศกเศร้าอย่างถึงที่สุด
หากว่าทายาทที่อพยพไปก่อนหน้านี้ถูกสังหารจนสิ้น เช่นนั้นมันก็จะเป็นการตัดตอนสายเลือดตระกูลซูทั้งหมด เกรงว่าในอนาคต พวกเขาคงจะไม่มีโอกาสกลับมาแก้แค้นได้อีกต่อไป
“ฆ่า!”
หนึ่งในสมาชิกรุ่นอาวุโสของตระกูลซูกู่คำรามพร้อมกับระเบิดจิตสังหาร ทันใดนั้นเขาก็ชักกระบี่ออกมาและทะยานลงไปด้านล่างเพื่อห้ำหั่นกับกองทัพนับล้านอย่างไม่กลัวตาย…