บทที่ 298 เอาชีวิตไปทิ้ง
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“เห้ออ…”
ณ ตำหนักหรูภายในสำนักจิตอสูร เฉียนว่านก้วนกำลังนั่งจิบน้ำชาและถอนหายใจในเวลาเดียวกัน แม้ว่าตระกูลเฉียนจะสามารถอพยพเครือข่ายการค้าออกมาจากอาณาจักรต้าเซี่ยได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ได้รับความเสียหายไปไม่น้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดได้ว่าหากสงครามเริ่มขึ้น ตระกูลของเขาก็ยังสามารถทำกำไรจากมันได้ เขาจึงหยุดหงุดหงิดกับเรื่องนี้
ตอนนี้เฉียนว่านก้วนได้หันไปกังวลเรื่องของซูรั่วเสวี่ยแทน เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากเจียงอี้รู้ว่าซูรั่วเสวี่ยกำลังจะตาย เขาจะระเบิดความโกรธออกมาขนาดไหน
ปัง!
แต่ยังไม่ทันไรประตูตำหนักก็ถูกเปิดอย่างแรง ทันทีที่เฉียนว่านก้วนเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใคร ร่างของเขาก็ลุกพรวดจากเก้าอี้และอุทานด้วยความตกใจ
“ลูกพี่ เจ้า—เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?!”
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้เค้นเสียงในลำคอและจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายก่อนจะตะโกนออกมา “ทำไมเจ้ากับเจ้าสำนักถึงไม่แจ้งข้าว่ามีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้น? แล้วตอนนี้ซูรั่วเสวี่ยยังอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่หรือไม่?”
สีหน้าของเฉียนว่านก้วนเผยให้เห็นความลำบากใจ จากนั้นก็กล่าวตอบด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ลูกพี่ พวกเรากำลังหาทางออกอยู่ เจ้าอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นไป หรือไม่…”
“หยุดนอกเรื่องได้แล้ว!”
เจียงอี้ตะโกนขัดจังหวะ จากนั้นก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“ข้าถามว่าซูรั่วเสวี่ยยังอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่หรือไม่?”
สีหน้าของเฉียนว่านก้วนซีดขาวลงทันตา สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือก เขาก็กัดฟันแน่นและตอบ
“ใช่! ข้าได้ส่งคนไปพาตัวนางกลับมาแล้ว แต่นางยืนยันที่จะตายไปพร้อมกับอาณาจักรต้าเซี่ยดังนั้น…”
ฟึ่บ!
แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวจบนั้น ร่างของเจียงอี้ก็ได้หายไปจากตำแหน่งเดิมแล้วและทะยานไปไกล เหลือทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้าย
“เสี่ยวนู๋ เจ้ารออยู่ในสำนักนี่แหละ!”
“ลูกพี่!”
“นายน้อย!”
เจียงเสี่ยวนู๋กับเฉียนว่านก้วนตะโกนออกมาด้วยความตกใจ โดยเฉพาะรายแรกที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่น้อย แต่นางก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน นางมองไปที่ร่างอันอวบอ้วนของเฉียนว่านก้วนและเอ่ยด้วยความร้อนใจ
“พี่ใหญ่เฉียน นายน้อยรีบร้อนไปไหนหรือ?”
“ที่ไหนนะรึ? ลูกพี่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเซี่ยยวี่เพื่อช่วยเหลือใครบางคนและต้องปะทะกับกองทัพที่มีกำลังพลนับล้าน เขากำลังจะเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้ง!”
การแสดงออกทางสีหน้าของเฉียนว่านก้วนมืดมนอย่างถึงที่สุด เมื่อไม่อาจห้ามปรามอีกฝ่ายไว้ได้ เขาจึงรีบมุ่งหน้าไปตำหนักเจ้าสำนักทันที เพราะมีเพียงจูเก๋อชิงหยุนเท่านั้นที่จะสามารถหยุดยั้งเจียงอี้ได้
“อะไรนะ?! นายน้อยกำลังจะเอาชีวิตไปทิ้ง?”
จู่ๆ เจียงเสี่ยวนู๋ก็รู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ ทันใดนั้นนางก็กลับหลังหันและวิ่งออกไปโดยไม่สนใจเจียงหยุนไฮ่ที่กำลังเดินสวนเข้ามา นางมุ่งหน้าออกไปทางด้านนอกของสำนักด้วยความเร็วสูงสุด
แต่มันก็แค่นั้น…
ไม่ว่านางจะวิ่งเร็วแค่ไหน แต่จะเทียบกับเจียงอี้ได้ยังไง? เมื่อนางออกมาถึงที่ด้านนอกของสำนัก เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“จะทำยังไงดี? ข้าจะทำยังไงดี?”
เวลานี้ดวงตาของเจียงเสี่ยวนู๋แดงก่ำและร้อนรนเป็นที่สุด แต่ไม่นานนักนางก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้และรีบวิ่งลงจากเขาจิตอสูรอย่างรวดเร็ว
เจียงเสี่ยวนู๋เป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาที่ไม่ได้เข้าสู่เส้นทางวรยุทธ นางอาจจะต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันในการไต่ลงไปตามถนนเพื่อลงไปเนินเขา
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่หลบซ่อนตัวอยู่ระหว่างทาง ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่หวาดกลัวและพยายามไปให้ถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด
แต่โชคดีนักที่ไม่นานต่อจากนั้น เจียงเสี่ยวนู๋ก็ได้พบกับหน่วยลาดตระเวนหน่วยหนึ่ง นางจึงตะโกน “ข้าขอรบกวนให้พวกใต้เท้าช่วยพาข้าไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬได้ไหมเจ้าคะ? ข้ามีธุระสำคัญที่ต้องรีบทำ”
“เจียงเสี่ยวนู๋?”
เหล่าสมาชิกหน่วยลาดตระเวนต่างก็ตระหนักได้ทันทีว่านางคือเจียงเสี่ยวนู๋ ในเวลานี้ชื่อเสียงของเจียงอี้พุ่งทะยานถึงจุดสูงสุด ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเขาเกือบจะแตกหักกับอาณาจักรเสินหวู่เพราะหญิงสาวผู้นี้?
เมื่อหน่วยลาดตระเวนเห็นนาง พวกเขาก็รีบบึ่งมาโดยไม่กล้ารอช้า ทางด้านของเจียงเสี่ยวนู๋เองก็หยุดพักเล็กน้อยในขณะที่กำลังหอบหายใจ จากนั้นก็เอ่ยต่อ
“พวกท่านรีบพาข้าไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬเร็วเข้า มิฉะนั้นมันจะสายเกินไป!”
“ก็ได้!”
หน่วยลาดตระเวนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พวกเขาไม่คิดจะปฏิเสธเพราะมันเป็นเพียงคำขอเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ที่ขอร้องพวกเขาคือเจียงเสี่ยวนู๋ซึ่งเป็นคนสนิทของคนผู้นั้นอีกด้วย
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนคือคนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดขอบเขตจื่อฝู่ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงและรีบแบกเจียงเสี่ยวนู๋มุ่งหน้าไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬทันที
ด้วยความเร็วของเขา เพียงแค่สี่ชั่วโมงก็ได้มาถึงหุบเขาเมฆาทมิฬแล้ว แต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากภายในและไม่กล้าที่จะก้าวเท้าเข้าไป
ตึง! ตึง!
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ตัดสินใจอะไร จู่ๆร่างของสัตว์อสูรขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่น่าประหลาดนักที่บนไหล่ของมันมีจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่
ทางด้านของจิ้งจอกน้อยกับราชันโลหิตแดงเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน ทำไมเจียงเสี่ยวนู๋ถึงกลับมาเร็วนัก? อีกทั้งยังมีมนุษย์คนอื่นตามมาด้วย?
“เสี่ยวเฟย! เสี่ยวเฟย!”
เจียงเสี่ยวนู๋รีบวิ่งไปข้างหน้าด้วยสีหน้าอันร้อนรน เมื่อราชันโลหิตแดงเห็นเช่นนั้น มันก็ยืนฝ่ามือยักษ์ออกไปและจับร่างของนางขึ้นมาไว้บนไหล่ของมัน
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเพราะตระหนักได้ว่าทั้งสองฝ่ายรู้จักมักคุ้นกัน ดังนั้นเขาและคนที่เหลือจึงค่อยๆพากันถอยออกมาและจากไปในที่สุด
“เสี่ยวเฟยแย่แล้ว! นายน้อยกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเซี่ยยวี่เพื่อช่วยชีวิตใครบางคน ข้าได้ยินมาว่ากองทัพของจักรวรรดิมังกรเวหาและอีกห้าอาณาจักรกำลังบุกโจมตีอาณาจักรต้าเซี่ย”
“พี่ใหญ่เฉียนยังบอกว่านายน้อยกำลังจะปะทะกับคนเหล่านั้นด้วยตัวคนเดียว เขากำลังจะเอาชีวิตไปทิ้ง! ข้าจะทำยังไงดี?”
เจียงเสี่ยวนู๋พูดกับจิ้งจอกน้อยพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น นางไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และรู้สึกมืดแปดด้านไปหมด นางไม่มีทางเลือกจนต้องรีบมาร้องขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงน้อยเผ่าอสูรนางนี้
“จี้จี้!”
เสี่ยวเฟยเองก็หวาดวิตกไม่แพ้กัน นางหันไปทางราชันโลหิตแดงและขอให้มันพากลับสู่ยอดเขาเทพธิดาทันที
จิ้งจอกน้อยไม่สามารถออกจากเขตหุบเขาสามหมื่นลี้ได้ พละกำลังของนางเองก็อ่อนแอเช่นกัน สิ่งเดียวที่นางทำได้คือขอความช่วยเหลือจากมารดา
หากว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรยังไม่ออกจากการบำเพ็ญหรือไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือ พวกนางเองก็หมดหนทางที่จะช่วยเจียงอี้แล้ว
……
“โง่เง่าที่สุด!”
ภายในสำนักจิตอสูร หลังจากที่จูเก๋อชิงหยุนได้รับแจ้งจากเฉียนว่านก้วน เขาก็รีบใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านทั่วทั้งสำนักทันที แต่เมื่อพบว่าเจียงอี้ไม่อยู่ในสำนักแล้ว เขาจึงลองสำรวจใต้ดินแทนจนในที่สุดก็เห็นเจียงอี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของเถาอู้ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ด้วยความเร็วสูงสุด
จูเก๋อชิงหยุนรีบส่งข้อความผ่านเครื่องรางสื่อสารเพื่อเรียกตัวเจียงอี้กลับมา แต่อีกฝ่ายก็เพิกเฉยทั้งหมด และด้วยความเร็วของเถาอู้ ไม่นานนักเขาก็หลุดออกจากขอบเขตของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของชายชรา
“บัดซบ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าสำนักจูเก๋อชิงหยุนมีโทสะขนาดนี้ในรอบหลายสิบปี เจียงอี้เป็นเด็กหนุ่มที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ แล้วเขาก็ไม่ได้ล้อเล่นเรื่องที่จะยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับอีกฝ่าย
หากให้กล่าวตามจริง… เขารู้ความลับเกี่ยวกับตันเทียนของเจียงอี้นานแล้วแต่ก็ยังคงเก็บเงียบเอาไว้
จูเก๋อชิงหยุนรู้ดีว่าเขาได้มาถึงบั้นปลายของชีวิตแล้วและในบรรดารองเจ้าสำนักทั้งหมด ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทะลวงสู่ขอบเขตจินกังได้
ในเวลานี้ทั่วทั้งทวีปกำลังสับสนวุ่นวายและกำลังจะเกิดสงครามใหญ่เนื่องจากสมดุลของขั้วอำนาจที่เปลี่ยนไป
จูเก๋อชิงหยุนไม่ได้สนใจความตายของตัวเอง แต่เมื่อเขาจากไป สำนักจิตอสูรจะกลายเป็นหมูที่นอนรออยู่บนเขียง เมื่อไม่มียอดฝีมือขั้นจินกังคอยปกป้อง มันคงจะถูกกลืนหายไปโดยขั้วอำนาจอื่นในเวลาไม่นาน
เจียงอี้เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่เขาเตรียมจะฟูมฟักดูแล แต่ผู้สืบทอดคนนี้กลับกำลังจะเสี่ยงชีวิตเพียงเพราะหญิงสาวผู้หนึ่งและจะต้องกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งทวีป!
หากนี่ไม่ใช่การกระทำที่โง่เขลา แล้วจะเรียกมันว่าอะไร?
โดยปกติแล้ว จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจียงอี้ที่มีจักรพรรดินีสัตว์อสูรคอยหนุนหลัง
แต่กับสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต่างออกไป หากเจียงอี้ไปถึงเมืองเซี่ยยวี่ เขาจะต้องเข้าปะทะกับกองทัพอย่างหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทางจักรวรรดิมังกรเวหาและห้าอาณาจักรเองก็คงไม่คิดที่จะยอมถอยหากอาณาจักรต้าเซี่ยไม่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ไม่เช่นนั้นพวกเขาทั้งหมดจะต้องเสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียง
นอกจากนี้มันยังเป็นความขัดแย้งภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากจักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่ต้องการที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเผ่าพันธุ์ย่ำแย่ไปกว่านี้ นางก็คงจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง
และสำหรับเจียงอี้นั้น การเดินทางในครั้งนี้ของเขา… จะเป็นการตีตั๋วเที่ยวเดียวและจะไม่ได้กลับมาอีกเลย!
“ลืมมันซะ!”
หลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง จูเก๋อชิงหยุนก็สงบสติอารมณ์ได้ จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาเสียงดัง
“รองเจ้าสำนักฉี! จงรวบรวมรองเจ้าสำนักทั้งหมดให้ข้าและเจ้าจงอยู่เฝ้าสำนักไว้ ชายชราผู้นี้จะพาพวกเขาไปเที่ยวชมเมืองเซี่ยยวี่เสียหน่อย”
“นานแล้วเหมือนกันที่กระดูกผุๆของข้าไม่ได้ขยับไปไหน… หากไม่ลงมือเสียบ้างเกรงว่าทวีปแห่งนี้คงจะหลงลืมนามจอมกระหายเลือดจูเก๋อชิงหยุนเป็นแน่!”
……