SB:ตอนที่ 3 สุนัขพันธ์ยักษ์
SB:ตอนที่ 3 สุนัขพันธ์ยักษ์
การพัฒนาของต้าเฮยต้องใช้เวลา ซึ่งลู่หยางคาดหวังกับมันมาก เขารู้ถึงประโยชน์ของการเป็นผู้ฝึกอสูร พลังงานอบอุ่นแล่นเข้าร่างกายจากต้าเฮย เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายเขา เขารู้สึกพลังกายเขาแข็งแกร่งขึ้นหกสิบถึงเจ็ดสิบกิโลกรัม
“..”
ต้นไม้เก่าแก่สูงค้ำฟ้า เถาวัลย์พัวพัน สัตว์อสูรดุร้ายเพ่นพ่าน สัตว์อ่อนแอถูกสัตว์แข็งแกร่งกลืนกิน ผู้ล่าถูกล่าโดยผู้ล่าที่แกร่งกว่า ป่าแห่งนี้อยู่รอดได้ด้วยกฎแห่งการเอาชีวิตรอด!”
“อู๋ว!”บางแห่งในป่า สุนัขป่าสีเทากำลังสั่นและส่งเสียงครวญคราง ทว่า สิ่งที่มันกำลังกลัวคือต้าเฮย”
“คำราม!” ขนาดต้าเฮยนั้นใหญ่โต ตัวมันแข็งแกร่งนัก มันคืออสูรสงครามของลู่หยางที่พัฒนาร่าง เขาแทบจำมันไม่ได้เมื่อเห็นมัน ตัวมันใหญ่ขึ้นเท่าตัว ส่วนสูงมันเท่าเอวเขา กรงเล็บมันยาวและแหลมคมขึ้น
“สุนัขทมิฬสงคราม(อสูรดุร้ายชั้นต้น มีเสี้ยวสายเลือดปราชญ์และศักยภาพในการพัฒนาสายเลือด)” นี่คือข้อมูลต้าเฮยหลังการพัฒนา มันพัฒนาจากอสูรไปเป็นอสูรชั้นต้น จากนี้ไปมันมิใช้สุนัขธรรมดาอีกต่อไป
หลังการพัฒนา ความเร็วของมันเพิ่มขึ้น มันแกร่งขึ้น สุนัขป่าตัวโตไม่สามารถหลบการโจมตีของมันได้ และถูกตรึงลงโดยต้าเฮย สุนัขป่าตัวนี้เป็นเพียงอสูรดุร้ายธรรมดา มันมิอาจต่อกรกับอสูรดุร้ายชั้นต้นได้ นี่คือความแตกต่างของระดับชั้นของอสูร
“อู๋วว!” ศรพุ่งทะลุหัวของสุนัขป่าราวกับสายฟ้าทมิฬ ศพของมันกระเด็นไปติดต้นไม้ใหญ่
“หลังจากที่ข้าเป็นผู้ฝึกอสูรชั้นต้น ร่างกายข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก แค่ข้าสะบัดแขนมันมีพละกำลังถึงสองร้อยกิโลกรัม เกาทัณฑ์นี้มิอาจรองรับพละกำลังข้าอีกต่อไป” ชายหนุ่มเดินออกมาจากป่าทึบ เขาโยนเกาทัณฑ์ในมือทิ้ง เขาเป็นใครไม่ได้นอกจากลู่หยาง!” หลังจากต้าเฮยเป็นอสูรชั้นต้น ร่างกายเขาแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม สามารถฆ่าอสูรเพียงศรเดียว ในการปะทะซึ่งหน้าเขาไม่เกรงกลัว
“ด้วยกำลังข้าตอนนี้ ตระกูลข้า ชีวิตข้าจะดีขึ้น!”
ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นต้องเหนื่อย เขาออกมาหุบเขาเพียงหนึ่งชั่วยาม ทว่า เขาได้อสูรดุร้ายกลับไปถึงสามตัว เทียบเท่ากับการออกล่าทั้งเดือนในอดีต
หากเป็นอดีต เขาไม่บังอาจต่อกรกับอสูรดุร้ายเช่นนี้ เขาล่าแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย
“น้องข้ายังเด็กและกำลังเติบโต เขาต้องกินเนื้อสัตว์อสูร หรือกระทั่งอสูรดุร้าย!” ลู่หยางพอใจในความแข็งแกร่งของเขาเอง ขณะเดียวกันเขาก็วางแผนอนาคตของน้องชายเขา เนื้ออสูรมีแก่นพลังงานมหาศาล
เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่น ลู่หยางนำศพสุนัขป่า1ตัวกลับตระกูล ส่วนอสูรร้ายอีกสองตัวเขาให้ต้าเฮยกินมัน แม้กระนั้นซู่หลานยังตกตะลึง ในเมืองชิงหยางสุนัขป่าถือเป็นอสูรดุร้ายในหุบเขาซึ่งเจ้าเล่ห์เพทุบายทั้งว่องไว ปกติแล้วจำเป็นต้องใช้นักล่าอาวุโสมากประสบการณ์จับกลุ่มวางกับดักเพื่อฆ่ามัน ทว่าลู่หยางฆ่ามันด้วยตัวคนเดียว
“ท่านแม่ วันนี้ข้าโชคดีนักสุนัขป่าตัวนี้หลงเข้ามาในกับดักข้า” ลู่หยางอ้างเหตุผล เขายังไม่ต้องการเผยความจริงที่เขาเป็นผู้ฝึกอสูร วิชาฝึกอสูรที่เขาฝึกก็ไร้ที่มา มันอาจเกี่ยวข้องกับตระกูลเก่าแก่ในเมืองชิงหยางและก่อปัญหาตามมาได้ เขาได้แอบอ่านสารลับ ทว่ามันมีสัญลักษณ์ประหลาด คล้ายเป็นรหัสลับซึ่งต้องใช้วิธีการเฉพาะในการทำความเข้าใจ มันยิ่งทำให้เขา ระมัดระวัง เขาเกรงว่าภารกิจนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ต่อไปเจ้าอย่ายุ่งกับอสูรเช่นนี้อีก มันอันตรายเกินไป” มารดาซู่มองไปที่ลู่หยางอย่างกังวล นางคิดว่าเขาแปลกไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่มิอาจบอกได้ว่าอย่างไร
“โอ้ะ นั่นเนื้อสัตว์ ท่านแม่ข้าอยากทานเนื้อสัตว์” น้องชายเขา ลู่หลี่กระโดดอย่างยินดี เขาดีใจเมื่อมีเนื้อสัตว์ให้กิน
“เยี่ยม แม่จะทำอาหารให้เจ้าเลย เจ้าจะโตเร็วขึ้นเมื่อเจ้ากินเนื้อสัตว์” มารดาซู่ยิ้ม มีแววแห่งความหวังในดวงตานาง นางหวังว่าลูกชายคนเล็กของนางจะเติบโตมาช่วยเหลือพี่ชายของเขา
“ฮึ่ม ข้าต้องโตให้เร็ว และเป็นนักล่าที่แข็งแกร่งเช่นพี่ชายข้า” เขาเทิดทูนพี่ชายของเขาตั้งแต่ยังเด็ก
“ฮ่าๆ” เจ้าจะเติบโตมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าซะอีก” ลู่หยางกอดน้องชายเขา เขามีความสุขกับความรู้สึกอันอบอุ่น
ในวันต่อมา ลู่หยางพาต้าเฮยไปฝึกในหุบเขารวมถึงทำความคุ้นเคยกับพลังของผู้ฝึกอสูรทำให้การประสานของทั้งสองเข้าขากันขึ้นมาก ทว่า การเปลี่ยนแปลงของต้าเฮยมิอาจปกปิดจากมารดาซู่ได้ นางตกตะลึง แต่มืได้เอ่ยปากถาม
“อ้า เจ้าหยางนี่ช่างเก่งจริงๆ เขามิอาจอยู่แต่ในเมืองเล็กๆอย่างชิงหยางนี่ได้อีก” ซู่หลี่มองไปที่ชายหนุ่มกับสุนัขที่เดินจากไป นางถอนหายใจ พร้อมกับกังวล มิมีผู้ใดรู้ว่านางกังวลเรื่องอันใด
ลู่หยางมิได้รับรู้ความแปลกใจของมารดา หลายวันที่ผ่านมา เขาคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งของตนมากขึ้น แต่นี้เป็นต้นไปเขาตั้งใจจะล่าอสูรดุร้ายเป็นเหยื่อ
ทว่ามันไม่ง่ายที่จะหาอสูรร้ายที่เหมาะสมในหุบเขากว้างนี้ หากเขาโชคไม่ดีอาจเจออสูรร้ายด้วยสายเลือดชั้นสูง ด้วยกำลังของลู่หยางในตอนนี้เขาอาจสิ้นชีพ ทว่าลู่หยางนั้นต่างออกไป เขามีระบบฝึกอสูร
“ติ๊ง พบงูพิษสองตัว อสูรชั้นต้น สายเลือดธรรมดา แปดเมตรด้านหน้า” หลังจากเดินมาสี่ชั่วยาม เสียงระบบดังขึ้น
ระบบตรวจสอบทำให้เขาค้นพบอสูรในระยะร้อยเมตร ลู่หยางสามารถเลี่ยงอสูรที่แข็งแกร่งเกินไปได้
แม้งูทั้งสองจะมีสายเลือดธรรมดา แต่ข้ายังมิอาจต่อกรกับมันได้” ลู่หยางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
แม้ร่วมมือกันระหว่างลู่หยางกับต้าเฮย แต่มันก็ยังยากเกินไปสำหรับอสูรชั้นต้นสองตน ยิ่งกว่านั้นหากเขาถูกพิษ เขาคงมิอาจมีชีวิตรอดไปได้
“ติ๊ง พบเหยี่ยว อสูรชั้นต้น สายเลือดธรรมดา
“ติ๊ง พบสุกรโลหิตแดงสองตน อสูรชั้นต้น ระดับธรรมดา
เขายิ่งเข้าไปในป่าลึกและยิ่งพบอสูรมากขึ้น บางทีเขาพบอสูรสายเลือดชั้นยอด กระทั่งอสูรเวหา ทว่ามันไม่เหมาะที่ลู่หยางจะต่อกรกับมัน
“ติ๊ง พบสุนัขยักษ์มาสทิฟ อสูรชั้นต้น สายเลือดธรรมดา” เสียงระบบเตือนจิตใจเขาที่กำลังกระวนกระวาย
สุนัขมาสทิฟเป็นอสูรดุร้ายร่างมันใหญ่โตกว่าต้าเฮย ยี่สิบเมตรข้างหน้า ลู่หยางมองมันกำลังเคี้ยวอาหาร ลู่หยางมิค่อยมั่นใจ ทว่าในเมื่อมาแล้ว เขาไม่มีเหตุผลต้องหนี
“ต้าเฮย จัดการ” ลู่หยางเมื่อเห็นจังหวะเหมาะสมจึงออกคำสั่ง
"โฮก!” สุนัขมาสทิฟยักษ์เห็นมัน มันคำรามราวกับเตือนต้าเฮย ราวกับเงาทมิฬ มันกระโจนใส่สุนัขมาสทิฟ การปะทะระหว่างอสูรร้ายนั้นดุเดือนโชกเลือด ทั้งสองฟาดฟันด้วยเขี้ยว กรงเล็บ ต่างฝ่ายต่างทิ้งรอยแผลไว้ให้แก่กัน ทว่าต้าเฮยดูเหมือนจะยังด้อยกว่าสุนัขยักษ์ตนนี้
“โฮก!”ต้าเฮยคำรามด้วยโทสะ มันวิ่งหนีในทันใดนั้น มันว่องไวยิ่งนัก สุนัขยักษ์เมื่อเห็นเหยื่อหนีมันย่อมไม่ปล่อย
“วูบบ” ทว่า ขณะที่สุนัขยักษ์กำลังกระโจน ศรพุ่งราวกับอสนีบาตมาจากป่าด้านข้างเข้าที่คอของมัน ชัดเจนว่าเขาต้องการสังหารมันในศรเดียว
เขาเริ่มจากการสั่งให้ต้าเฮยจู่โจมเพื่อเบนความสนใจ จากนั้นสั่งให้มันล่าถอย สุนัขยักษ์ย่อมพุ่งความสนใจไปที่ต้าเฮยและลดความระมัดระวังลง นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของลู่หยาง