บทที่ 25 เต้นรำครั้งแรก
“ฉันสอนนายได้นะ” ซูจิ้งเหวินที่นิ่งงันไปพักหนึ่งได้สติกลับมา เธอเองก็รู้ดีว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างของเธอเท่านั้น ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นๆ เข้ามาแทรกกลางชวนเธอไปเต้นก่อนล่ะก็ เธอคงจะปฏิเสธคนเหล่านั้นได้ลำบาก
แน่นอนว่าหลังจากที่ซูจิ้งเหวินพูดจบผู้คนรอบๆ ก็หันมามองเธอทันที สอนเขาเต้นรำ? เวลาสั้นๆ แค่นี้จะเรียนได้หรือ?
“จิ้งเหวิน เอาอย่างนี้เป็นไง รอบแรกนี้ให้เริ่มไปก่อน ผมจะเป็นคู่เต้นให้เอง อีกสักพักผมจะเรียกนักเต้นมืออาชีพมาสอนเย่โม่ดีไหม” ผู้พูดกลับเป็นวังเผิงที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้
เขามาที่นี่ได้อย่างไร? เมื่อเย่โม่หันไปเห็นวังเผิง ตัววังเผิงเองก็มองมาทางเขาด้วยแววตาเย็นเยียบเช่นกัน นัยของการข่มขู่ตักเตือนฉายชัดในดวงตาของวังเผิง
เย่โม่เริ่มระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากความเป็นอริของวังเผิง แต่เพราะมือของวังเผิงหายดีแล้วเขาจึงรู้สึกระแวงขึ้นมา แน่นอนว่าเย่โม่รู้จักทักษะของตัวเองดี ใช้พลังปราณเพียงเล็กน้อยเข้าไปฝังในกระดูก ระดับวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันไม่มีทางขจัดปราณในข้อมือของเขาได้แน่ๆ
ถ้าอยากรักษาข้อมือนั้นให้หายขาดล่ะก็ อย่างน้อยก็ต้องได้ปรมาจารย์ด้านอวัยวะภายในที่เข้าถึงลมปราณแล้ว หรือไม่ก็จอมยุทธเท่านั้นช่วยรักษาให้
มีปรมาจารย์แบบนี้ด้วยหรือ? ดูท่าหลังจากนี้เขาต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว
เขายังไม่อาจวัดระดับความสามารถของยอดฝีมือในโลกนี้ได้ ในใจเขาจึงเกิดระแวงขึ้นมา ถึงแม้ที่แห่งนี้จะไม่เคยมีผู้ฝึกปราณปรากฏขึ้น ทว่าเรื่องแบบนี้ใครจะยืนยันได้กัน? เขาคงไม่ใช่คนเดียวที่ซ่อนตัวภายในเมืองหรอก อีกอย่างผู้ฝึกวิทยายุทธทั่วๆ ไปเองก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ฝึกจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว ผู้ฝึกปราณทั่วๆ ไปคงไม่ใช่คู่มือของคนเหล่านี้ ถึงแม้ตัวเย่โม่เองจะฝึกฝนทั้ง 2 ด้าน แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ ท้ายที่สุดแล้วระดับยุทธของเขาก็ยังถือว่าต่ำมากอยู่ดี
“ไม่จำเป็นหรอก เย่โม่ ให้ฉันสอนนายดีไหม?” ซูจิ้งเหวินปฏิเสธข้อเสนอของวังเผิงทันที
เย่โม่ยิ้มบางๆ ถ้าหากวังเผิงไม่มาเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเรียนเต้นรำพวกนี้ได้ภายใน 15 นาทีหรือเปล่า แต่ในเมื่อวังเผิงเดินเข้ามาหาและยังเพ่งเล็งมาที่เขาแบบนี้ ตัวเขาเย่โม่ก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด ถ้าวังเผิงยังกล้ามาหาเรื่องเขาล่ะก็ เย่โม่ก็ไม่ว่าอะไรถ้าจะต้องปะทะกับปรมาจารย์เบื้องหลังของวังเผิงดูสักครั้ง
“เอาสิ! แต่ไม่ต้องสอนหรอก พูดทฤษฎีให้ผมฟังรอบเดียวก็โอเคแล้ว” เมื่อวังเผิงได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ่งรำคาญไอ้คนบ้านนอกนี่ยิ่งขึ้นไปอีก สอนแค่รอบเดียวก็เป็นแล้ว? คนรอบๆ ไม่มีใครเชื่อสักคนเดียว แม้แต่ตัวซูจิ้งเหวินเองยังไม่เชื่อเลย แต่เธอเองแค่ต้องการให้เย่โม่ช่วยเธอทำหน้าที่นี้ให้เสร็จๆ ไปก็เท่านั้น
แต่ในเมื่อเย่โม่พูดมาแบบนี้ ซูจิ้งเหวินจึงพูดถึงการเต้นรำแบบวอลซ์ให้เย่โม่ฟัง แถมยังสาธิตท่าทางการเคลื่อนไหวให้เย่โม่อีกด้วย
เมื่อเย่โม่ฟังซูจิ้งเหวินพูดจบเขาก็พูดยิ้มๆ “ทำได้ล่ะ”
เวลานี้เองที่เพลงแรกได้เริ่มต้นขึ้น...
คนอื่นๆ ล้วนมองมายังเย่โม่และซูจิ้งเหวินที่ก้าวเข้าไปในฟลอร์เต้นรำ พวกเขาเหล่านี้อยากจะรู้ที่ว่าทำได้ของเย่โม่นี่เป็นแบบไหนกันแน่ มีแม้กระทั่งคนที่รอให้เย่โม่แสดงความน่าอับอายออกมา
หนิงชิงเชวี่ยมองเย่โม่อย่างเงียบๆ เธอรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของเย่โม่นั้นแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
เย่โม่จับมือของซูจิ้งเหวินเอาไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้าจมูกทำให้เย่โม่เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมา นอกจากครั้งที่อาจารย์พาเขาหนีตอนนั้นแล้ว เดิมทีเขาไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงขนาดนี้มาก่อน หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น
ถึงแม้ครั้งที่แล้วอาจารย์ลั่วอิ่งจะกอดแล้วพาเขาหนีออกมาก็จริง แต่ช่วงเวลาที่ว่านั้นก็สั้นนัก เขายังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรก็หมดสติไปเสียก่อน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เขาจับมือซูจิ้งเหวินด้วยความตั้งใจของเขาเอง เขาทำแม้กระทั่งพลิกร่างของซูจิ้งเหวินเต้นหมุนไปมา
“เย่โม่ นายหลอกกันงั้นหรือ เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยว่าเต้นไม่เป็น แต่ที่นายเต้นตอนนี้ถือว่าไม่แย่เลย ฉันไม่เชื่อแน่ๆ ว่าแค่ฟังฉันพูดรอบเดียวก็เต้นได้ดีขนาดนี้แล้ว” ซูจิ้งเหวินที่เต้นกับเย่โม่รู้สึกทันทีว่านี่คงไม่ใช่การเต้นรำครั้งแรกของเย่โม่ การเต้นประสานเข้ากับจังหวะของเพลงเขาทำได้ดีกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ
แต่เย่โม่ก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาฟังรอบเดียวแล้วทำได้เลย เขาอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะให้เขาบอกซูจิ้งเหวินหรือว่าเขามีสัมผัสทางจิต? ท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านี้เมื่อเทียบกับทักษะยุทธที่เขาฝึกแล้วถือว่าง่ายกว่าเยอะ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถามกลับ “ปกติเธอเต้นรำบ่อยหรือ?”
ซูจิ้งเหวินถูกเย่โม่จับมือเอาไว้ทั้ง 2 ข้าง เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากฝ่ามือของเย่โม่ บางครั้งที่เธอได้สัมผัสกับตัวของเย่โม่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังเล่นอยู่กับไฟ กลิ่นอายของชายชาตรีทำให้ซูจิ้งเหวินรู้สึกมึนเมาอยู่บ้าง ทว่าลมหายใจของเขากลับทำให้เธอรู้สึกสงบสุข นี่เขาเป็นแค่นักศึกษาจริงๆ หรือ?
เหล่าผู้คนโดยรอบเมื่อได้เห็นจังหวะการเต้นที่ประสานกันของเย่โม่กับซูจิ้งเหวิน ล้วนเข้าใจตรงกันว่าแท้จริงแล้วเย่โม่ก็แค่แกล้งเต้นไม่เป็นเท่านั้น ชายคนนี้เสแสร้งได้เหมือนจริงๆ มิน่าเล่า ในยุคนี้จะมีคุณหญิงคุนชายที่เต้นรำไม่เป็นอยู่อีกได้อย่างไร
วังเผิงโกรธจนหน้าแดง เขารู้สึกเหมือนถูกเย่โม่ปั่นหัวเล่น ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียมาก เย่โม่ถูกจัดอยู่ในบัญชีแค้นของเขาเช่นเดียวกับเจ้าคนขายยันต์คนนั้นอย่างรวดเร็ว
หนิงชิงเชวี่ยมองไปยังฟลอร์เต้นรำที่เย่โม่กับซูจิ้งเหวินกำลังเต้นประสานกันอย่างเข้าขาอยู่ เธอฟังเสียงเพลงที่บรรเลงอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ แต่ใบหน้าของเธอกลับสงบนิ่งเอามากๆ
เมื่อเพลงหยุดลง ซูจิ้งเหวินราวกับยังรู้สึกค้างคา แต่เมื่อได้ยินเสียบปรบมือรอบๆ ตัวเธอจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเพลงได้จบลงแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง คนอื่นๆ เริ่มทยอยหาคู่เต้นเดินเข้าฟลอร์
ขณะที่วังเผิงกำลังคิดจะชวนซูจิ้งเหวินเต้นรำอีกครั้งนั้นเองเขาก็หันไปเห็นหนิงชิงเชวี่ย แววตาของวังเผิงสว่างวาบขึ้น เขารีบเดินเข้าไปหา “สวัสดี ผมชื่อวังเผิง ไม่ทราบว่าคุณจะให้เกียรติผมเต้นรำด้วยกันสักเพลงได้ไหม?”
หนิงชิงเชวี่ยมองวังเผิงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง เธอไม่แม้จะตอบกลับด้วยซ้ำ เธอเดินตรงไปยังด้านหน้าของเย่โม่แล้วพูดขึ้น “เย่โม่ เมื่อครู่ฉันยังพูดไม่จบเลย เรามาคุยกันต่อดีไหม?”
ทิ้งไว้เพียงวังเผิงที่ใบหน้ายิ่งขาวซีดไปด้วยความโกรธ
แน่นอนว่าซูจิ้งเหวินรู้เรื่องที่หนิงชิงเชวี่ยถอนหมั้นเย่โม่แล้ว แต่ที่เธอไม่รู้ก็คือว่าเพราะอะไรหนิงชิงเชวี่ยถึงได้เอาแต่ตามหาเย่โม่แบบนี้ หรือว่ายังมีเรื่องอื่นอีก?
ขณะที่ซูจิ้งเหวินกำลังจะเอ่ยปากนั้นเอง หลี่มู่เหมยก็เดินเข้ามาลากซูจิ้งเหวินออกมา “จิ้งเหวิน ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอหน่อย ไปกันเถอะ?”
พอเห็นซูจิ้งเหวินเดินออกไปไกลแล้ว เย่โม่ก็หันมามองหนิงชิงเชวี่ย “พวกเราไปหาที่นั่งกันเถอะ” ทีแรกเย่โม่กะว่าเต้นรำเสร็จก็จะจากไปทันที แต่เพราะหนิงชิงเชวี่ยเขาจึงถูกรั้งไว้อีกครั้ง
วังเผิงจ้องมองหนิงชิงเชวี่ยผู้งดงามราวกับเทพเซียนถูกเย่โม่พาเดินจากไป ถึงภายในใจเขาจะคันยุบยิบด้วยความโกรธแต่เขาก็ไม่มีวิธีอะไรอีก ได้แต่คิดว่าจะได้จัดการไอ้หนุ่มคนนี้ตอนไหนเท่านั้น
เมื่อหามุมนั่งเงียบๆ ได้แล้วเย่โม่ก็ถามขึ้นตรงๆ “ผมไม่ใช่คนตระกูลเย่จากปักกิ่งอีกแล้ว พูดได้ว่าพวกเรามันอยู่กันคนละโลกแล้ว แล้วมาหาผมด้วยเรื่องอะไรล่ะ?”
หนิงชิงเชวี่ยเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น “เย่โม่ ฉันไม่อยากจะพูดตรงนี้ คืนนี้ขอฉันไปที่บ้านของนายได้ไหม ต้องขอโทษด้วยนะ แต่ฉันอยากให้นายช่วยอะไรหน่อย...”
“อะไรนะ!?” ตอนแรกเย่โม่ยังคิดว่าตัวเองฟังผิดไป ผู้หญิงอย่างหนิงชิงเชวี่ยขอไปที่บ้านของเขาคืนนี้ด้วยตัวเอง? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวแบบไหนก็ตาม แต่นี่เหมือนจะไม่ถูกต้องไปหน่อยนะ!